เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1009 จักรพรรดิองค์ใหม่
ตอนที่ 1009 จักรพรรดิองค์ใหม่
นครหลวง
วังหลวง
ร่องรอยแห่งการดำรงอยู่ของราชวงศ์หลี่ถูกลบเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว
และร่องรอยแห่งการดำรงอยู่ของตระกูลเว่ยถูกเติมเต็มเข้ามาแทนที่
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนเดินเข้าสู่วังหลวง ในที่สุดก็มาพบกับประมุขตระกูลเว่ยคนปัจจุบัน เว่ยอู๋จีผู้เป็นบิดาของเว่ยหมิงเฉิน
“ฝ่าบาท มีขั้นเซียนปรากฏตัวในเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนมีสถานะไม่ต่ำต้อย จึงสามารถเข้าพบผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในนครหลวงได้โดยไม่ต้องผ่านการตรวจสอบ
“มีขั้นเซียนปรากฏตัวรึ?”
เว่ยอู๋จีเป็นชายวัยกลางคนมีรอยคล้ำใต้ดวงตา ผิวพรรณของเขาขาวผ่อง รูปร่างสันทัด ถามด้วยความสนใจว่า “อยู่ระดับใด? มีความแข็งแกร่งมากหรือไม่?”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนกล่าวตอบว่า “ไม่ต่ำต้อยไปกว่ากระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“หืม?”
เว่ยอู๋จีจึงต้องเปลี่ยนคำถามใหม่อีกครั้ง “เทียบกับบุตรชายของข้าแล้วเป็นอย่างไร?”
เขามีบุตรชายอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 38 คน ในจำนวนนี้ยังไม่รวมอีกสองคนที่ถูกหลินเป่ยเฉินสังหารตายไปแล้ว
แต่คำว่าบุตรชายที่ถูกเอ่ยออกมา ณ บัดนี้ กลับหมายถึงเว่ยหมิงเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนก้มหน้ากล่าวว่า “ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับองค์ชายได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ฮ่า ๆๆ”
เว่ยอู๋จีระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “เหยาเหลียน เจ้าพูดถูกแล้ว ฮ่า ๆๆ ในโลกนี้ ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับบุตรชายของข้าได้อีกแล้ว”
เมื่อได้ยินเว่ยอู๋จีเอ่ยชื่อของตนเองออกมา ทูตสวรรค์เหยาเหลียนก็เลิกคิ้วขึ้นสูงเล็กน้อย
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเรียกชื่อนี้ออกมา ก็คงต้องนอนทอดร่างเป็นซากศพไปแล้ว
แต่ในเมื่อผู้พูดเป็นบิดานายท่านของมัน เรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา
“พิธีราชาภิเษกของข้าจะเกิดขึ้นในอีกสิบวันหลังจากนี้”
เว่ยอู๋จีนั่งลงบนบัลลังก์รูปทรงมังกรที่ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด เขาลูบมือลงไปบนที่วางแขนทองคำด้วยความพึงพอใจ สีหน้าแสดงออกถึงความหลงใหล ก่อนที่ดวงตาจะหรี่ลงเล็กน้อยขณะถามว่า “เหยาเหลียน เจ้าเป็นบุคคลที่บุตรชายของข้าเชื่อใจมากที่สุด เพราะฉะนั้น เจ้าคงจะกำจัดขั้นเซียนที่ปรากฏตัวผู้นี้ได้โดยเร็วที่สุดใช่หรือไม่?”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนก้มศีรษะรับคำสั่ง “ฝ่าบาทได้โปรดวางพระทัย บัดนี้ ทูตสวรรค์อีกสามท่าน ไม่ว่าจะเป็นเหยาหมิง เหยาก่าน และเหยาเหรินต่างก็กำลังเดินทางมาแล้ว เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถรบกวนจิตใจฝ่าบาทได้อีก”
“จริงหรือ?”
เว่ยอู๋จีนั่งไขว่ห้างอยู่บนบัลลังก์ กระดิกเท้าอย่างสบายอารมณ์ “ต้องขอบคุณบุตรชายของข้าสินะ พวกเจ้าถึงมาทำงานให้ข้าด้วยความขยันขันแข็งเช่นนี้?”
“ทูลฝ่าบาท”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนประสานมือก้มหน้าต่ำ “หาได้เป็นเช่นนั้นไม่”
เว่ยอู๋จียังคงพูดพร้อมกับกระดิกเท้าต่อไป “เฮอะ ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้น เจ้าจะตกใจอันใด… ช่างเถอะ เรื่องการต่อสู้ที่วิหารประจำเมือง เจ้าได้คำตอบมาแล้วหรือไม่?”
