เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1091 ตำแหน่งใหญ่เวอร์
ตอนที่ 1,091 ตำแหน่งใหญ่เวอร์
ซ้ายมือของผู้อาวุโสฉีที่ยืนอยู่ เป็นคนจากคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง
หญิงสาวรูปร่างสะโอดสะองผู้สวมใส่หน้ากากเงินแปลกประหลาดยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสฉี จีอู๋ชวงและลู่ซิน ผู้มีพลังขั้นเซียนซึ่งดำรงตำแหน่งรองหัวหน้าคณะทูตพร้อมใจกันยืนอยู่สองข้างฝั่งของหญิงสาวราวกับเป็นองครักษ์คู่กายผู้ซื่อสัตย์
นอกจากนี้ก็ยังมีเกออู๋โหยว ผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เขายืนอยู่ทางขวามือของผู้อาวุโสฉี
และทางด้านหน้าของเกออู๋โหยว ก็ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าเกลี้ยงเกลา ท่าทางหล่อเหลาผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยชุดเสื้อคลุมแพรทองคำประดับดิ้นลายทางสีฟ้า บนศีรษะสวมใส่มงกุฎทองคำ ปล่อยผมดำยาวสยาย ลักษณะเตะตาผู้คนอย่างยิ่ง
บางทีนี่อาจเป็นอาจารย์ของเกออู๋โหยวกระมัง?
นอกจากนั้น ยังมีจูจวิ้นหลานผู้บัญชาการระดับสามจากสมาคมผู้มีพลังขั้นเซียนแห่งจักรวรรดิต้าเกี๋ยนร่วมอยู่ด้วย บุคคลผู้นี้เคยโดนหลินเป่ยเฉินหลอกลวงเงินทองมาก่อนอย่างน่าเจ็บใจนัก
เขายืนอยู่ด้านหลังสตรีผู้สวมใส่มงกุฎทองคำซึ่งยืนอยู่ข้างกายเกออู๋โหยว
ด้านหลังจูจวิ้นหลานยังมีสตรีที่สวมใส่หน้ากากวิหคเขียวใบหนึ่ง นางร่างสูงสง่า หน้าอกโต เอวบาง รูปร่างสมส่วนสมบูรณ์แบบ
กลุ่มคนเหล่านี้ต่างก็ยืนอยู่บนแท่นหินแผ่นเดียวกับผู้อาวุโสฉี
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินได้ยินภาษาที่เขาฟังไม่ออกดังมาเข้าหู แต่เด็กหนุ่มรู้เลยว่าคนพูดกำลังไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เสียงที่เขาได้ยิน ย่อมต้องเป็นเสียงโวยวายของกลุ่มมนุษย์ปักษาขนแดง หัวหน้าของมันถูกกระบี่ฟันแขนขาด บรรดาลูกสมุนจึงต้องเสนอหน้าออกมาเรียกร้องความยุติธรรม…
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“กราบเรียนผู้อาวุโสฉี ไม่ใช่ผู้เยาว์ไม่เห็นแก่หน้าท่านผู้เฒ่า แต่เป็นพวกเขาก่อกวนไม่เลิกรา”
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่อยู่ในมือขวา ก่อนจะผายมือซ้ายและกล่าวว่า “พี่เหยียนรบกวนถอยไปสักนิด ข้าน้อยกำลังจะปล้น… เอ๊ย ข้าน้อยกำลังจะฆ่าพวกมันให้หมดสิ้น”
แต่ลมหายใจต่อมา เหตุการณ์ที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น
กลุ่มมือกระบี่จากเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลันคุกเข่าลงบนพื้นดินพร้อมกับส่งเสียงร่ำร้องด้วยความเจ็บปวด
หัวเข่าของพวกมันแต่ละตัวปรากฏเปลวไฟสีดำทมิฬลุกลามอย่างลึกลับ เกิดเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัส กลุ่มมนุษย์ปักษาคุกเข่าอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังกังวานไปทั่วบริเวณ นี่คือความเจ็บปวดที่กินลึกลงไปถึงกระดูกดำและจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นความเจ็บปวดที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้กับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน
“ท่านผู้เฒ่า ทำเช่นนี้ออกจะหนักหน่วงเกินไปหน่อยกระมัง ได้โปรดเมตตาผู้ยังไม่รู้ความด้วย”
บนยอดเขาไม่ห่างออกไป พวกเขาได้ยินภาษามนุษย์ดังขึ้นท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน
นี่คือคำพูดที่ออกมาจากปากของผู้อาวุโสระดับสูงของเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดง
ผู้อาวุโสผู้นี้ยังคงมีหัวเป็นนกอินทรี กิริยาท่าทีไม่ต่างไปจากเพื่อนร่วมสายพันธุ์ตัวอื่น ๆ แต่ที่น่าประหลาดก็คืออวัยวะส่วนอื่น ๆ ของร่างกายกลับเป็นเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง บนแขนทั้งสองข้างไม่มีขนนกสักเส้น แต่พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายนั้น ทำให้ผู้คนได้รู้ว่ามนุษย์ปักษาผู้อาวุโสตัวนี้มีพลังสูงล้ำมากกว่าตัวหัวหน้ากลุ่มที่เพิ่งแขนขาดไป
ผู้อาวุโสฉียกมือขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
และประกายไฟสีดำทมิฬนั้นก็พุ่งกลับเข้ามาอยู่ในฝ่ามือของเขา
บรรดามนุษย์ปักษาขนแดงรีบพากันตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก เหงื่อกาฬผุดพราวเต็มใบหน้า ไม่ต่างจากผู้ที่ได้ตายแล้วเกิดใหม่
“ยังไม่รีบกลับไปประจำที่ของตนเองอีก”
ผู้อาวุโสประจำเผ่ามนุษย์ปักษาขนแดงตวาดเสียงแหบต่ำ “เจ้าพวกเศษสวะโสโครก”
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมไม่เข้าใจคำพูดเหล่านั้น
แต่หลังจากนั้น ผู้อาวุโสมนุษย์ปักษาก็เปลี่ยนมาพูดภาษามนุษย์ แม้เสียงจะระคายหูอยู่พอสมควร แต่ก็พอจับใจความได้ว่า “เด็กน้อย… ข้าจะสัมหารเจ้าบนวงเวียน… ได้โปรดรอคอย”
หูเหม่ยเอ๋อร์เห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็รู้ว่าเขาคงฟังไม่เข้าใจ จึงกล่าวว่า “พี่เป่ยเฉิน ชายชราบอกว่าเขาจะฆ่าท่านบนสังเวียนประลองเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ารับคำท้าทายของอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าที่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ในที่สุด พายุลูกน้อย ๆ ก็ผ่านพ้นไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินตามพวกเหยียนหรู่อี้กลับไปนั่งประจำตำแหน่งของสำนักคฤหาสน์กำยาน
ในบรรดาสำนักใหญ่ที่รวมตัวอยู่บนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงขณะนี้ เพียงที่นั่งของสำนักคฤหาสน์กำยานกลุ่มเดียวก็กินพื้นที่ไปหลายสิบวา มีการจัดตั้งโต๊ะและเก้าอี้อย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้พวกเขาสามารถเฝ้าดูการต่อสู้บนเวทีประลองได้จากมุมสูง
ผู้อาวุโสฉีมีบารมีที่แม้แต่ผู้อาวุโสจากเผ่ามนุษย์ปักษาก็ยังไม่กล้าก่อกวนอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัยอยู่ในใจ
ชายชราผู้นี้มีที่มาที่ไปเป็นอย่างไรกันแน่?
ไม่ทราบผู้อาวุโสฉีจะจำได้หรือไม่นะว่าเคยรับปากว่าจะให้รางวัลเขา?
“พี่เหยียน กลุ่มคนที่ยืนอยู่ด้านหลังผู้อาวุโสฉีเป็นใครหรือขอรับ?”
