เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1029 สังหารเทพเจ้า
ตอนที่ 1,029 สังหารเทพเจ้า
พรึ่บ!
บริเวณลำคอสั่นไหวเล็กน้อย
แล้วศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็ฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
“เจ้าคิดว่า…”
มันแสดงสีหน้าตื่นตกใจ ร้องคำรามด้วยความเดือดดาล “มนุษย์ต่ำต้อยผู้หนึ่งจะสามารถสังหารข้าได้อย่างนั้นหรือ ฮ่า ๆๆ เจ้าช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว…”
ผลัก!
หลินเป่ยเฉินตอบโต้ด้วยการฟาดไม้คทาเข้าใส่ใบหน้าอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เสียงพูดขาดหาย
แต่ศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้อย่างน่ามหัศจรรย์
ให้ตายสิ มารกาฝากคือสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนจะฆ่าไม่ตายจริง ๆ ด้วย
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผมอีกครั้ง
เขาฟาดไม้คทาเข้าใส่อีกรอบ
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาสามารถสร้างหัวขึ้นมาได้ใหม่
หลินเป่ยเฉินก็สามารถทำลายได้ใหม่เช่นกัน
ฝ่ายหนึ่งสร้าง ฝ่ายหนึ่งทุบ ฝ่ายหนึ่งสร้าง ฝ่ายหนึ่งทุบ…
ดำเนินไปเช่นนี้อึดใจใหญ่
หลินเป่ยเฉินยังคงเหวี่ยงแขนฟาดไม้คทาไม่หยุดยั้ง
ได้ยินเหมือนเสียงเปลือกถั่วกะเทาะแตก
เปรี๊ยะ! กร๊อบ!
โผละ!
การทุบศีรษะผู้คนคือเรื่องที่ทำให้รู้สึกดีเสมอ
“มาดูกันเถอะว่าเจ้าจะสร้างหัวขึ้นมาใหม่ได้เร็วมากกว่าที่ข้าทุบหัวเจ้าทิ้งหรือไม่”
เพียงไม่กี่ลมหายใจ เด็กหนุ่มก็ทุบทำลายศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาไปหลายสิบครั้งแล้ว ช่วงเวลาระหว่างนี้ กระแสพลังก็ไหลซึมออกมาจากรูขุมขนของเขา
และกระแสพลังเหล่านั้นก็ไหลรินเข้าสู่คทาเงิน
เพิ่มอานุภาพในการโจมตีมากยิ่งขึ้น
“ช้าก่อน ได้โปรดหยุดมือ ข้ามีอะไรจะพูด…”
ในที่สุด เทพแห่งวิหารเฉียนเกาก็ยอมเปิดปากพูดออกมาด้วยความร้อนรน
“เจ้าเป็นผู้ใดมาสั่งข้า เมื่อเจ้าสั่งให้หยุด ข้าก็ต้องหยุดด้วยหรือ?”
เป็นอีกครั้งที่หลินเป่ยเฉินวาดไม้คทาลงไปกลางศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาและคำรามว่า “เจ้าคิดว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้เป็นผู้ใด?”
ดังนั้น ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินทุบทำลายศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาไปมากมายกี่ศีรษะแล้ว
ทุกครั้งที่ศีรษะสีเหลืองสลับดำฟื้นฟูขึ้นมา ร่างกายที่เป็นหมอกควันรูปทรงมนุษย์ก็เริ่มเลือนลางลงไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับพลังของเผ่าเทพพงไพรก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว
เทพแห่งวิหารเฉียนเการู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวของตนเอง
“ไม่นะ…”
เทพแห่งวิหารเฉียนเการ้องเสียงหลงและพยายามดิ้นรน
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนหน้าอกของมนุษย์ควัน ควงไม้คทาในมือหนึ่งรอบก่อนยิ้มและพูดว่า “ร้องไปเถอะ ในห้องเชือดของข้า ไม่มีผู้ใดสามารถมาช่วยเจ้าได้ทั้งนั้น”
โผละ!
ศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาแตกกระจายอีกครั้ง
การต่อสู้ดำเนินไปในรูปแบบนี้
มันเป็นการต่อสู้แต่เพียงข้างเดียว
พลังจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณสามารถสะกดพลังของเผ่าเทพพงไพรในตัวเทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้หมดสิ้น
มันไม่มีทางโต้กลับหลินเป่ยเฉินได้เลย
ระหว่างที่จัดการเทพแห่งวิหารเฉียนเกาอยู่นี้ เด็กหนุ่มก็ไม่ลืมคำนวณระยะเวลาที่ตนเองอยู่ในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน
“ใครใช้ให้เจ้ามามีปัญหากับข้า”
“ใครใช้ให้เจ้ามาทำร้ายผู้หญิงของข้า”
“เจ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่นักใช่ไหม”
“เก่งจริงก็หนีออกไปจากที่นี่ให้ได้สิ”
“ข้าจะสังหารเจ้าเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินฟาดไม้คทาอย่างบ้าคลั่ง
ในที่สุด ร่างของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาที่ฟื้นฟูศีรษะขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่าก็เลือนลางลงไปกลายเป็นเพียงหมอกควันบาง ๆ พลังที่กักเก็บมาเป็นเวลานานนับพันปีสลายหายไปหมดสิ้น
แม้แต่พลังที่หยิบยืมมาจากเผ่าเทพพงไพรก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว
เมื่อมันสูญสิ้นพลังทุกอย่างเช่นนี้ ความตายที่แท้จริงก็คืบคลานเข้ามาใกล้มากแล้ว
ความหวาดกลัวถาโถมเข้าเกาะกุมจิตใจของเทพแห่งวิหารเฉียนเกา
มันไม่เคยคิดฝันเลยว่าชีวิตอันยืนยาวของตนเองจะมาจบสิ้นลงอย่างน่าอนาถเช่นนี้
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตของตนเองจะต้องมาจบลงด้วยน้ำมือของมนุษย์ผู้หนึ่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“เจ้าสามารถสะกดพลังของเผ่าเทพพงไพรได้อย่างไร?”
“หรือว่า… เจ้าคือผู้ที่ถูกเลือกขององค์เทพพงไพร? ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น… ในตัวเจ้ามีพลังชนิดใดอยู่กันแน่?”
“หลินเป่ยเฉิน ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลยนะ…”
“หากเจ้าฆ่าข้า เผ่าเทพพงไพรคงไม่ปล่อยเจ้าไว้ เว่ยหมิงเฉินนายท่านของข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้เช่นกัน เขาคือผู้ที่ถูกเลือกขององค์เทพแห่งพงไพร…”
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาพยายามพูดด้วยความเหนื่อยล้า
หลินเป่ยเฉินกำลังจะใช้ไม้แข็งรีดเค้นข้อมูลจากปากเทพแห่งวิหารเฉียนเกาอยู่พอดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายกลับเปิดปากยอมสารภาพออกมาง่ายดายถึงเพียงนี้
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้า”
หลินเป่ยเฉินใช้ปลายไม้คทาจิ้มเข้าไปในรูจมูกของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาและกัดฟันพูด “ในเมื่อเจ้ามีสถานะเป็นถึงจ้าวแห่งวิหาร เจ้าคงร่ำรวยมากเลยสินะ ขุมสมบัติของเจ้าอยู่ที่ใด? รีบบอกมา อย่าให้ข้าต้องใช้กำลัง”
“อ้า เรื่องนั้น…”
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย
เพราะมันไม่คิดเลยว่านี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินอยากจะรู้มากที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ตัวมันไม่มีขุมสมบัติ
ขุมสมบัติของมันส่วนใหญ่ทิ้งเอาไว้ในภพแห่งมารกาฝาก ไม่สามารถนำข้ามดินแดนมาด้วยได้
และหลังจากที่มันมาอยู่ภพมนุษย์ สมบัติที่มันได้มาจำนวนมากก็อุทิศแก่วิหารเฉียนเกา เพราะเทพแห่งวิหารเฉียนเกาต้องการจะสร้างวิหารของตนเองให้ยิ่งใหญ่เพื่อหาโอกาสเข้าไปแทนที่วิหารของเทพีกระบี่ในอนาคต
ดังนั้น แผนการดั้งเดิมของมันก็คือเมื่อสามารถแทนที่เทพีกระบี่ได้เมื่อใด ช่วงเวลาต่อจากนั้นต่างหากจึงจะเป็นช่วงเวลาแห่งความร่ำรวย
คิดไม่ถึงเลยว่าแผนการของมันจะล้มเหลว
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาอธิบายทุกอย่างตามความเป็นจริง
