เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1066 รวมตัวลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะ
ตอนที่ 1,066 รวมตัวลูกศิษย์สำนักกระบี่อมตะ
เหวินเหรินต่ายกมือกุมเบ้าตาของตนเองก่อนจะหมุนตัวลุกขึ้นวิ่งหนีไป
ตลอดเส้นทาง ชายหนุ่มวิ่งชนสิ่งกีดขวางล้มลุกคลุกคลานนับครั้งไม่ถ้วน
แสดงว่าตาบอดจริง ๆ
ในกระท่อมไม้
“ทำไมเจ้าถึงให้คนสำนักสามเหลี่ยมมรณะมีเวลาได้เตรียมตัวตั้งหนึ่งชั่วยามล่ะ?”
อิ๋นซานไม่เข้าใจในการกระทำของเด็กหนุ่ม จึงเตือนด้วยความหวังดี “หากเมื่อถึงกำหนดเวลา พวกซงชิวอวี่ซุ่มโจมตีเจ้าจะทำอย่างไร? คนพวกนี้ไม่มีคุณธรรม พวกมันย่อมสามารถกระทำได้ทุกเรื่องราว”
“ท่านกลัวว่าพวกมันจะรวมตัวกันรอเล่นงานข้าอย่างนั้นหรือ? เฮอะ ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ เป็นพวกมันต่างหากที่สมควรสวดภาวนาให้แก่ตนเอง”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ
เมื่อเขาเปิดตัวเชื่อมสัญญาณวายฟาย บุคคลที่อยู่รอบกายก็จะเปลี่ยนไปกลายเป็นยอดฝีมือขึ้นมาทันที
แล้วหลินเป่ยเฉินยังต้องกลัวอะไรอีก?
หลังจากนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงคึกคักแจ่มใสว่า “ให้พวกมันได้มีเวลาเตรียมตัวก็ดีขอรับ ยิ่งพวกมันรวมตัวกันเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีเท่านั้น ข้าน้อยจะได้ประหยัดเวลา จัดการพวกมันทั้งหมดในครั้งเดียว”
อิ๋นซานมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความพิศวง
นี่ศิษย์หลานของนางคิดว่าตนเองแข็งแกร่งเพียงใด?
คนอ่อนแอเช่นนางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
อิ๋นซานไม่รู้ตัวเลยว่านางเริ่มมีความเคารพเลื่อมใสต่อหลินเป่ยเฉินขึ้นมาบ้างแล้ว
“ศิษย์หลานของข้านับเป็นมังกรในหมู่มวลมนุษย์ที่แท้จริง”
นางพูดออกมาด้วยความตื้นตันใจ
“ขอบคุณสำหรับคำชมเชยขอรับ อาจารย์อาอิ๋น”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มด้วยความพอใจ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง “ข้าคิดว่าท่านอาจารย์อาออกจะปล่อยตัวเกินไปแล้ว ให้ข้าช่วยรักษาท่านดีกว่านะขอรับ ข้าจะทำให้ท่านกลับมาแจ่มใสเยาว์วัยอย่างที่ควรจะเป็น”
“ว่าไงนะ?”
อิ๋นซานถึงกับชะงักกึก
แต่ลมหายใจต่อมา คำถามของนางก็ต้องแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคำอุทานว่า
“นี่มันอะไรกัน!”
อิ๋นซานหน้าแดงซ่าน
เมื่อละอองน้ำสีฟ้าจากนิ้วมือของหลินเป่ยเฉินครอบคลุมทั่วเรือนร่างของนาง ทันใดนั้น หญิงวัยกลางคนก็รู้สึกสุขสม ทำให้ต้องส่งเสียงครางออกมาแผ่วเบาอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้
ร่องรอยฟกช้ำดำเขียวจากอาการบาดเจ็บและความเจ็บป่วยในร่างกายสลายหายไป
ร่างกายที่อ่อนล้ากลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
ริ้วรอยบนใบหน้าเลือนหาย ผิวพรรณกลับมาเต่งตึงอีกครั้ง
อิ๋นซานก้มมองฝ่ามือของตนเอง
ผิวพรรณขาวเนียนปราศจากรอยย่น
นางยกมือแตะใบหน้า
เต่งตึง นุ่มนวล เรียบเนียน ไร้ริ้วรอย
อิ๋นซานปล่อยผมของนางให้ยาวสยาย เส้นผมที่ก่อนหน้านี้เป็นสีเทากลับกลายเป็นสีดำขลับนุ่มสลวย…
หญิงสาวถึงกับตกตะลึงแล้วจริง ๆ
นางไม่คิดเลยว่าเพียงตนเองชื่นชมเด็กหนุ่มแค่ไม่กี่คำ เขาก็จะทำให้นางกลับมาเป็นสาวได้อีกครั้ง
ในระหว่างที่ยกมือสัมผัสแก้มเต่งตึงของตนเองนั้น อิ๋นซานก็หันไปสบตามองศิษย์หลานที่กำลังยืนยิ้มเผล่ ความรู้สึกบางอย่างปรากฏขึ้นในหัวใจของอิ๋นซาน น่าเสียดายที่เด็กผู้นี้อายุน้อยกว่านางมากเกินไป มิเช่นนั้น บุรุษที่หล่อเหลา ทรงพลังและใจดีมีเมตตา สตรีผู้ใดบ้างจะไม่อยากถวายตัวรับใช้?
