เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1002 ความผิดพลาดของประตูมิติ
ตอนที่ 1,002 ความผิดพลาดของประตูมิติ
จักรวรรดิเป่ยไห่ ย่านที่พักของอาคันตุกะระดับสูง
เรือนรับรองคณะทูตกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง
เมื่อร่างที่นั่งนิ่งลืมตาขึ้นมาในความเงียบ บรรยากาศภายในห้องพักก็แปรเปลี่ยนไปทันที
นางยกมือขึ้นมา
บนฝ่ามือของนางคือแผ่นป้ายรายงานผลการทดสอบจักรวรรดิ อักขระบนแผ่นป้ายนั้นกำลังเรืองแสงสีฟ้าคราม
“ทำภารกิจสำเร็จแล้วหรือ?”
เจ้าของร่างนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างแช่มช้า ใบหน้าปกคลุมด้วยผืนผ้าสีขาว เรือนร่างที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งสมบูรณ์แบบนั้นแสดงออกให้เห็นถึงความงามอันไร้ที่ติ
“ทำไมเขาถึงยังไม่ลงมืออีก?”
เจ้าของเรือนร่างที่แสนงดงามก้มมองป้ายในมือ หลังจากใช้ความคิดอยู่สักครู่ นางก็เข้าใจว่าเขาคงมีเหตุผลบางประการที่ทำให้ลงมือไม่ได้ แต่บัดนี้ สถานการณ์ในนครหลวงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะฉะนั้น จะปล่อยให้องค์จักรพรรดิกลับคืนสู่นครหลวงโดยตรงไม่ได้เด็ดขาด…
ทันใดนั้น นิ้วเรียวยาวขาวผ่องก็เลื่อนปัดไปบนแผ่นป้าย เปลี่ยนลวดลายปลายทางบนแผ่นป้ายเล็กน้อย
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
แสงสว่างบนแผ่นป้ายก็ดับลง
ในห้องพักปกคลุมด้วยความเงียบสงบอีกครั้ง
“เข้ามาได้”
นางพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์สองคนเดินเข้ามาในห้อง
ย่อมต้องเป็นเทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงและง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซิน
“เซียนทะเลทรายอยู่ที่ใด?”
ผู้เป็นเจ้าของห้องสอบถาม
“กราบเรียนท่านหญิง เซียนทะเลทรายพาผู้คนไปร่วมงานเลี้ยง บัดนี้ยังไม่กลับมาขอรับ” จีหวูชวงรีบตอบกลับเร็วไว
เมื่อตระกูลเว่ยสามารถยึดครองนครหลวงได้สำเร็จ เซียนทะเลทรายชาซานถงก็กลายเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลเว่ย ทุกคนทำต่อเขาราวกับผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โต นอกจากได้รับการอวยยศเป็นกรณีพิเศษ ได้รับสมุนไพรวิเศษจำนวนมาก ก็ยังมีหญิงงามรายล้อมอยู่รอบกายตลอดเวลาอีกด้วย
ไม่มีสิ่งใดจะมีความสุขมากไปกว่าอย่างหลังสุดนั้นอีกแล้ว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ชาซานถงกระทำเรื่องราวให้แก่ตระกูลเว่ยไปไม่ใช่น้อย เขาถึงกับเป็นผู้จับกุมตัวสมาชิกราชวงศ์หลี่ ผู้พยายามหลบหนีออกนอกนครหลวงและสังหารฝ่ายศัตรูทุกคนด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต
เจ้าของเรือนร่างที่สมบูรณ์แบบรับฟังด้วยความไร้อารมณ์
“เมื่อสักครู่ ข้าได้รับสัญญาณแจ้งเตือนว่ากองทัพเป่ยไห่ทำภารกิจสำเร็จแล้ว และพวกเขากำลังจะกลับมา”
น้ำเสียงของนางเนิบนาบเป็นอย่างยิ่ง
“อะไรนะ?”
“พวกเขาจะกลับมาแล้วหรือ?”
