เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1005 โลหิตไหลรินราวสายน้ำ
โหลวซานกวนและพรรคพวกรีบเข้ามาจับตัวหลินเป่ยเฉินทันที
“คุณชายหลิน ได้โปรดใจเย็นก่อน”
จั่วเซียงพยายามปลอบใจ
“ข้าเย็นไม่ไหวแล้ว”
หลินเป่ยเฉินอยู่ในอาการคุ้มคลั่งโดยสมบูรณ์
องค์จักรพรรดิตกตะลึง ก่อนจะคิดอะไรได้บางอย่าง จึงถามว่า “หรือว่าฮันปู้ฟู่ผู้นั้นคือสหายของเจ้า?”
หลินเป่ยเฉินแผดเสียงคำรามว่า “เขาเป็นสหายรักของข้า เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า…”
“ช่างน่าเศร้า”
องค์จักรพรรดิถอนหายใจและกล่าวต่อ “ข้าเองก็ได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มผู้นี้มาไม่น้อย เขาคือหนึ่งในนักรบคนสำคัญของจักรวรรดิ หากจักรวรรดิเป่ยไห่ได้รับการทวงคืนกลับมาเมื่อใด ข้าจะอวยยศให้เขาเป็นกรณีพิเศษ…”
พระองค์ท่านถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ความจริงเจ้ากับข้าก็หัวอกเดียวกัน ข้าเองก็สูญเสียบุตรชายไปจำนวนไม่น้อย…”
“ไม่เห็นเหมือนกันสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความโกรธแค้น “ท่านสูญเสียเพียงบุตรชายไม่กี่คน ส่วนข้าสูญเสียเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของข้าไปเชียวนะ”
องค์จักรพรรดิก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ในใจนึกสงสัยกับคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
เขากำลังจะบอกว่าองค์ชายทั้งหลายนั้น ชีวิตหาได้มีค่าเท่ากับฮันปู้ฟู่เพียงหนึ่งเดียวใช่หรือไม่?
ไม่น่าใช่การเปรียบเทียบที่ถูกต้องกระมัง?
แต่เมื่อทุกคนช่วยกันปลอบโยน ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ยอมเก็บกระบี่คืนฝัก
“ข้าจะไปนครหลวง”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “พวกเราไปกันเถอะ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
บัดนี้ กลายเป็นองค์จักรพรรดิที่ต้องพูดเตือนสติหลินเป่ยเฉินว่า “เจ้าจะทำอะไรวู่วามไม่ได้เด็ดขาด ตระกูลเว่ยกำลังเรืองอำนาจ…”
ตระกูลเว่ยขยายอำนาจไปทั่วมณฑลใหญ่ ขุนนางจำนวนมากตกอยู่ภายใต้การบงการของพวกมัน ตระกูลเว่ยมีกองกำลังมหาศาลอยู่ในมือ พวกเขาจึงไม่สมควรไปมีเรื่องเผชิญหน้าในขณะนี้มากที่สุด
“ข้าไม่สนใจ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ข้าจะไปที่นครหลวง”
ทุกคนรู้ดีว่าเด็กหนุ่มตั้งใจจะไปแก้แค้นให้แก่ฮันปู้ฟู่
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
เขาสัญญากับมารดาและน้องสาวของฮันปู้ฟู่เอาไว้ว่า จะคอยดูแลและปกป้องบุตรชายและพี่ชายของพวกนางให้อยู่รอดปลอดภัย
แต่ตอนนี้เล่า?
เขาจะมีหน้ากลับไปเจอน้องสาวของฮันปู้ฟู่ในนครเจาฮุยอีกครั้งได้อย่างไร?
คุณชายหลินทนแบกรับความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้
เขาไม่มีหน้ากลับไปเจอมารดาของฮันปู้ฟู่อีกแล้ว
“ทุกคนฟังคำสั่งข้าให้ดี เฉียนเหมย เฉียนเจินและหวังจง พวกเจ้าพานายทหารเกราะเงินคุ้มครององค์จักรพรรดิกลับสู่นครเจาฮุยอย่างปลอดภัย ส่วนเซียวปิงและอากวง ติดตามข้าไปที่นครหลวง”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มยังคงหนักแน่นขณะกล่าวว่า “ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้ายังไม่ได้คิดไปหาที่ตาย ข้าจะไม่ทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเด็ดขาด ข้าจะแอบลักลอบเข้าไปที่นครหลวง บางทีอาจจะช่วยเหลือพี่น้องของเรากลับออกมาได้จำนวนหนึ่ง และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการแก้แค้นของพวกเรา”
เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตใจอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของหลินเป่ยเฉิน องค์จักรพรรดิก็ทราบดีว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะห้ามปรามอีกแล้ว
ดังนั้น เมื่อตกลงรายละเอียดกันเรียบร้อย พวกเขาจึงแยกย้ายกันเดินทาง
“นายท่าน ข้าน้อยอยากอยู่กับนายท่าน”
เฉียนเหมยวิ่งเข้ามาดึงแขนเสื้อหลินเป่ยเฉิน น้ำตาไหลพราก “ให้ข้าน้อยติดตามไปด้วยได้หรือไม่?”
เพี๊ยะ!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดหน้าผากสาวรับใช้ประจำตัวอย่างแรง
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ต่างก็ตกตะลึงไปตาม ๆ กัน
กับเด็กสาวที่มีหน้าตางดงามเช่นนั้น เขาสามารถทำรุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น หลินเป่ยเฉินคงลงไปนอนจมอยู่ในกองบาทาเรียบร้อยแล้ว
“เจ้าคิดจะใช้ข้าเป็นข้ออ้างใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความฉุนเฉียว “เจ้าอยากจะติดตามข้าไปที่นครหลวงเพื่อหาโอกาสฆ่าคนต่างหาก”
เฉียนเหมยหัวเราะแหะ ๆ ออกมาทันที
สาวรับใช้รีบถอยกลับไป ทำปากยื่น ก้มหน้ามองพื้นดินอย่างรู้สึกผิด
“เอาเถอะ ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก กลับไปฝึกวิชาในนครเจาฮุยให้ดีก็แล้วกัน รอจนกระทั่งองค์จักรพรรดิสามารถรวบรวมกำลังพลได้เมื่อไหร่ ข้าจะอนุญาตให้เจ้านำกองทัพนายทหารคนงานขุดเหมือง บุกลงสู่สนามรบด้วยตนเอง”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นดีดหน้าผากเด็กสาวอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
“จริงหรือเจ้าคะ?”
ดวงตาของเฉียนเหมยเป็นประกายระยิบระยับราวกับดวงดาวบนฟากฟ้า
“เฮอะ”
หลินเป่ยเฉินแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ “หากเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่เป็นไร”
“ข้าน้อยเชื่อนายท่าน ข้าน้อยเชื่อนายท่านเสมอมา”
เฉียนเหมยเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและหยุดพูดจาไร้สาระ เขาดาวน์โหลดกระบี่เล่มใหญ่ออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ เมื่อเดินขึ้นไปยืนอยู่บนกระบี่ ก็ดึงตัวเซียวปิงกับอากวงขึ้นไปยืนอยู่ด้วย เรียบร้อยดีแล้วจึงได้เหินฟ้ามุ่งหน้าไปทางนครหลวง
องค์จักรพรรดิเฝ้ามองพวกเด็กหนุ่มบินจากไป จิตใจของพระองค์ท่านก็ทรงหนักแน่นมากขึ้นแล้ว
“ครั้งนี้ ข้าจะต้องนำทัพไปขยี้พวกตระกูลเว่ยด้วยตนเอง เราจะถอนรากถอนโคนพวกกบฏขายชาติ และแก้แค้นให้แก่ผู้เสียชีวิตอย่างสาสม”
องค์จักรพรรดิชักกระบี่ออกมาสาบานต่อสวรรค์