“มหัศจรรย์มากเลยเจ้าค่ะ”
ชีเหนียนเฝ้าดูด้วยความอิจฉา
นางหันมามองหลินเป่ยเฉินอย่างออดอ้อน “พี่เป่ยเฉิน ท่านทำให้ข้าบ้างสิ ทำให้ข้าบ้าง…”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “เจ้าต้องเรียกข้าว่าท่านอาก่อน”
“ท่านอา ได้โปรดช่วยรักษาพวกเราสองแม่ลูกด้วยเถอะ”
วูบ!
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าและเริ่มต้นใช้พลังวารีบำบัดอีกครั้ง
คู่แม่ลูกส่งเสียงครางออกมาพร้อมกัน
แต่แล้วสือจงเซิ่งที่ยืนดูอยู่ก็ต้องผิดหวัง เพราะใบหน้าภรรยาของเขาไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
เนื่องจากมันเป็นอาการบาดเจ็บที่คงอยู่มานานมากเกินไป กล้ามเนื้อที่กำลังเติบโตถูกทำลายไปอย่างถาวร ต่อให้ใช้พลังวารีบำบัดอีกครั้ง เต็มที่ก็ทำได้เพียงส่งผลให้รอยแผลเป็นเลือนลางจางลงเล็กน้อยเท่านั้น
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของหลินรั่วไม่เหมือนขาทั้งสองข้างของสือจงเซิ่ง เพราะขาทั้งสองข้างของเขานั้นมีปัญหาอยู่ที่เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย เมื่อเส้นลมปราณได้รับการรักษา สองขาของสือจงเซิ่งจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
แต่สำหรับรอยแผลเป็นบนใบหน้านั้น เมื่อปล่อยทิ้งไว้นานมากเกินไป ก็ไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว
“อีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้า อาหกปล่อยให้เจ้าไปคนเดียวไม่ได้หรอก”
สือจงเซิ่งยืนใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย สุดท้ายก็กัดฟันพูดออกมา “มือกระบี่เมืองไป๋หยุนอาจจะลดน้อยลง แต่ใช่ว่าทุกคนจะตายกันเสียหมด ในเมื่อศิษย์หลานของข้ากำลังจะไปคิดบัญชีแค้นกับสำนักสามเหลี่ยมมรณะ อย่างน้อยคนของสำนักกระบี่อมตะก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป ศิษย์น้องอิ๋น เจ้าไประดมพลคนของสำนักเรามาให้ได้เยอะที่สุด เราจะติดตามศิษย์หลานไปคิดบัญชีแค้นด้วยเช่นกัน ต่อให้ช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องไปเพียงลำพัง”
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นข้าจะรีบไป สำนักกระบี่อมตะสมควรแสดงความแข็งแกร่งให้ผู้อื่นเห็นสักครั้ง”
อิ๋นซานกำหมัดพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
นางแทบจะเป็นสาวกของศิษย์หลานหน้าหล่อผู้นี้เต็มตัวแล้ว
…
ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
มือกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนจำนวนมากติดตามหลินเป่ยเฉินโดยไม่ลังเล
“หลินเป่ยเฉินกำลังจะไปท้าดวลกับซงชิวอวี่”
“เหอเหอเหอ สำนักสามเหลี่ยมมรณะไม่เชื่อข่าวลือที่เกี่ยวกับหลินเป่ยเฉินจริง ๆ สินะ”
“ประเสริฐ พวกเราจะใช้ซงชิวอวี่นี่แหละ ประเมินฝีมือที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉิน”
“ฮ่า ๆๆ ในที่สุด พวกเราก็มีอะไรตื่นเต้นให้ได้รับชมบ้างสักที”
กลุ่มคนจากหลากหลายฝ่ายไปรวมตัวกันยังที่ทำการของสำนักสามเหลี่ยมมรณะ พวกเขาเตรียมรับชมการต่อสู้ด้วยความตื่นเต้น และก็อยากจะเห็นด้วยสองตาของตนเองว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นขั้นเซียนอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่นั้นจะมีความแข็งแกร่งสมคำเล่าลือหรือไม่
…
ที่ทำการของสำนักกระบี่อมตะตั้งอยู่ในเขตตะวันออกของเมืองไป๋หยุน
ในยุครุ่งเรือง สำนักกระบี่อมตะแผ่อาณาเขตกว้างไกล ไม่เป็นรองสำนักกระบี่เทพยดาและสำนักกระบี่พิชิตมาร
แต่บัดนี้ สำนักกระบี่อมตะกลับมีสภาพทรุดโทรม
บรรดาคนนอกที่เข้ามาหาประโยชน์จากเมืองไป๋หยุนไม่หวาดกลัวสำนักกระบี่อมตะแม้แต่น้อย อะไรที่มีค่าพวกมันจะปล้น อะไรที่มีประโยชน์พวกมันจะแย่งชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่สำนักสามเหลี่ยมมรณะขยายอิทธิพล ทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาของศิษย์สำนักกระบี่อมตะก็ถูกแย่งชิงไปอย่างไร้หนทางเอาคืน