จีหวูชวงและลู่ซินต่างก็เปิดเผยถึงความประหลาดใจ
พวกเขารับทราบมาจากปากของชาซานถงนานแล้วว่าการประเมินครั้งนี้มีกับดักซ่อนอยู่ มันเป็นการประเมินที่มีระดับความยากมากกว่าปกติ ต่อให้เป็นจักรวรรดิที่ใหญ่โตมากกว่านี้ ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถผ่านบททดสอบได้
แต่องค์จักรพรรดิและกองทัพเป่ยไห่กลับสามารถรอดชีวิตออกมาได้?
หากประโยคนี้ไม่ได้พูดออกมาจากบุคคลผู้นั่งอยู่เบื้องหน้า จีหวูชวงก็คงเข้าใจว่านี่ต้องเป็นเรื่องตลกอย่างแน่นอน
“แต่ดูเหมือนประตูมิติจะเกิดความผิดพลาด จึงยากที่จะบอกได้ว่ากองทัพเป่ยไห่ถูกส่งตัวไปอยู่ ณ เมืองใด… พวกเราต้องรีบรายงานเรื่องนี้ต่อกลุ่มพันธมิตร ทางสภาจะได้หาทางป้องกันเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ”
หลังจากนั้น นางก็หยิบม้วนเอกสารที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาพูดว่า “เราต้องส่งรายงานสถานการณ์โดยรวม เชิญประทับตราของพวกเจ้าและส่งรายงานกลับไป”
จีหวูชวงไม่กล้าลังเลรีรอ
คณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางในครั้งนี้ มีหัวหน้าคณะหนึ่งคนและรองหัวหน้าคณะสามคน ตราประทับจากหัวหน้าคณะจะมีสิทธิ์เท่ากับสองเสียง ส่วนตราประทับจากรองหัวหน้าคณะทั้งสามจะมีสิทธิ์คนละหนึ่งเสียง
ขอเพียงพวกเขาลงตราประทับครบสี่เสียง ก็จะเป็นการยืนยันว่าเหตุการณ์ที่อยู่ในม้วนเอกสารฉบับนี้คือเรื่องจริง โดยไม่จำเป็นต้องลงตราประทับครบทั้งสี่คนแต่อย่างใด
และม้วนเอกสารฉบับนี้ก็จะถูกส่งไปยังสภาของกลุ่มพันธมิตรทันที
…
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
องค์จักรพรรดิกวาดตามองสภาพภูมิประเทศที่แปลกประหลาดรอบกายด้วยความสับสน
เช่นเดียวกับนายทหารกองทัพเป่ยไห่ทุกคน
ตามแผนการเดิม เมื่อพวกเขากลับออกมาจากประตูมิติ มันก็ควรเป็นสถานที่เดิมกับที่พวกเขาเดินเข้าไปก่อนหน้า… และนั่นหมายความว่าทุกคนสมควรกลับมาอยู่ในสำนักศึกษากระบี่หลวงประจำนครหลวงแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
แต่เบื้องหน้ากลับมีแต่ภูเขาและป่าทึบ
สายลมเย็นพัดผ่าน กิ่งไม้ไหวเอนไปตามแรงลม
รอบกายปราศจากผู้คนอื่นใด
“ดูเหมือนประตูมิติจะเกิดความผิดพลาด”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงกวาดสายตามองรอบกาย ก่อนดีดเท้าลอยตัวขึ้นไปสำรวจรอบบริเวณทางอากาศ หลังจากนั้น จึงได้ทิ้งตัวกลับลงมารายงานว่า “ข่าวดีก็คือพวกเรายังอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่พ่ะย่ะค่ะ แต่ข่าวร้ายคือเราอยู่ในเขตชายแดนของมณฑลเฟิงอวี่ และด้านหน้าก็เป็นอาณาเขตที่ปกครองด้วยชาวทะเลแล้ว”
มณฑลเฟิงอวี่?
