เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1011 รอคอยมานานแล้ว
ตอนที่ 1,011 รอคอยมานานแล้ว
นี่เท่ากับว่าตระกูลเว่ยเตรียมการมาดีมาก
นอกจากสามารถยึดครองจักรวรรดิเป่ยไห่ได้แล้ว
พวกมันยังโค่นล้มเทพีกระบี่ได้อีกด้วย
เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
หนทางข้างหน้าจะยิ่งยากลำบากมากขึ้น
แต่ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้ว…
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางปล่อยให้ตระกูลเว่ยทำสำเร็จได้ง่ายดายเด็ดขาด
บัดนี้ เด็กหนุ่มกำลังคิดหาวิธีจัดการเทพพงไพร เพื่อปิดบังความลับเรื่องที่เขาฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ
แต่เทพพงไพรยังคงอยู่บนดินแดนทวยเทพ บัดนี้ ยังไม่สามารถลงมาทำอะไรได้ในโลกมนุษย์
เพราะฉะนั้น เขาต้องรีบสังหารเทพเจ้าซึ่งเป็นสมาชิกของเผ่าเทพพงไพรผู้หนุนหลังตระกูลเว่ยผู้นั้นให้ได้เสียก่อน
หากหลินเป่ยเฉินสามารถฆ่าเทพเจ้าผู้นั้นได้สำเร็จ ก็จะไม่มีใครรู้ความลับเรื่องที่เขาฝึกวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณอีกแล้ว
อ้า นี่คือแผนการที่วิเศษสุด!!
หลินเป่ยเฉินนึกชื่นชมในความฉลาดของตนเอง
หากเขาสามารถสังหารเทพเจ้าผู้นั้นได้สำเร็จ ตระกูลเว่ยก็ต้องล่มสลายตามกันไป
ดังนั้น ถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถจัดการเทพเจ้าจากเผ่าเทพพงไพรที่มาอยู่บนโลกมนุษย์ได้สำเร็จ ก็เท่ากับเป็นการโค่นล้มตระกูลเว่ยไปในเวลาเดียวกัน
นี่คือการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เขาจะทำให้เว่ยหมิงเฉินได้รู้ว่าความเจ็บปวดทรมานที่แท้จริงนั้นมันเป็นเช่นไร
“พวกเรามาร่วมมือกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นและกล่าวว่า “แค่สังหารเทพเจ้าที่หนุนหลังตระกูลเว่ยให้ได้ เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว…”
“ข้าอุตส่าห์พูดไปตั้งมากมาย เจ้าไม่ได้รับฟังเลยหรือ?”
เทพีกระบี่ขมวดคิ้วและหัวเราะในลำคอ “เจ้ายังมีเวลาให้หลบหนีอยู่นะ”
“ท่านคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว “พวกมันมาทำร้ายผู้หญิงของข้าถึงขั้นนี้ ข้าจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร? หากข้าไปตอนนี้ ข้ายังจะนับเป็นลูกผู้ชายได้อีกหรือ? ผู้คนจะได้กล่าวเอาว่าข้าเป็นคนเสเพลไร้ความรับผิดชอบน่ะสิ”
เทพีกระบี่ยิ้มเล็กน้อย “แล้วเจ้าไม่ใช่หรือไร?”
หลินเป่ยเฉินพลันนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเผ่าจันทราขาว เสียงของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย แต่ก็ยังพยายามเชิดหน้ากล่าวต่อไปว่า “ขะ… ขะ… ขะ… ข้า… ต่อให้ข้าเป็นบุคคลเสเพล อย่างน้อยข้าก็เป็นบุคคลเสเพลที่มีความรับผิดชอบ”
ครั้งนี้เทพีกระบี่ไม่ได้ปฏิเสธอีกแล้ว
“ข้าจะช่วยรักษาท่านก่อน”
หลินเป่ยเฉินวาดมือขึ้นมาและพ่นละอองน้ำออกไปจากฝ่ามือ
เมื่อละอองน้ำแห่งพลังวารีบำบัดครอบคลุมลงไปทั่วร่างเทพีกระบี่ เพียงไม่นาน ม่านพลังสีเขียวเจือจางก็แผ่รัศมีออกมา
นางได้รับการรักษาแล้ว
“ดีขึ้นมาเล็กน้อย…”
เทพีกระบี่รู้สึกไม่คาดคิด นางพบว่าอาการบาดเจ็บของตนเองแทบหายดีแล้วและพลังวิญญาณก็ยังฟื้นฟูขึ้นมาอีกด้วย
แต่พลังศักดิ์สิทธิ์ยังคงเหือดหายไป
หลินเป่ยเฉินก็สังเกตเห็นเช่นกัน
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้นะ?
“พลังศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่จะฟื้นฟูขึ้นมาได้ง่าย ๆ”
เทพีกระบี่มีสีหน้าเย็นชา ไม่ได้ผิดหวังและยังคงอธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “เพราะว่าพลังศรัทธาจากผู้คนลดลง”
หลินเป่ยเฉินงุนงงเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็เข้าใจ
“นั่นเป็นเพราะว่าผู้คนในนครหลวงถูกสังหารมากเกินไป และเป็นเพราะว่าวิหารหลวงถูกบุกรุกด้วยใช่หรือไม่?”
เขาสอบถาม
เทพีกระบี่พยักหน้า “มิเช่นนั้น ตระกูลเว่ยจะปล่อยพวกเขาเอาไว้ทำไม? เมื่อพวกมันสามารถยึดครองจักรวรรดิได้สำเร็จ ในอีกไม่ช้าก็เร็ว… ประชาชนผู้รอดชีวิตก็จะต้องกลายเป็นพวกมันอย่างแน่นอน”
ฆ่าครึ่งหนึ่ง ไว้ชีวิตครึ่งหนึ่ง
ผู้ที่ถูกสังหารตายไปแล้ว ย่อมไม่มีพลังศรัทธาอีกต่อไป
ส่วนผู้ที่รอดชีวิต ก็สูญเสียศรัทธาในตัวเทพีกระบี่หมดสิ้น
ต้องเข้าใจก่อนว่าพลังศรัทธาคือสิ่งสำคัญมากสำหรับเทพเจ้า
การสูญเสียพลังศรัทธาไม่เพียงแต่จะทำให้เทพเจ้าองค์นั้นอ่อนแอลงเท่านั้น แต่ยังทำให้ภาพลักษณ์เสื่อมเสียอีกด้วย
กล่าวโดยสรุปก็คือ สถานการณ์ในขณะนี้ แม้ตระกูลเว่ยที่มีเทพเจ้าคอยหนุนหลังจะไม่ทำสิ่งใดเลย แต่อีกไม่นาน เทพีกระบี่และนักบวชของนางก็จะสูญเสียพลังศรัทธาไปทั้งหมด เมื่อเวลานั้นมาถึง พวกนางก็จะกลายเป็นเพียงแกะน้อยที่ให้พวกมันไล่ล่าฆ่าฟันได้ตามอำเภอใจ
ช่างเป็นแผนการที่ชั่วร้ายยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินคิดพร้อมกับนำผลกวนเจี๋ยออกมาสองลูก โยนให้เทพีกระบี่ลูกหนึ่ง ส่วนอีกลูกเขายกขึ้นมารับประทานเอง
“ยังมีอีกเรื่องที่ข้าไม่เข้าใจ”
ในปากของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยน้ำรสชาติหอมหวาน “ท่านเองก็ถือเป็นหนึ่งในเทพเจ้าในสารบบ แล้วเหตุไฉนสมาชิกของเผ่าเทพพงไพรถึงต้องการโค่นบัลลังก์ของท่านในโลกมนุษย์ด้วย?”
“เฮอะ เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือ?”
เทพีกระบี่กัดผลกวนเจี๋ยอย่างรุนแรงและกล่าวว่า “ที่ชื่อเสียงของข้าหม่นหมองถึงขั้นนี้ ก็เพราะเทพีกระบี่ตัวปลอมที่เจ้ารักนักรักหนานั่นไงล่ะ…”
“หา?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักการรับประทานโดยทันที “ข้าขอประท้วง สิ่งที่ท่านพูดมาไม่ใช่ความจริง… นางกับข้าไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้น… เอ๊ะ เดี๋ยวก่อนนะ สิ่งที่ท่านกำลังจะพูดก็คือ…”
เด็กหนุ่มทำท่ายกนิ้วชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
นางหมายถึงเทพีกระบี่ที่อยู่บนดินแดนทวยเทพสินะ?
