เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1004 อย่ามาขวางทางข้า
ตอนที่ 1,004 อย่ามาขวางทางข้า
“ใต้เท้าเฉียน ท่านพูดอะไรออกมารู้ตัวหรือไม่?”
หัวหน้าหน่วยราชองครักษ์โหลวซานกวน เกรงว่าสหายเก่าของตนเองจะตื่นเต้นมากเกินไป จนพูดเหลวไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เรื่องใหญ่หลวงเช่นนี้จะพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไร?
ความผิดในการพูดจาเช่นนี้มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต
“ไม่ต้องห้าม ให้เขาพูดต่อไป”
ใบหน้าขององค์จักรพรรดิในขณะนี้กลายเป็นสีขาวซีดไปแล้ว
ตอนที่อยู่ในอาณาเขตของชาวเผ่าจันทราขาว พระองค์ก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้างว่าที่นครหลวงต้องเกิดความวุ่นวายเป็นแน่แท้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวจะหนักหนาถึงขั้นที่ราชวงศ์ล่มสลายและจักรวรรดิเป่ยไห่พ่ายแพ้อย่างยับเยิน!
ในขณะที่แม่ทัพใหญ่และขุนพลผู้กล้าคนอื่น ๆ ยังคงยืนตกตะลึง องค์จักรพรรดิกลับเป็นผู้ที่ก้มตัวลงไปช่วยพยุงเฉียนเฟยเซวียลุกขึ้นยืน “ที่นครหลวงเกิดอะไรขึ้นบ้าง ได้โปรดบอกเล่าออกมาให้หมด”
เฉียนเฟยเซวียน้ำตาไหลนองใบหน้า
เขารายงานด้วยเสียงกระซิบกระซาบว่า “กราบทูลฝ่าบาท… ตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาก่อกบฏพ่ะย่ะค่ะ พวกมันนำความลับของคนในไปบอกต่อคนนอก ส่งผลให้นครหลวงของพวกเราถูกตีแตกอย่างง่ายดาย…”
แล้วผู้ตรวจการหนุ่มก็บอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา
“เรื่องนี้มัน…”
เมื่อรับฟังจบ องค์จักรพรรดิก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
พระองค์ท่านรู้สึกหน้ามืดวิงเวียนคล้ายจะเป็นลม ลำคอรู้สึกร้อนอุ่น แล้วโลหิตสายหนึ่งก็กระอักออกมาจากปาก องค์จักรพรรดิสูญเสียการทรงตัว ทำท่าจะทรุดลงไปบนพื้นดิน
“ฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะพ่ะย่ะค่ะ…”
“พวกเรารีบช่วยเหลือพระองค์ท่าน”
“หมอหลวง!”
เหล่าแม่ทัพใหญ่ถึงกับทำสิ่งใดไม่ถูก
หลินเป่ยเฉินที่ตั้งใจจะยืนรับฟังเฉย ๆ ก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
ระหว่างที่องค์จักรพรรดิเข้าไปทำภารกิจเพื่อทำการประเมินจักรวรรดิ และสามารถคว้าชัยชนะกลับมาได้สำเร็จ แต่กลับปรากฏว่าบัลลังก์ของท่านถูกโค่นเสียแล้วหรือ?
นี่มันไม่ต่างจากตอนที่หลินเป่ยเฉินเล่นเกมออนไลน์ เขาอุตส่าห์บุกไปฆ่ามังกรจนเพิ่มพลังให้ตนเองได้สำเร็จ แต่ระหว่างที่ตนเองทำภารกิจอยู่นั้น ก็ได้มีผู้เล่นคนอื่นเข้ามาตีฐานขโมยทรัพย์สมบัติของหลินเป่ยเฉินทุกอย่างไปหมดเกลี้ยง
เรื่องนี้ชักจะตลกเกินไปแล้ว
“อ่า…”
องค์จักรพรรดิเริ่มได้สติฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
พระองค์ท่านมีพลังอยู่ในขั้นเซียน แต่ก็ตกตะลึงถึงขั้นกระอักเลือดหมดสติ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบใหญ่หลวงมากเพียงใด
“รายงานเรื่องของเจ้าต่อไป”
องค์จักรพรรดิมีใบหน้าซีดขาว ท่านโคจรพลังลมปราณไปที่มือซ้ายและยันกายลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “สถานการณ์ในขณะนี้เป็นอย่างไร?”