…
นครหลวง
ในอากาศยังเต็มไปด้วยหมอกควัน
ยังคงมีการต่อสู้เกิดขึ้นเป็นระยะ แม้ว่าจะเปลี่ยนผู้ปกครองแล้วก็ตาม
เมื่อตระกูลเว่ยสามารถยึดครองนครหลวงได้สำเร็จ พวกเขาก็แต่งตั้งตนเองเป็นราชวงศ์ใหม่ทันที
มีการประกาศแจ้งเตือนไปทั่วนครหลวง
แต่การต่อต้านไม่เคยหยุดลง
กลุ่มคนที่มาจากขบวนการใต้ดินปรากฏตัวขึ้นราวกับดอกเห็ด พวกเขาแข็งแกร่งดั่งหินผา เพียงไม่กี่วัน ขบวนการใต้ดินก็มีสมาชิกหลายพันคน
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ตระกูลเว่ยจะไล่สังหารกลุ่มกบฏและตัดศีรษะผู้ต่อต้านมาแขวนประจานอยู่หน้าสำนักมือปราบ แต่ถึงกระนั้น ก็ยังคงมีการลอบจู่โจมและลอบสังหารคนของตระกูลเว่ยอยู่เนือง ๆ และเหตุการณ์เหล่านี้เอง ก็ทำให้ตระกูลเว่ยตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมากที่สุดก็คือเกิดการลุกฮือขึ้นทั่วนครหลวง
เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่สามารถฆ่าได้ ผู้นั้นย่อมไม่รอดชีวิต
บัดนี้ โลหิตจึงไหลรินทั่วนครหลวงราวสายน้ำ
นักรบเกราะเพลิงออกไล่ล่าสังหารผู้คนไปทั่วเมือง
ไม่ว่าพวกเขาปรากฏตัวขึ้นที่ไหน ที่นั่นก็จะต้องมีคนตาย
บนท้องถนน ยังคงได้ยินเสียงการไล่ล่าฆ่าฟันอยู่เสมอ
“อย่าหนีนะ”
“หยุดนะ ไม่งั้นพวกเจ้าตายแน่”
ฟิ้ว!
ลูกธนูถูกยิงออกมา
“อ๊าก ข้าคงไม่รอดแล้ว”
กลุ่มเด็กหนุ่มที่ลักลอบมาฉีกป้ายประกาศจากทางการถูกนายทหารเกราะแดงพบเข้าโดยบังเอิญ หลังผ่านการวิ่งไล่ล่ามาหลายถนน สุดท้ายพวกเขาก็ถูกยิงด้วยลูกธนูตายอย่างอำมหิต
“คนเหล่านี้มาจากสมาคมศิษย์สำนักศึกษาประจำนครหลวง”
ผู้นำกลุ่มผู้ไล่ล่าตรวจค้นซากศพของเด็กหนุ่มเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง ก่อนกล่าวต่อ “พวกเราบุกไปที่สมาคมแห่งนั้นกันเลยดีกว่า ครั้งนี้แหละ พวกมันจะไม่สามารถกระทำการเหิมเกริมเช่นนี้ได้อีก”
“แต่ที่นั่นมีอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นคอยดูแลอยู่ เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบยอดสุภาพบุรุษประจำนครหลวง มีแต่ผู้คนรักใคร่… แม้แต่ท่านอ๋องก็ดูจะให้ความเกรงใจอยู่ไม่น้อย หากเราทำอะไรรุนแรงกับเยวียนเหวินจวิ้น อาจเกิดปัญหาภายหลังก็เป็นได้…”
“เฮอะ เจ้าจะกลัวอะไร? ที่ท่านอ๋องกับฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้ามัน ก็เพราะอยากจะใช้เป็นเครื่องมือเรียกคะแนนนิยมจากพวกที่สนับสนุนราชวงศ์เก่าต่างหาก แต่ในเมื่อชายผู้นี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คิดก่อกวนพวกเราไม่เลิกรา ฝ่าบาทก็คงไม่เอาไว้อย่างแน่นอน…”
“ถูกต้อง พวกเราจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย แล้วค่อยเขียนรายงานทีหลังก็ยังไม่สาย”
ผ่านไปเพียงหนึ่งก้านธูป
บรรดานายทหารเกราะเพลิงก็บุกโจมตีสมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงประจำนครหลวง
อาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นถูกสังหารกลางสมาคม เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของเขาอีกนับร้อยคน พวกเขาถูกตัดศีรษะนำมาเสียบประจานอยู่หน้าตึกที่ทำการสมาคม ซากศพกองเป็นภูเขาเลากา…
ส่วนศิษย์สำนักศึกษานับพันคนถูกจับกุมและส่งตัวไปขังคุก
บุตรชายของเยวียนเหวินจวิ้นอย่างเยวียนหนงและตู้กู่อู๋อิงผู้เป็นภรรยาต้องต่อสู้อย่างหนักจึงจะหลบหนีออกมาจากตึกที่ทำการได้สำเร็จ และบัดนี้ ก็ยังคงถูกตามล่าอยู่ในนครหลวงต่อไป