เทพีกระบี่ยิ้มเย็นชา “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
ปริศนาไขกระจ่างแล้ว
หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวอีกครั้ง
เขาน่าจะนึกถึงเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ
“เทพเจ้าตัวปลอมอย่างนาง เมื่อได้ขึ้นครองบัลลังก์ของข้าในดินแดนทวยเทพ นางก็ประพฤติตนเหลวไหล เสพติดสุรา สร้างศัตรูไว้ทุกหนทุกแห่ง เพราะฉะนั้น มันถึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในโลกมนุษย์แห่งนี้ จะมีเทพเจ้าองค์อื่นอยากมาแทนที่ตำแหน่งของข้า…”
เทพีกระบี่พูดด้วยความเกลียดชัง
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรตอบรับอย่างไร
“นี่ ผลกวนเจี๋ยอร่อยมาก ช่วยบรรเทาอาการบาดเจ็บของท่านได้บ้างหรือไม่?” เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย
“ช่วยได้บ้างเล็กน้อย ไม่ต่างจากหยดน้ำที่ไหลลงมหาสมุทร แต่ข้าก็ยังจำเป็นต้องอาศัยพลังศรัทธาอยู่ดี” เทพีกระบี่กัดกินผลไม้สีเขียวในมืออีกหลายคำและรับรู้ได้ทันทีว่าผลไม้ชนิดนี้ไม่ธรรมดา “เจ้ามีอีกหรือไม่? ขอไว้ให้ข้ารับประทานอีกสักหลายลูกหน่อยเถอะ”
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดเล็กน้อย ก็นำผลกวนเจี๋ยออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์อีกสองลูก “ข้าเหลืออยู่เท่านี้… ข้าให้ท่านทั้งหมดเลยก็แล้วกัน”
แต่ความจริงนั้น เขายังเหลืออยู่อีกเกือบ 20,000 ลูก
เทพีกระบี่รับไว้อย่างไม่เกรงใจ
หลินเป่ยเฉินถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ท่านได้วางแผนการต่อจากนี้เอาไว้บ้างหรือยัง?”
“แผนการหรือ?”
“ท่านเก็บตัวอยู่ในวิหารนานขนาดนี้ ไม่ใช่ว่ากำลังคิดวิธีแก้ปัญหาอยู่หรือไง?”
“ขะ… ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น”
“งั้นเดี๋ยวข้าจะช่วยท่านคิดหาวิธีแก้ปัญหาเอง”
“วิธีแก้ปัญหาใด?”
“ข้าเองก็ยังไม่ได้คิดเช่นกัน”
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นเรามาทำธุระกันก่อนเถอะ”
“ธุระ? ธุระอันใดไม่ทราบ…”
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
“นี่? เดี๋ยวก่อนสิ ท่านจะทำอะไร นี่มันใช่เวลาไหมเนี่ย เมื่อครู่นี้ท่านยังพูดว่า… เอ๋? อย่าถอดเข็มขัดข้าสิ ท่านจะทำอะไร… โอ้ววว์!”
หลินเป่ยเฉินหอบหายใจด้วยความตื่นเต้น
เขาก้มหน้ามองเทพีกระบี่ที่คุกเข่าลงตรงหน้าท้องของตนเองด้วยความประหลาดใจ
เทพีกระบี่กลายเป็นผู้เสพติดราคะไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
หรือว่านางคิดว่าเขาเป็นฝ่ายเชิญชวนก่อนนะ?
แล้วจะหาวิธีใดที่สามารถเรียกคืนพลังศรัทธากลับมาจากประชาชนได้?
หลินเป่ยเฉินขบคิดอยู่ในใจ
ทุกคนต่างก็ต้องเดือดร้อนกันหมด แล้วเขาจะช่วยเหลือสิ่งใดบ้างไม่ได้เชียวหรือ?