เขาหันไปกระซิบถามข้างใบหูของเหยียนหรู่อี้
เหยียนหรู่อี้หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและทำหน้าที่ไขข้อข้องใจให้แก่เด็กหนุ่มด้วยความอดทนยิ่ง
“ผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือเป็นผู้ส่งสาส์นจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง นางคือผู้ควบคุมการประลองกระบี่ครั้งนี้ ส่วนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางสองคนนั้น เป็นผู้ช่วยที่มาจากจักรวรรดิเจิ้งหลง ล้วนมีพลังอยู่ในขั้นเซียนทั้งสิ้น…”
“ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ฝั่งขวามือ ชายวัยกลางคนผู้นั้นเรียกว่าถังกงเยวียน เขาคือผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ ถัดจากนั้นไปก็เป็นลูกศิษย์ของเขา อาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ก็มีหน้าที่คอยดูแลงานประลองครั้งนี้เช่นกัน”
“ส่วนอีกสองคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของพวกเขา ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้รับการแนะนำตัวมาก่อน แต่ว่ากันว่าน่าจะมาจากสมาคมผู้มีพลังขั้นเซียนจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยน สองคนนี้หาได้มีความสำคัญไม่ เพียงติดตามมาเพื่อรับชมความสนุกเท่านั้น”
“แล้วผู้อาวุโสฉีมาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสฉีคือผู้ควบคุมงานประลองทุกครั้ง เขามีตำแหน่งสูงส่ง ทุกคนที่ขึ้นมาอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ต้องเชื่อฟังคำพูดของผู้อาวุโสฉี หากใครไม่เชื่อฟัง ท่านผู้เฒ่าก็มีสิทธิ์สังหารได้โดยทันที และคำพูดของท่านก็ถือเป็นคำตัดสินขั้นสุดท้าย ห้ามไม่ให้มีผู้ใดโต้แย้งเด็ดขาด”
เหยียนหรู่อี้กล่าวตอบ
“ตำแหน่งใหญ่เวอร์ว่ะเฮ้ย”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความลืมตัว
ชายชราเพียงคนเดียวกลับสามารถสยบยอดสำนักยุทธ์ทั้งหลายได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด สมแล้วที่โทรศัพท์มือถือของเขาจะสแกนข้อมูลของผู้อาวุโสฉีไม่ได้
“ใหญ่เวอร์หมายถึงอะไร?”
เหยียนหรู่อี้ขมวดคิ้วสอบถามหลินเป่ยเฉินด้วยความงุนงง
“อ๋อ… คำนี้… หมายความว่าท่านผู้เฒ่ามีตำแหน่งใหญ่โตมากขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบาย
“อย่างนี้นี่เอง”
เหยียนหรู่อี้พยักหน้าและพยายามจดจำคำพูดของเด็กหนุ่มเอาไว้
หลินเป่ยเฉินเห็นว่าหญิงสาวกำลังมีท่าทีผ่อนคลาย ไม่ได้มีสีหน้าตึงเครียดเหมือนเก่าก่อน ในใจจึงเกิดความยิ้มย่อง พลางเอนกายเข้าไปกระซิบว่า “พี่เหยียนคิดว่าในอนาคตข้าน้อยจะใหญ่เวอร์อย่างเขาได้หรือไม่?”