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำนี้
เขามีความคุ้นเคยกับที่นี่ดี
ดินแดนที่ปกครองด้วยชาวทะเล ก็คือดินแดนของเด็กสาวผู้นั่งรถเข็นไม่ใช่หรือ?
พูดถึงนาง เด็กหนุ่มจึงนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้เจอหน้านานแล้วเหมือนกัน
หากเจอหน้ากันเมื่อไหร่ เขาก็อยากจะถามสักหน่อยว่าเหตุไฉนถึงไม่มาเข้าฝันกันบ้าง ทำตัวเหินห่างเช่นนี้ชักจะมากเกินไปแล้ว
“อยู่อีกไกลหรือไม่?”
องค์จักรพรรดิก้มมองป้ายการประเมินจักรวรรดิในมืออย่างไม่เข้าใจสิ่งใดทั้งสิ้น
การประเมินจักรวรรดิคือกิจกรรมที่ผ่านการรับรองจากหลายฝ่าย
แล้วเหตุไฉนการประเมินของพวกเขาถึงได้เกิดความผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า?
หรือเรื่องนี้จะมีผู้ใดชักใยอยู่เบื้องหลัง?
สงสัยคงต้องรีบกลับนครหลวงให้เร็วที่สุดเสียแล้ว
ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้ทางนครหลวงจะเป็นอย่างไรบ้าง
คิดได้ดังนั้น องค์จักรพรรดิก็ทรงตัดสินพระทัยเดินทางกลับนครหลวงให้เร็วที่สุด
แต่หลินเป่ยเฉินคัดค้าน เพราะเขาเห็นว่าที่นี่อยู่ห่างจากนครเจาฮุยไม่มาก เขาอยากจะแวะเข้าไปทักทายบุตรสาวของอาจารย์ติงก่อน หลังจากนั้นก็กลับไปหาเยว่หงเซียง มี่หรู่หยาน และคนอื่น ๆ ดื่มกินกันให้สนุกและพักผ่อนกันให้เต็มอิ่มสักหลายวันไม่ดีกว่าหรือ?
แต่องค์จักรพรรดิก็ทรงยืนยันคำเดิม
พระองค์ท่านกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปที่นครเจาฮุยเถอะ เสร็จธุระของเจ้าเมื่อไหร่โปรดรีบกลับมาที่นครหลวงโดยเร็วที่สุด เพราะบัดนี้ นครหลวงขาดเจ้าไม่ได้”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่า ๆ
แต่จังหวะนั้น เสียงอะไรบางอย่างพลันลอยมาตามสายลม
และทุกคนก็ได้เห็นเรือเหาะหกลำลอยทะลุออกมาจากก้อนเมฆบนท้องฟ้าทิศเหนือ และพวกมันกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางพวกเขาพอดี
“นั่นมันเรือเหาะของตระกูลเว่ย”
อัครเสนาบดีจั่วเซียงขมวดคิ้ว “เหตุไฉนพวกมันถึงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่?”
“คล้ายกับว่าพวกมันกำลังไล่ล่าสังหารใครบางคน…”
ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์หลวงโหลวซานกวนรู้จักอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหารเป็นอย่างดี เพียงเห็นเรือเหาะเหล่านั้น เขาก็รู้แล้วว่าพวกมันเป็นเรือเหาะสำหรับการกวาดล้างศัตรู
ทันใดนั้น ห่างออกไปไม่กี่ลี้ บังเกิดเสียงการฆ่าฟันดังขึ้น
สมาชิกของกองทัพเป่ยไห่ในครั้งนี้ แต่ละคนล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ประสาทการรับเสียงของพวกเขาดีมากกว่าคนปกติ ย่อมได้ยินเสียงแห่งการฆ่าฟันเหล่านั้นโดยทันที
“พวกเจ้าออกไปดู”
โหลวซานกวนออกคำสั่ง
ฉับพลันนั้น นายทหารหน่วยลาดตระเวนกลุ่มหนึ่งก็เหินตัวออกไป
ไม่กี่อึดใจให้หลัง หน่วยลาดตระเวนกลับมารายงานว่า “กราบทูลฝ่าบาท รายงานท่านแม่ทัพและใต้เท้าทุกท่าน เบื้องหน้าเป็นการสู้รบระหว่างคนของตระกูลเว่ย ที่กำลังไล่ล่าสังหารท่านใต้เท้าเฉียนเฟยเซวีย สถานการณ์คับขันเป็นอย่างยิ่ง…”
อะไรนะ?