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความหงุดหงิด “ไม่มีเงินงั้นหรือ? งั้นเจ้าก็ตายซะเถอะ”
ไม้คทาในมือสะบัดฟาดเข้าใส่ศีรษะของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาอย่างรุนแรงเป็นครั้งสุดท้าย
กำลังจะหมดเวลาของอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์พอดี
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาทรมานอีกฝ่ายต่อไป ดังนั้นเขาจึงรวบรวมพลังทั้งหมดที่ตนเองมีอยู่ มอบจุดจบให้แก่เทพแห่งวิหารเฉียนเกาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส
“ข้าไม่ยอม…”
ในรัศมีสุดท้ายของร่างกายที่เป็นหมอกควัน เสียงตะโกนของเทพแห่งวิหารเฉียนเกาดังกังวานในความมืดมิด ก่อนที่หมอกควันของมันจะสลายหายไปในอากาศโดยสมบูรณ์
เทพแห่งวิหารเฉียนเกาตายแล้ว
“นี่เราฆ่าเทพเจ้าได้จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
แต่ในไม่ช้า เขาก็รีบสะบัดศีรษะปฏิเสธความคิดนั้น
เนื่องจากเทพแห่งวิหารเฉียนเกาที่เขาเพิ่งเอาชนะได้นั้น มีตัวตนที่แท้จริงเป็นมารกาฝาก หาใช่มีตัวตนเป็นเทพเจ้าที่แท้จริงไม่ เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่ว่าเขาสามารถสังหารเทพเจ้าได้สำเร็จ แต่เป็นหลินเป่ยเฉินสามารถสังหารมารกาฝากได้สำเร็จต่างหาก
แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นศัตรูที่ตายยากตายเย็นเหลือเกิน
นี่ทำให้เด็กหนุ่มได้รับรู้ว่าการสังหารเทพเจ้านั้น คือสิ่งที่เป็นยิ่งกว่าตำนาน
เพราะมันเกิดขึ้นจริงได้ยากมาก
แต่หากเทพแห่งวิหารเฉียนเกาได้เข้าแทนที่เทพีกระบี่และมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าตัวจริงขึ้นมา เกรงว่าเมื่อได้ต่อสู้กันอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็คงไม่สามารถเอาชนะมันได้อีกแล้ว เนื่องจากมารกาฝากตัวนี้จะได้รับพลังศรัทธาจากผู้คนไม่ต่างจากเทพเจ้าองค์หนึ่งนั่นเอง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าตนเองเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างขึ้นมาไม่น้อย
อาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เริ่มสลายตัวลงไปอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินกลับออกมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง
บรรยากาศที่คุ้นเคย
เขารีบสะกดปิดพลังปราณธาตุทั้งห้าของตน ไม่ปล่อยให้พลังเหล่านั้นเจือปนอยู่ในพลังลมปราณ
ต่อให้ครั้งนี้หลินเป่ยเฉินจะใช้พลังนั้นออกมาแล้ว และมีความเป็นไปได้ที่จะถูกผู้คนค้นพบว่าเขาสามารถใช้วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณได้สำเร็จ แต่ในเมื่อปิดบังแต่แรกก็ต้องปิดบังต่อไป และมันยังไม่สายเกินไปที่เขาจะสารภาพความจริงในสักวันหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองรอบกาย
เขาออกมาจากอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ ยังคงลอยตัวอยู่ในที่เดิมกลางท้องฟ้า
ร่องรอยความเสียหายจากการต่อสู้ของเทพเจ้าทั้งสององค์ยังคงปรากฏให้เห็นในสายตา
แต่สิ่งที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจมากก็คือห่างออกไปไม่กี่วา ร่างที่เปียกชุ่มไปด้วยโลหิตยังคงลอยตัวอยู่ในอากาศและรอคอยอยู่ในความเงียบ
ย่อมต้องเป็นเทพีกระบี่
ทันทีที่นางเห็นร่างของหลินเป่ยเฉินปรากฏกลับคืนมาอีกครั้ง ดวงตาของเทพีกระบี่ก็ลุกวาว ใบหน้าที่ซีดขาวของนางแสดงออกถึงความดีใจ
“เหตุไฉนท่านถึงยังไม่หนีไปอีก?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ข้ารอเจ้ากลับมา”
เทพีกระบี่ไม่ปิดบังความดีใจของตนเอง แต่นางก็ยังคงกวาดสายตามองรอบตัวด้วยความระมัดระวัง “มารตนนั้นอยู่ที่ใด?”
“ตายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบพร้อมกับยกมือขึ้นสาดละอองน้ำสีฟ้าครามออกไป
การรักษาด้วยพลังวารีบำบัดเริ่มต้นขึ้น