“หืม ก็มีความเป็นไปได้”
เหยียนหรู่อี้พยักหน้า
เท่าที่นางเห็นฝีมือของหลินเป่ยเฉินมาจนถึงขณะนี้ เด็กหนุ่มนับว่ามีความหวังมากทีเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เขายอมชักกระบี่ฆ่าคนเพื่อปกป้องนางและลูกศิษย์โดยไม่ลังเลนั้น คือสิ่งที่ยังทำให้เหยียนหรู่อี้ตื้นตันใจอยู่ไม่หาย
เขาและสำนักคฤหาสน์กำยานไม่เคยมีบุญคุณต่อกัน หากเด็กหนุ่มจะไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็คงไม่มีใครว่า
แต่นอกจากหลินเป่ยเฉินจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแล้ว เขายังยอมฆ่าศัตรูเพื่อพวกนางอีกด้วย
นั่นแสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีระดับพลังสูงล้ำ
อีกทั้งยังมีจิตใจรักความยุติธรรม
ด้วยทัศนคติที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ เหยียนหรู่อี้จึงไม่รู้ตัวเลยว่านางเริ่มมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่อ่อนโยนมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากเผชิญหน้ากับความเย็นชามาตั้งแต่ต้น นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้รับรู้ถึงความอ่อนโยนจากเหยียนหรู่อี้
มุมมองที่นางมีต่อตัวเขาเปลี่ยนไปแล้ว
ดูเหมือนว่าการเสนอตัวทำความดีของเขาจะได้ผล
เมื่อได้รับฟังรายละเอียดจากเหยียนหรู่อี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้ว่าการที่ตนเองมาไม่ทันพิธีเปิดการประลองนั้น ทำให้เขาพลาดข้อมูลสำคัญหลายอย่างทีเดียว
แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
งานประลองกระบี่ ทุกสิ่งล้วนพูดคุยด้วยกระบี่
และกระบี่ของเขาก็ยอดเยี่ยมที่สุด
หลินเป่ยเฉินเดินวนรอบอาณาเขตที่นั่งของพวกตนเอง สายตาของเขาสอดส่องสำรวจที่นั่งของสำนักอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้าง
ผู้คนบางสำนักก็ทำตัวลึกลับ สวมใส่เสื้อคลุมปิดหน้าปิดตา ไม่สนทนากับผู้ใด…
ผู้คนบางสำนักก็เรียกว่าเป็นผู้คนไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะพวกมันเป็นตัวประหลาด หน้าตาอัปลักษณ์เกินกล่าวถึง
หลังจากนั้น สายตาของหลินเป่ยเฉินก็สะดุดเข้ากับติงซานฉือซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
อาณาเขตที่นั่งอาจารย์ของเขาคับแคบเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้ บุตรเขยของชาวทะเลมีสถานะเป็นหัวหน้าสำนักกระบี่อมตะ และเป็นตัวแทนเมืองไป๋หยุนเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้
สมาชิกคนอื่น ๆ ในกลุ่มของอาจารย์ ล้วนแต่เป็นคนที่หลินเป่ยเฉินแทบไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน แต่สองคนในกลุ่มนั้นมีสถานะพิเศษ หลินเป่ยเฉินเคยเห็นภาพเหมือนจากศิลาฉายภาพมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อมาพบเห็นตัวจริง เขาจึงจดจำได้โดยทันทีว่าเป็นท่านเจ้าเมืองฉู่อวิ๋นซุนกับภรรยาลู่กวนไห่
สุดท้าย อาจารย์ติงก็เลือกอดีตคนรักเก่าเข้าร่วมกลุ่มจริง ๆ สินะ
หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดเล็กน้อย ก็แอบนำโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูปเก็บเอาไว้
อิอิ
หลินเป่ยเฉินยิ้มชั่วร้ายออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขามีหลักฐานใหม่เอาไว้ใช้ข่มขู่อาจารย์แล้ว
จังหวะนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเกออู๋โหยวกระแอมไอในลำคอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะประกาศเริ่มงานประลองอย่างเป็นทางการ
สำหรับการต่อสู้คู่แรกจะเป็นตัวแทนจากเมืองไป๋หยุนพบกับตัวแทนจากสำนักกระบี่กังวาน
“โอ้โห พวกอาจารย์จะต้องออกไปสู้เป็นสำนักแรกเลยเหรอเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที
แต่ดูเหมือนติงซานฉือจะมั่นใจในตัวเองมาก ดังนั้นชายชราจึงลุกขึ้นยืนอย่างไม่ลังเลสักนิด