ทุกคนได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
…
“เร็วเข้า ทุกคนรีบวิ่งไปข้างหน้า อดทนเอาไว้ก่อน…”
เฉียนเฟยเซวียร้องคำรามออกมาด้วยความคับแค้นใจ
เขาคือผู้นำกลุ่มนายทหารและขุนนางน้อยใหญ่ที่ยังภักดีต่อราชวงศ์หลี่ แม้สามารถหลบหนีออกมาจากนครหลวงได้สำเร็จ ทว่า บัดนี้หลายคนก็อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส แทบจะไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกต่อไป
ฟิ้ว!
ลูกธนูถูกยิงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
“อะเฮือก…”
นายทหารสองคนที่คุ้มกันอยู่ด้านหลังส่งเสียงอุทาน ก่อนลูกธนูจะพุ่งทะลวงแผ่นหลังทะลุหน้าอก ล้มลงไปบนพื้นดิน
“ใต้เท้าโจว ใต้เท้าหลี่…”
เฉียนเฟยเซวียร้องตะโกนด้วยความร้อนรน กำลังจะวิ่งกลับไปช่วยเหลือนายทหารทั้งสองท่าน
“ไม่ต้องช่วยพวกข้า รีบหนีไป…”
“ทิ้งพวกเราเอาไว้ที่นี่เถอะ”
นายทหารที่ถูกลูกธนูยิงแทบจะไม่รอดชีวิตอีกแล้ว โลหิตไหลทะลักออกปากออกจมูก แต่ก่อนที่สติสัมปชัญญะของพวกเขาจะดับลง ทั้งสองคนก็ยังส่งเสียงตะโกนบอกเฉียนเฟยเซวียไม่ให้กลับไปช่วยเหลือตนเอง
“ใต้เท้าเฉียนขอรับ คนหมู่มากสำคัญกว่า พวกเรารีบไปกันเถอะ…”
นายทหารอีกสองนายพลิ้วกายมาฉุดแขนเฉียนเฟยเซวียให้ออกวิ่ง
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
“ชีวิตนี้ได้ตายเพื่อประเทศชาติ ข้าก็ไม่มีอะไรให้เสียใจอีกแล้ว เกิดชาติหน้าข้าจะต้องได้เป็นเซียนกระบี่แน่นอน!”
“ฮ่า ๆๆ ก่อนจะตาย ข้าขอลากคนชั่วพวกนั้นไปยมโลกด้วยกันสักหน่อย”
นายทหารผู้ถูกยิงธนูทั้งสองคนก่อนสิ้นใจยังโคจรพลังลมปราณเต็มอัตราและระเบิดร่างกายของตนเอง ส่งผลให้นายทหารของตระกูลเว่ยที่ไล่ตามมาต้องเสียชีวิตตามไปด้วยอีกหลายสิบคน
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
กระสุนปืนใหญ่เวทมนตร์ถูกยิงลงมาจากเรือเหาะอย่างต่อเนื่อง
สุดท้าย พวกของเฉียนเฟยเซวียก็ถูกปิดล้อมอยู่บนถนนกลางหุบเขา นักรบเกราะแดงตีวงล้อมขนาบเข้ามาทุกด้านมากกว่าหนึ่งร้อยคน
“ฮ่า ๆๆ เฉียนเฟยเซวีย คราวนี้เจ้ายังจะหนีไปที่ใดได้อีก?”
เสียงที่บอกถึงความยโสโอหังดังขึ้น