พวกเขาต้องถูกข่มเหงรังแก ไม่สามารถตอบโต้
แต่วันนี้ สำนักกระบี่อมตะที่ทรุดโทรมกลับมีลูกศิษย์มารวมตัวกันอย่างหนาแน่นแล้ว
…
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลินเป่ยเฉินไปถึงสำนักสามเหลี่ยมมรณะตามเวลานัดหมาย
บริเวณหน้าประตูสำนัก ปรากฏชายฉกรรจ์ในชุดเสื้อคลุมแพรไหมสวมทับด้วยเสื้อเกราะอ่อนหนังสัตว์พากันยืนตั้งแถวกำหอกชักกระบี่รอคอยพวกเขาอยู่แล้วด้วยความโกรธแค้น
“ผู้ใดคือตัวชั่วร้ายที่มีนามว่าหลินเป่ยเฉิน?”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์จากสำนักสามเหลี่ยมมรณะมีอายุ 30 ปี เขามีหนวดเครายาว จมูกงุ้ม ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ดวงตาเบิกโตกวาดมองกลุ่มผู้มาเยือน เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“อย่างพวกเจ้าไม่ต้องถึงมือนายท่านของข้าหรอก”
ในกลุ่มผู้มาเยือนแถวหน้า เฉียนเหมยสาวรับใช้ผู้กล้าหาญขยับเท้าก้าวออกมาข้างหน้า นางยกมือชี้หน้าฝ่ายตรงข้ามและตะโกนว่า “พวกเจ้าล่ะเป็นใคร ผู้ใดอยากตายก็ให้ก้าวออกมา”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์มีนามว่าเยวียนซยง เมื่อจ้องมองไปที่เฉียนเหมย ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาในทันใด
หลังจากนั้น เมื่อทอดสายตามองไปยังกลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลินเป่ยเฉิน เยวียนซยงก็จดจำได้ว่ามีสือจงเซิ่ง อิ๋นซานและศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักกระบี่อมตะติดตามมาด้วย
“นี่คือสถานที่เก็บตัวของท่านผู้อาวุโสประจำสำนักเรา คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปเด็ดขาด เว้นแต่หลินเป่ยเฉิน นาง นาง แล้วก็นางเท่านั้น” เยวียนซยงพูดพลางยกมือชี้เฉียนเหมย เฉียนเจิน และอิ๋นซานที่กลับมาเป็นสาวสวยอีกครั้งด้วยความยโสโอหัง
ติงซานฉือ สือจงเซิ่งและลูกศิษย์คนอื่น ๆ ชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ
เฉียนเหมยหันหน้ามองกลับมาที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินทำหน้าเบื่อหน่ายตอบกลับไปว่า “เจ้ายังมองข้าทำไมอีก? จะเก็บคนชั่วพวกนี้เอาไว้เป็นของขวัญปีใหม่หรือไง”
เฉียนเหมยใบหน้ากระตุกเล็กน้อย
ก็ท่านมักจะกำชับให้ข้าห้ามทำอะไรรุนแรงไม่ใช่หรือ?
สาวรับใช้คนสวยพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะโถมตัวออกไปข้างหน้า
นางมีแค่มือเปล่าเท่านั้น
“เหอเหอเหอ แม่หนูน้อย ข้าจะคอยรับกำปั้นของเจ้าเอง…”
เยวียนซยงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมาข้างหน้า
ผลัก!
แต่แล้วร่างของเยวียนซยงก็ลอยกระเด็นออกไปในลมหายใจต่อมา
ร่างของเขาปลิวไปกระแทกเข้ากับประตูสำนักสามเหลี่ยมมรณะอย่างจัง แต่แรงปะทะยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ร่างของเยวียนซยงยังคงกลิ้งกระเด็นไปอีกหลายตลบกว่าจะไปนอนแน่นิ่งอยู่กลางลานด้านใน มือเท้าของเขาชักกระตุก กระดูกแขนแตกละเอียด และเขาเองก็ไม่รู้เลยว่ากระดูกส่วนอื่น ๆ ในร่างกายมีสภาพเช่นเดียวกับกระดูกแขนมากมายเพียงใด
ผลัก! ผลัก! ผลัก!
เงาร่างของชายฉกรรจ์อีกหลายสิบคนลอยกระเด็นตามมาติด ๆ กัน
บัดนี้ ลูกศิษย์ของสำนักสามเหลี่ยมมรณะที่ยืนตั้งแถวอยู่หน้าประตูกลับกลายเป็นเพียงกระสอบทรายมีชีวิตลอยกระเด็นเข้ามานอนทับถมกันเป็นกองใหญ่
ณ ลานโล่งด้านใน
บรรดาผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักที่กำลังนั่งจิบชาและพูดคุยกันอย่างหัวเราะเฮฮา เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าของพวกเขาก็อดแปรเปลี่ยนไปไม่ได้