แต่ในไม่ช้า เด็กหนุ่มก็ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นอีกแล้ว
เพราะว่า…
มันน่าตื่นเต้นมากเกินไป
ช่างมันเถอะ
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคราง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกเต็มกำลัง
…
ครึ่งชั่วยามต่อมา
หลินเป่ยเฉินก็เดินลงมาจากภูเขา
ศึกสวาทครั้งนี้ใช้เวลาไม่นานนัก
ไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินหมดแรง
แต่เป็นเพราะพลังในร่างกายของเขามันแข็งแกร่งมากเกินไป เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น เทพีกระบี่ก็ถึงกับรับพลังไม่ไหวและหมดสติไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินทิ้งพวกของหลี่ซิวเยวียนอยู่ในอารามบนภูเขาชั่วคราว หลังจากนั้น เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าสู่ใจกลางนครหลวง
“ก่อนอื่นเราต้องไปเก็บศพสหายเก่าก่อน”
หลินเป่ยเฉินมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านนอกอาคารสำนักงานสมาคมศิษย์สำนักศึกษาระดับสูงประจำนครหลวง ซึ่งเป็นหอสูงสามชั้น
ศีรษะของเด็กหนุ่มเด็กสาวจำนวนมากกองทับถมกันเป็นภูเขาเลากา และซากศพพวกของเยวียนเหวินจวิ้นก็ถูกนำมาแขวนประจานอยู่บนเสาหินหน้าสำนักงาน
ไม่ได้พบเจอกันเพียงไม่นาน อาจารย์เยวียนก็ถึงกับเสียชีวิตไปแล้ว
เช่นเดียวกับผู้คนในสมาคมทั้งหลายเหล่านั้น
หลินเป่ยเฉินสืบเท้าเดินเข้าไปอย่างแช่มช้า หัวใจของเขาร้อนรุ่มดั่งมีกองไฟแผดเผา
“หยุดนะ”
“นั่นใคร?”
“หากเจ้าเดินเข้ามาใกล้มากกว่านี้ เจ้าตายแน่”
กลุ่มนักรบเกราะเพลิงที่ยืนรักษาการณ์อยู่บริเวณนั้นพบเห็นการเดินเข้ามาของหลินเป่ยเฉิน พวกมันจึงรั้งสายธนูประทับลูกศร รังสีสังหารหมุนวนในอากาศ
หลินเป่ยเฉินหยิบแว่นดำออกมาสวมใส่อย่างเชื่องช้า
เขาเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา
ไม่ชอบเห็นการนองเลือดสักเท่าไหร่
จึงต้องนำแว่นดำมาใส่เพื่อไม่ให้เห็นเลือด
ป๊อก!
หลินเป่ยเฉินยกมือดีดนิ้ว
แล้วลูกศรที่ประทับอยู่กับคันธนูก็พุ่งถอยหลังไปปักใส่ลำคอของนายทหารเกราะเพลิงเหล่านั้น
เช่นเดียวกับกระบี่ยาวที่ลอยออกจากฝักและฟันใส่ศีรษะผู้เป็นเจ้าของ
กระบี่ยาวทิ่มแทงใส่หัวใจของหัวหน้าหน่วย…
อาวุธทุกชนิดทรยศเจ้านายของพวกมันเอง
แม้แต่ชุดเกราะเหล็กก็หดตัวและบีบรัดผู้สวมใส่จนกลายเป็นกองเนื้อกองหนึ่ง
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ ทูตสวรรค์เหยาเหลียนที่ยืนอยู่บนชั้นสามของตึกสำนักงานก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
เป็นเขาผู้นี้เอง
ยอดฝีมือขั้นเซียนที่สังหารเว่ยซวงหัวและผู้ติดตามที่ทางแยกของถนนเหวินจิงในวันนี้
เขามาที่นี่จริง ๆ
ดูเหมือนสิ่งที่มันคาดเดาจะถูกต้อง
ยอดฝีมือปริศนาที่ช่วยเหลือศิษย์ของสมาคมหลบหนี ย่อมต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมาคมแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวข้องกับเยวียนเหวินจวิ้น ดังนั้น ทูตสวรรค์เหยาเหลียนจึงคิดว่ายอดฝีมือปริศนาจะต้องมาเก็บศพอาจารย์ของตนเองอย่างแน่นอน
ประเสริฐ
ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าคิดเลยว่าจะได้กลับออกไป
ทูตสวรรค์เหยาเหลียนยิ้มด้วยความมั่นใจ ก่อนจะเดินออกมาจากตึกสำนักงานด้วยฝีเท้ามั่นคง
“ข้ารอคอยเจ้ามานานแล้ว” มันมองไปที่หลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “เจ้าคือปลาใหญ่ที่สุดที่ข้าจับได้ในนครหลวง… หมดหวัง เศร้าโศก เสียใจ หรือมีความสุข เจ้าอยากตายด้วยรูปแบบใด กรุณาบอกมา”
ทันใดนั้น หอกสี่เล่มที่ต่างสีสันกันก็ปรากฏขึ้นด้านหลังทูตสวรรค์เหยาเหลียนราวกับเป็นมือสังหารที่มีชีวิต