เฉียนเฟยเซวียกลับมามีท่าทีสงบสุขุมอีกครั้ง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
แดนเหนือถูกตีแตกและปกครองโดยจักรวรรดิจี้กวง
มณฑลหยางฉ่วนบัดนี้ถูกจักรวรรดิจี้กวงยึดครองไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นปกครองโดยถังอู๋เฟิง ผู้ปกครองมณฑลคนเก่าที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลเว่ย
นอกจากนี้ มณฑลใหญ่อื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นมณฑลชิงซวง มณฑลอวิ๋นสุย มณฑลเหอหวู่ มณฑลเฟิงหมิง และมณฑลมู่ไห่ ทั้งหมดหากไม่ถูกตีแตก ก็ยอมสวามิภักดิ์ต่อตระกูลเว่ยหมดสิ้น
ในการต่อสู้ที่นครหลวง องค์ชายหลายท่านต้องเสียชีวิตลง รวมถึงองค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่…
ระหว่างที่การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เมืองแห่งยอดมือกระบี่ของจักรวรรดิเป่ยไห่ทั้งสาม อาทิ เมืองไป๋หยุน เมืองเจี้ยนหยวน และเมืองจูเจี้ยน ต่างก็เฝ้าดูอยู่อย่างเฉยเมย แม้จะเห็นชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ถูกทหารของตระกูลเว่ยไล่ล่าฆ่าฟันกลางท้องถนนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต แต่พวกเขาก็ไม่คิดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม้แต่น้อย
มีเพียงองค์ชายเจ็ดเท่านั้นที่ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเสี่ยวและตระกูลหลิง จึงสามารถตีฝ่าวงล้อมหนีออกมาจากนครหลวงได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางไปรวมกำลังพลกับแม่ทัพหลิงฉือที่ถอนทัพกลับมาจากแดนเหนือ ก่อนมุ่งหน้ามายังมณฑลเฟิงอวี่ และเข้าสู่นครเจาฮุย ข่าวลือบอกว่ากลุ่มคนทั้งหมดยังคงรอดชีวิต…
ส่วนเจ้าหน้าที่และขุนนางผู้มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์หลี่ ต่างก็ถูกคนสกุลเว่ยไล่สังหารด้วยความโหดร้ายอำมหิต
จักรวรรดิเป่ยไห่ล่มสลาย
เมื่อสามวันก่อน ตระกูลเว่ยสั่งให้มณฑลใหญ่ทุกแห่งเปิดประตูเมืองอีกครั้ง และแต่งตั้งตนเองเป็นราชวงศ์ใหม่ โดยที่จักรพรรดิองค์แรกย่อมเป็นคนของตระกูลเว่ย ว่ากันว่าองค์จักรพรรดิผู้นี้ได้รับการสนับสนุนจากองค์จักรพรรดิของจักรวรรดิต้าเกี๋ยนและพวกเขาก็เตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว…
ไม่ว่ามองจากมุมใด คำกล่าวของเฉียนเฟยเซวียที่บอกว่าราชวงศ์หลี่ล่มสลายจักรวรรดิเป่ยไห่จบสิ้น จึงไม่ได้ผิดแผกไปจากความเป็นจริงสักนิด
องค์จักรพรรดิร่างกายสั่นเทา ริมฝีปากกลายเป็นสีม่วงเข้ม
“พวกตระกูลเว่ย นอกจากแย่งชิงบัลลังก์ของข้าไปแล้ว พวกมันยังสังหารคนของข้าอีกด้วย ช่างอำมหิตนัก”
พระองค์ท่านระเบิดเสียงคำราม โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก
“ฝ่าบาท นี่เป็นความผิดของกระหม่อมเอง”
“ฝ่าบาททรงรักษาสุขภาพด้วย”
จั่วเซียงและเกาเฉิงฮั่นรีบวิ่งเข้ามาประคององค์จักรพรรดิ
หลินเป่ยเฉินเองก็มีสีหน้าเป็นกังวลไม่ใช่น้อย “ฝ่าบาทต้องใจเย็น ๆ นะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้ท่านกระอักเลือดไปจนตายมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาอีกแล้ว”
องค์จักรพรรดิหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินเขม็ง
หลินเป่ยเฉินผายมือออกกว้างและกล่าวว่า “อย่ามองกระหม่อมด้วยสายตาเช่นนั้นเลย กระหม่อมเพียงพูดความจริง สิ่งที่ถูกผู้อื่นแย่งไป เราย่อมสามารถแย่งคืนมาได้เสมอ ต่อให้ตระกูลเว่ยแย่งชิงไปทั้งดินแดนก็ไม่เป็นไร เราเพียงบุกไปที่นครหลวงและสังหารตระกูลเว่ยให้สิ้นซากก็จบเรื่องแล้ว พวกเราจะนำเลือดของพวกมันมาล้างแผ่นดิน…”
คำพูดนี้ของเด็กหนุ่มทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้น
จริงด้วยสินะ
กองทัพเป่ยไห่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่า ต่อให้เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่หากวางแผนการให้ละเอียดรอบคอบ ก็ใช่ว่าพวกเขาจะไร้หนทางกอบกู้จักรวรรดิกลับคืนมา
แม้แต่องค์จักรพรรดิก็กลับมามีความหวังอีกครั้ง
“หลิวซยง บัดนี้สถานการณ์ในนครหลวงเป็นอย่างไรบ้าง?”
องค์จักรพรรดิใช้สายตาที่คมกริบราวกระบี่จ้องมองไปที่หลิวซยง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประมุขของหนึ่งในสิบสกุลใหญ่ บัดนี้ ชายชราอยู่ในอาการหวาดกลัวแทบหัวใจวายตายแล้ว
“คือว่า…”
หลิวซยงไม่คิดจริง ๆ ว่าการรับภารกิจจากตระกูลเว่ยมากวาดล้างผู้ที่ยังภักดีต่อราชวงศ์หลี่จะนำพาตนเองมาถึงจุดนี้ ก็ไหนกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางยืนยันแล้วอย่างไรล่ะว่าพวกของหลินเป่ยเฉินต่างเสียชีวิตหมดสิ้นในอาณาเขตสนธยา แล้วเหตุไฉนถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้อีก?
ชายชราไม่กล้าปิดบังข้อมูลแม้เพียงเล็กน้อย ดังนั้น เขาจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในนครหลวงอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการไล่ล่าสังหารชาวเมือง เรื่องการต่อสู้กับหัวหน้านักบวชประจำวิหารศักดิ์สิทธิ์ ไปจนถึงเรื่องการไล่สังหารกลุ่มขุนนางเก่าที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์ และอื่น ๆ อีกมากมาย
ทุกเรื่องราวทำให้ผู้รับฟังหัวใจเจ็บปวดเกินอธิบาย
ผู้ที่สามารถกระทำเรื่องราวเช่นนี้ได้ลงคอ ไม่นับว่าเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป
“ฝ่าบาท พวกเรายกพลบุกไปถล่มนครหลวงเพื่อแก้แค้นให้แก่ผู้เสียชีวิตกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเป่ยไห่หลายนายโกรธแค้นสุดขีด บัดนี้พวกเขาถึงกับชักกระบี่ออกมาและจ้องมองหลิวซยงด้วยแววตาเคียดแค้น
“ช้าก่อน”
องค์จักรพรรดิชะงักไปเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “เก็บสุนัขชั่วตัวนี้เอาไว้ก่อน เมื่อข้าทวงคืนจักรวรรดิกลับคืนมาได้สำเร็จ ข้าจะมอบมันเป็นของรางวัลให้แก่ประชาชนทุกคน!”
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ สถานการณ์ในขณะนี้ ฝ่าบาทจะทรงพระวู่วามไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินรีบกล่าวสนับสนุน “หากเรื่องราวเพียงเท่านี้ยังไม่สามารถอดกลั้นได้ แล้วพระองค์จะสามารถทำเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้อย่างไร”
สีหน้าของเหล่านายทหารใหญ่เกิดความละอายใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
ทันใดนั้น หวังจงที่ยืนอยู่ด้านข้างนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามว่า “ใต้เท้าหลิวกล่าวว่าแดนเหนือถูกตีแตกแล้ว แม่ทัพหลิงฉือนำผู้รอดชีวิตเดินทางมาที่นครเจาฮุย ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยขอถามใต้เท้า ไม่ทราบว่าบุตรชายอีกคนหนึ่งของตระกูลหลิงอย่างท่านแม่ทัพหลิงอู๋ และนายทหารหนุ่มจากเมืองหยุนเมิ่งนามว่าฮันปู้ฟู่ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
“เรื่องนั้น…”
หลิวซยงลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าปิดบัง จึงต้องตอบว่า “แม่ทัพหลิงอู๋พ่ายแพ้ในการต่อสู้ ขณะนี้หายสาบสูญไร้ร่องรอย ส่วนนายทหารหนุ่มนามว่าฮันปู้ฟู่ เขานำกำลังพล 368 นายจากเมืองหยุนเมิ่งปิดหุบเขาดาวตกต้านทัพจี้กวงได้ถึงหลายชั่วยาม ก่อนที่สุดท้าย เขาจะเสียชีวิตแม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ….”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินตะโกนขึ้นมาเหมือนแมวถูกผู้คนเหยียบหาง เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยขณะถามว่า “เจ้าพูดออกมาอีกครั้ง… เกิดอะไรขึ้นกับฮันปู้ฟู่?”
“ซากศพของเขา… แม้แต่กระดูกก็ไม่มีเหลือ…”
หลิวซยงทบทวนคำพูดของตนเอง
“เฮ้ย เฮ้ย เฮ้ย…”
หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมาด้วยความบ้าคลั่ง พร้อมกับระเบิดเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นสุดขีด “ทุกคนถอยไป อย่ามาขวางทางข้า ข้าจะบุกไปถล่มไอ้พวกตระกูลเว่ยที่นครหลวงเดี๋ยวนี้…”