เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1007 ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนดี
ตอนที่ 1,007 ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนดี
กานเซียวซวงรู้สึกมึนงงไม่ใช่น้อย
เหตุไฉน ‘ภาพหลอน’ จึงพูดได้?
หรือนี่จะเป็นผลจากการรับประทานยาพิษ?
แต่ในลมหายใจต่อมานั้น เด็กสาวก็รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของตนเองพื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็วและยาพิษที่อยู่ในร่างกายก็ถูกขับออกไปหมดสิ้น…
“เจ้าเป็นใคร?”
“ศิษย์สำนักเดียวกันใช่หรือไม่? พวกเราจัดการมัน”
เสียงตะโกนจากนายทหารดังขึ้นรอบกาย
เด็กหนุ่มช่วยประคองกานเซียวซวงลุกขึ้นยืน สัมผัสอบอุ่นจากมือของเขาบอกชัดว่าภาพหลอนที่อยู่เบื้องหน้านางนี้หาใช่ภาพหลอนอีกต่อไปไม่…
เขามาแล้วหรือ?
เขามาแล้วจริง ๆ
ในที่สุด กานเซียวซวงก็รู้แล้ว
ในช่วงวิกฤตการณ์ของชีวิตนาง วีรบุรุษแห่งแผ่นดิน ผู้เป็นบุรุษหนุ่มในฝันของกานเซียวซวงได้ปรากฏตัวออกมาเพื่อช่วยเหลือชีวิตของนาง
“ฮื่อ ท่านพี่รีบหนีไป”
แม้ว่ากานเซียวซวงปรารถนาอยากจะอยู่ในอ้อมกอดของหลินเป่ยเฉินไปอีกนานแสนนาน แต่นางก็พยายามผลักเขาออกไป “บัดนี้ นครหลวงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ท่านจะอยู่ที่นี่ไม่ได้…”
น้ำเสียงและแววตาของเด็กสาวบอกชัดถึงความร้อนรนและตื่นกลัว
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวข้าจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมเอง”
กานเซียวซวงเบิกตาโต
คำพูดของเขาช่างฟังดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน
สมควรแล้วที่ได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดินและเป็นบุรุษในฝันของสาว ๆ นับไม่ถ้วน
“แต่ว่า…”
นางอยากบอกเล่าสถานการณ์ในเมืองหลวงให้เขาฟัง บัดนี้ นอกจากพวกเขาต้องรับมือกับตระกูลเว่ยแล้ว ยังต้องรับมือกับจักรวรรดิอื่น ๆ เช่นเดียวกับคณะทูตของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินแทรกขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร”
“ฮ่า ๆๆ…”
“เจ้าเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แต่กลับกล้าพูดจาวางท่าใหญ่โตเสียแล้ว”
“เจ้าจะเปลี่ยนทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมอย่างนั้นหรือ… เหอเหอเหอ สมองของเด็กคนนี้คงใช้การไม่ได้แล้วกระมัง”
กลุ่มนักรบเกราะเพลิงระเบิดเสียงหัวเราะ
พวกมันเคยเห็นผู้คนที่คุยโวมามากมาย
แต่ไม่เคยมีผู้ใดจะสามารถทำตามที่พูดได้จริง ๆ
ดังนั้น จึงไม่มีใครเชื่อถือคำพูดของเด็กหนุ่มปริศนา
“หนุ่มน้อย บอกมาเจ้าชื่ออะไร?”
หัวหน้าหน่วยนักรบเกราะเพลิงกลุ่มนี้มีนามว่าหวังหลงฉี มันสวมใส่เกราะหมาป่าเพลิง กระบี่ในมือยกชี้หน้าหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “เพื่อเห็นแก่ความกล้าหาญของเจ้า ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เอ่ยชื่อตนเองก่อนตาย”
เป็นที่ทราบกันดีว่าหวังหลงฉีคือนายทหารแห่งหน่วยเกราะเพลิงผู้มีพรสวรรค์น่าจับตา หลายคนคาดการณ์ว่าในภายภาคหน้า บุรุษหนุ่มผู้นี้จะต้องกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน
และก่อนที่มันจะฆ่าผู้ใด หากชายหนุ่มรู้สึกถูกชะตากับฝ่ายตรงข้าม มันก็จะให้เกียรติด้วยการให้อีกฝ่ายหนึ่งเอ่ยชื่อออกมา
“ข้าคือบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามกลับไป
“ว่าอย่างไรนะ?”
หวังหลงฉีหยุดชะงักไปเล็กน้อย
เด็กหนุ่มผู้นี้ไม่รู้จักกลัวตายบ้างเลยหรืออย่างไร?
ในเวลาเช่นนี้ ยังกล้าพูดจาเหลวไหลอยู่อีกหรือ?
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มปริศนาก็กล่าวต่อ “ตัวข้านั้นมีนามว่าหลินเป่ยเฉิน”
“อะไรนะ?”
หวังหลงฉีสะดุ้งเฮือก
แต่การตกตะลึงครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว
ความแปลกใจเมื่อก่อนหน้านี้คือความเย้ยหยัน
แต่ความแปลกใจในครั้งนี้คือความตกตะลึงและหวาดกลัว
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้นำหน่วยนักรบเกราะเพลิง หากมันไม่รู้ว่า ‘หลินเป่ยเฉิน’ สามคำนี้มีความหมายอย่างไรบ้าง หวังหลงฉีก็สมควรถูกสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นแล้ว
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง”
หวังหลงฉีระเบิดเสียงหัวเราะออกมาบ้าง “หนทางไปสวรรค์มีไม่ไป กลับดั้นด้นหาหนทางลงสู่นรก ประเสริฐ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว… ก็เข้ามาเถอะ”
มันยกมือโบกสะบัด
แล้วนายทหารเกราะเพลิงผู้เป็นลูกน้องก็ชักกระบี่ควงหอกพุ่งเข้ามา
ในเวลาเดียวกันนี้ หวังหลงฉีก็ใช้วิชาตัวเบาเหินร่างกลายเป็นลำแสงหลบหนีไป
นับเป็นการหลบหนีที่รวดเร็วยิ่ง
แต่จะหลบหนีไปได้ไกลสักแค่ไหนกัน?
มันคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มปริศนาผู้นั้นจะเป็นหลินเป่ยเฉิน
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดเด็กหนุ่มถึงกล้าอ้างตนว่าเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ นั่นก็เพราะว่าหลินเป่ยเฉินมีความหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยากจริง ๆ
แต่สำหรับบุรุษด้วยกันเอง ความหล่อเหลาของเขาหาใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัวไม่
แต่เป็นความแข็งแกร่งต่างหาก
หวังหลงฉียังจำได้ดีถึงการต่อสู้ที่หลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะมือธนูจ้าวอินทรีของจักรวรรดิจี้กวงได้อย่างปาฏิหาริย์
หวังหลงฉีมีความมั่นใจในวิชากระบี่ของตนเอง
แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคู่ต่อสู้ของมันเป็นใครด้วยเช่นกัน
หากคู่ต่อสู้ของมันคือกานเซียวซวง นั่นย่อมไม่ใช่ปัญหา
แต่หากเปลี่ยนเป็นหลินเป่ยเฉินเล่า?
มันคงไม่สามารถต่อกรได้เด็ดขาด
ต่อให้มีหวังหลงฉีอีกเป็นหมื่นคน ก็ยังไม่มีทางเอาชนะหลินเป่ยเฉิน
ดังนั้น มันจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่อรอรับความตายเพื่ออะไร?
สู้รีบหนีออกมาไม่ดีกว่าหรือ?
แม้จะอับอายขายหน้า แต่อย่างน้อยก็ยังรอดชีวิต
แต่หวังหลงฉีคิดว่าตนเองหลบหนีได้อย่างรวดเร็วแล้ว กระบี่ของหลินเป่ยเฉินกลับมีความรวดเร็วมากกว่านั้นหลายเท่า
วูบ!
รังสีกระบี่พุ่งแหวกอากาศเป็นวังน้ำวน
ร่างของหวังหลงฉีที่เหินกายอยู่กลางอากาศพลันแยกส่วน หัวไปทาง แขนขาไปอีกทาง…
สุดท้าย ม่านโลหิตก็พร่างพรมลงสู่พื้นดินอย่างหนาแน่น
หวังหลงฉีตายแล้ว
ลักษณะการตายของมัน แทบไม่แตกต่างไปจากวิธีการฆ่าที่มันเคยกระทำต่อผู้อื่น
ในเวลาเดียวกันนี้ นักรบเกราะเพลิงคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ต่างก็ตายด้วยการ ‘ทรยศ’ จากอาวุธในมือของตนเอง
ด้วยระดับพลังของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ทหารชั้นปลายแถวเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากมดแมลงตัวหนึ่ง
กานเซียวซวงเบิกตาโต
ด้วยความตกตะลึง
แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมายมากเกินไป
ต้องไม่ลืมว่าเขาคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดินหลินเป่ยเฉิน
เขาย่อมเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทาน
“บัดนี้ พวกเราที่ถูกตามล่ายังคงมีศิษย์พี่หลี่ ศิษย์พี่หลิวและคนอื่นๆ อยู่ด้วยเจ้าค่ะ…” กานเซียวซวงรีบพูดออกมาด้วยความร้อนรน “ทุกคนกำลังตกอยู่ในอันตราย”
…
“สัตว์เดรัจฉาน” หลิวเหวินฮุยหัวเราะเยาะ “เจ้าฝันไปเถอะ”
หลี่ซิวเยวียนลุกขึ้นกลับมายืนหยัดอยู่ข้างกายหลิวเหวินฮุย มือของเขาโอบกอดหญิงคนรักแนบแน่น แม้ไม่พูดคำใด แต่การกระทำของเขาก็กล่าวแทนคำพูดได้หมดสิ้น
ขณะเดียวกันนี้
ดวงตาของเว่ยซวงหัวยิ่งเป็นประกายด้วยความสนุกสนานมากขึ้น
รักกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ประเสริฐ
ยิ่งรักกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าตื่นเต้นมากเท่านั้น
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัวตาย” กระบี่ทองคำในมือของมันถูกยกขึ้นมาเลีย ก่อนที่สายตาจะจับจ้องไปยังหลิวเหวินฮุยและกล่าวต่อ “แต่ในโลกนี้ ยังมีสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตายอยู่อีก อย่างเช่น หากข้าดีดนิ้วมือในยามนี้ เจ้าก็จะได้รู้ซึ้งถึงแก่นใจว่าบางครั้งการมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย หรือบางทีเจ้าอาจไม่อยากคิดเกิดมาอีกเลยก็เป็นได้… เจ้าอยากจะใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวดไปตลอดกาลเช่นนั้นหรือไม่?”
สีหน้าของหลิวเหวินฮุยยังคงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง
หลี่ซิวเยวียนยกกระบี่ขึ้นมากำลังจะปาดคอตนเองโดยไม่ลังเลสักนิด
แต่เว่ยซวงหัวก็ยกมือขึ้นดีดนิ้ว
แล้วทั่วร่างของหลี่ซิวเยวียนตั้งแต่หัวจรดเท้าก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อีกต่อไป
“เห็นแล้วหรือไม่?”
เว่ยซวงหัวยิ้มออกมาด้วยความอำมหิต
มันชื่นชอบแววตาที่หมดหวังและเศร้าโศกของหลิวเหวินฮุยเหลือเกิน
มันเคยเห็นสายตาเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน
แต่สุดท้าย เดี๋ยวก็ต้องยอมจำนนอยู่ดี
มนุษย์ตราบใดที่ยังมีความรู้สึก ตราบนั้นก็ยังคงมีจุดอ่อน
“ยังไม่รีบถอดอาภรณ์ของเจ้าอีก…”
เว่ยซวงหัวแสยะยิ้มด้วยความชอบใจ แต่พูดได้เพียงเท่านี้ จมูกก็ได้กลิ่นหอมบางอย่าง
เป็นกลิ่นหอมของอาหาร
คล้ายกับเป็นกลิ่นหอมของน่องไก่ย่างใช่หรือไม่?
มีใครมายืนรับประทานน่องไก่ย่างอยู่ข้างหลังมันอย่างนั้นหรือ?
และยืนอยู่ในระยะประชิดมากทีเดียว
ทำไมมันถึงไม่รู้ตัว?
ด้วยความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในหัวใจ เว่ยซวงหัวรีบหมุนกายเปลี่ยนตำแหน่งด้วยความรวดเร็ว สายตาของมันจับจ้องไปตรงบริเวณที่ตนเองยืนอยู่เมื่อสักครู่
แต่กลับมีเพียงอากาศธาตุว่างเปล่า
ไม่มีใคร?
เมื่อถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก กลิ่นของน่องไก่ย่างก็ลอยมาจากด้านหลังอีกครั้ง
น่าขนลุก
เว่ยซวงหัวกำลังจะหมุนกายอีกครั้ง แต่มือที่อวบอ้วนของใครบางคนก็ตะปบลงบนหัวไหล่ของมันพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว ข้าเป็นคนดี”
เว่ยซวงหัวเย็นเฉียบไปทั้งกายด้วยความหวาดกลัว
บุคคลผู้นี้มีพละกำลังมหาศาล ตัวมันเองเรียกได้ว่ามีพลังไม่ต่ำต้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตะปบมือลงบนหัวไหล่ พลังลมปราณก็แหลกสลาย แม้แต่กระดูกก็อาจจะแตกหักแล้ว…
และเพราะว่ามันไม่ใช่คนดี
จะเกิดอะไรขึ้นหากคนเลวเผชิญหน้ากับคนดี?
คนเลวก็จะต้องทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน
เว่ยซวงหัวตระหนักว่าตนเองกำลังเจอปัญหาใหญ่แล้ว
ทันใดนั้น หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็แสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา พวกเขามองไปทางด้านหลังของเว่ยซวงหัวและกล่าวด้วยความไม่อยากเชื่อว่า “เป็นท่านเองหรือ? ท่านคือคุณชายจาจ้าฮุยใช่หรือไม่?”