ดวงตาของทูตสวรรค์เหยาเหลียนปรากฏความหมองหม่นขึ้นมาวูบหนึ่ง
เพราะนี่เป็นปัญหาบางอย่างที่มันไม่สามารถหาคำตอบได้
เหตุไฉนบิดาของนายท่านจึงได้มีนิสัยชั่วช้า ต่ำทราม ดุร้าย ก้าวร้าว มากตัณหา เกียจคร้าน หยาบคาย และโง่เขลาได้ถึงเพียงนี้?
เหตุไฉนนายท่านจึงได้เลือกบิดาเช่นนี้ ขึ้นเถลิงบัลลังก์ครองตำแหน่งจักรพรรดิองค์ต่อไป?
“ฝ่าบาทได้โปรดมั่นใจ หัวหน้านักบวชได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้เมื่อวานนี้ นางคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนให้คำตอบในที่สุด “กระหม่อมเชื่อว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้น คงทำให้นางรับรู้ถึงสถานการณ์เป็นอย่างดี บัดนี้คือยุคแห่งความรุ่งเรืองของเทพแห่งพงไพร หากเทพีกระบี่ยังไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัว จุดจบของนางก็จะมาถึงในอีกไม่ช้าพ่ะย่ะค่ะ”
“หึหึ… พวกเทพเจ้าที่น่าสงสาร”
เว่ยอู๋จีมีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยกมือเท้าคาง กระดิกเท้าและกล่าวว่า “ข้าจะคอยดูวันนั้นก็แล้วกัน ข้าอยากรู้นักเชียวว่าพวกเทพเจ้าตัวจริงนั้นจะสูงส่งสักแค่ไหน?”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนก้มหน้านิ่งเงียบ
เว่ยอู๋จีระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ดูเจ้าสิ ทุกครั้งที่ข้าพูดถึงเทพเจ้า เจ้าจะต้องมีสีหน้าเหมือนบุตรที่บิดามารดาถูกฆ่าตายเสียให้ได้ ไหนลองยิ้มให้ข้าดูหน่อยซิ”
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหมุนกายเดินออกไปจากท้องพระโรง
“ฮ่า ๆๆ น่าเบื่อเหลือเกิน เจ้าได้ตำแหน่งทูตสวรรค์มาได้อย่างไร เคร่งเครียดในกฎระเบียบกันเกินไปแล้ว เหตุไฉนจึงไม่รู้จักตักตวงความสุขเช่นคนธรรมดาบ้างเล่า?”
เว่ยอู๋จีนั่งกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนบัลลังก์ทองคำ หัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่เพียงลำพัง
…
วิหารประจำเมือง
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้ขึ้นมายังวิหารประจำนครหลวง
ที่นี่มีความยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คิด
มีความหรูหราเกินกว่าที่คิด
ภูเขาใหญ่ลูกนี้เชื่อมต่อกับภูเขาลูกอื่น ๆ ไม่ต่างไปจากอ้อมแขนสีเขียวขจีที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล…
นับจากตีนเขาจรดยอดเขา ปรากฏอาคารบ้านเรือนถูกก่อสร้างขึ้นมาให้เห็นเป็นระยะ เช่นเดียวกับเฉลียงทางเดินที่เชื่อมต่อกันไปจรดขอบหน้าผาและยอดเขาที่โดดเดี่ยว
เพียงมองดูสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ก็รู้แล้วว่า ในอดีต วิหารประจำเมืองแห่งนี้ย่อมมีนักบวชอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่บัดนี้ ระหว่างยอดเขาและเส้นทางข้ามผ่าน ล้วนปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความโดดเดี่ยว
อารามจำนวนมากว่างเปล่า ขั้นบันไดเต็มไปด้วยฝุ่นผงและหยากไย่
ตะเกียงที่แขวนอยู่ตามรูปปั้นมอดไหม้ไร้ผู้เติมเชื้อไฟ
แต่ก็ยังมีอารามบางส่วนที่ปรากฏนักบวชระดับสูง กำลังนั่งอยู่ใต้รูปปั้นใหญ่ โคจรพลังลมปราณเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเอง
ดูเหมือนพวกนางเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วง ทุกคนได้รับบาดเจ็บมากน้อยแตกต่างกันไป
หัวหน้านักบวชคนใหม่นามว่าฮวาชิงเหยียนนำพวกของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาถึงวิหารใหญ่บนยอดเขา
นี่คือวิหารอันดับหนึ่งของเทพีกระบี่แห่งจักรวรรดิเป่ยไห่
รูปปั้นของเทพีกระบี่ที่สูงที่สุด ใหญ่ที่สุดและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของจักรวรรดิเป่ยไห่ตั้งอยู่ที่นี่
พวกของหลี่ซิวเยวียนได้เข้าไปพักอยู่ในอารามทางด้านข้าง
ส่วนหลินเป่ยเฉินติดตามหัวหน้านักบวชคนใหม่นามฮวาชิงเหยียนเข้าไปยัง ‘ตำหนักกระบี่’
“พระองค์รอท่านอยู่ด้านใน”
ฮวาชิงเหยียนยืนอยู่หน้าทางเข้าตำหนัก ผายมือเป็นลักษณะเชิญให้เด็กหนุ่มก้าวเท้าเข้าไปด้านในเพียงลำพัง
หัวหน้านักบวชคนใหม่ประจำวิหารหลวงผู้นี้มีอายุประมาณ 25 – 26 ปี ลักษณะท่าทางย่อมเป็นหญิงสาวทรงเสน่ห์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์ผุดผ่อง อาศัยเพียงความงามของนางแค่อย่างเดียว ก็เป็นอาวุธร้ายกาจที่สามารถมอมเมาบุรุษได้แทบทั้งแผ่นดิน
และเพื่อรักษาบุคลิกจอมเสเพล สายตาของหลินเป่ยเฉินจึงสำรวจเรือนร่างของหัวหน้านักบวชคนใหม่อยู่พักใหญ่
ฮวาชิงเหยียนประสานสายตาตอบกลับมาและยิ้มให้เขาเล็กน้อย
“ท่านเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเห็น”
น้ำเสียงของนางอ่อนหวาน วาจาชัดเจนตรงไปตรงมา “ก่อนที่ข้าจะได้พบเจอท่าน ในสายตาของข้าไม่เคยรับรู้ถึงการมีอยู่ของบุรุษเพศมาก่อน”
หืม นี่นางกำลังชมเขาอยู่ใช่ไหมเนี่ย?
ในใจของหลินเป่ยเฉินนึกเปรียบเทียบความงามระหว่างฮวาชิงเหยียนกับนักพรตหญิงชินขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…
แน่นอนว่านักพรตหญิงชินย่อมเป็นผู้ชนะ
เพียงแต่ไม่ทราบเลยว่าบัดนี้นางหายไปอยู่ที่ใด
หลินเป่ยเฉินยิ้มรับคำชมจากหัวหน้านักบวชคนใหม่ ก่อนจะหมุนกายเดินเข้าไปในตำหนัก
ห้องโถงด้านในมีแสงไฟริบหรี่
ในอากาศได้กลิ่นคาวเลือด
บางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในความมืด
หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกของห้องโถงอย่างแช่มช้า
แสงจันทร์ส่องผ่านหลังคากระจกด้านบนลงมาลูบไล้บัลลังก์หินขาวที่ตั้งอยู่สุดทางเดิน
บรรยากาศหนาวเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์หินขาวปล่อยผมยาวสยาย นางสวมใส่อาภรณ์สีขาวสะอาด ดวงตาสะท้อนประกายระยิบระยับอยู่กับแสงจันทร์
“เจ้ามาแล้ว”
“ข้ามาแล้ว”
“เจ้าไม่ควรมา”
“แต่ข้าก็มาแล้ว”
“สายเกินไปที่เจ้าคิดจะหลบหนี”
“ข้าไม่เคยคิดหลบหนีตั้งแต่แรก”
“ข้าได้กลิ่นอายปีศาจจากกายของเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ายังเหลือพลังอยู่อีกเท่าไหร่?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าท่านบาดเจ็บมากแค่ไหน”
“เจ้ามองไม่ออกหรือ?”
“ข้าต้องค่อย ๆ ดูอย่างละเอียด”
“ดูอย่างละเอียดอันใด?”
“ท่านได้รับบาดเจ็บทางกาย แต่มิได้รับบาดเจ็บทางใจ”
“ดูเหมือนเจ้าไปทำภารกิจกลับมาจะเติบโตขึ้นไม่ใช่น้อย”
บนบัลลังก์หิน ‘เทพีกระบี่’ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ติ๋งติ๋งติ๋ง
โลหิตไหลหยดลงมาจากที่วางแขนของบัลลังก์หิน จังหวะที่โลหิตตกกระทบพื้นหิน มันก็แตกกระจายราวกับกลีบดอกบัวที่บานสะพรั่ง ดูสวยงามและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน