เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1101 หาได้มีความแตกต่างสำหรับข้าไม่
ตอนที่ 1,101 หาได้มีความแตกต่างสำหรับข้าไม่
“ผู้อาวุโสไป๋อย่าได้เสียเวลาอีกเลย เป็นเด็กน้อยผู้นี้กำลังเห็นกงจักรเป็นดอกบัว”
ใครอีกคนหนึ่งส่งเสียงพูดขึ้นมา
เป็นเสียงของสตรีนางหนึ่ง
สตรีที่มีหน้าตาดึงดูดใจ
ตลอดผิวพรรณทุกส่วนสัดของนางคล้ายกับอาบไล้ด้วยรัศมีหมอกควันอันทรงเสน่ห์บาง ๆ
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดของนางคือปีกหลากสีสันที่กางอยู่บนแผ่นหลัง
ลักษณะคล้ายกับปีกผีเสื้อ
ยิ่งทำให้สตรีผู้นี้ดูเหมือนนางเซียนทรงเสน่ห์มากขึ้นไปอีก
“แล้วท่านแม่งเป็นใครอีกเนี่ย?”
เซียวปิงถูกสตรีประหลาดผู้นี้ยืนขวางหน้าก็ให้หงุดหงิดใจจนต้องสบถคำหยาบเช่นที่หลินเป่ยเฉินชอบสบถออกมาโดยไม่รู้ตัว
“สาวน้อยจากหุบเขาผีเสื้อพิษ เหอชิงฮวา”
สตรีประหลาดผู้ยืนขวางหน้าเซียวปิงมีเอวอรชรอ้อนแอ้น หน้าอกใหญ่ ยามเดินเข้ามาใกล้เซียวปิง สองเต้าก็ไหวกระเพื่อมตลอดเวลา นิ้วมือที่เรียวยาวของนางแตะลงมาบนหัวไหล่ของเด็กหนุ่มพร้อมกับพูดว่า “คุณชายเซียว ท่านออกจะดุร้ายเกินไปหน่อยแล้ว ข้าชักจะหวาดกลัวขึ้นมาแล้วนะเนี่ย”
เซียวปิงรีบถอยหลังไปด้วยความขยะแขยงและตอบกลับว่า “ท่านกำลังจะชักใบให้เรือเสียใช่หรือไม่?”
เหอชิงฮวาถึงกับหยุดชะงัก
เซียวปิงกล่าวต่อไปว่า “เรือลำนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับท่าน”
เกิดเสียงหัวเราะดังครืนครันทั่วโรงเตี๊ยม แต่เมื่อเหอชิงฮวาพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างแรงเท่านั้น เสียงหัวเราะก็เงียบหายไปทันที
สาวน้อยจากหุบเขาผีเสื้อพิษคือหนึ่งในสี่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดจากดินแดนของนาง เหอชิงฮวามีชื่อเสียงโด่งดังด้านความดุร้ายและอำมหิต ไม่ทราบเลยว่ามีคนกี่มากน้อยต้องเสียชีวิตไปภายใต้พิษผีเสื้อราตรีของนางผู้นี้
“คุณชายเซียวนับว่าทำให้ข้าประหลาดใจได้อย่างแท้จริง ในอดีตที่ผ่านมา บุรุษทุกคนที่พบหน้าข้าไม่เคยมีผู้ใดไม่หวั่นไหวมาก่อน แต่ท่านกลับแตกต่างออกไป…”
เหอชิงฮวาโน้มกายเข้ามาหาเซียวปิงราวกับเป็นมนุษย์ไร้กระดูก
“ฮ่า ๆๆ…”
พลันหลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
เขาเข้าใจว่าคำพูดทั้งหมดของเหอชิงฮวานั้น กำลังเจตนาสื่อถึงตัวเขาเองต่างหาก
เหอชิงฮวาหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน ก่อนขยิบตาให้เขาอย่างโปรยเสน่ห์และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “ไม่ทราบคุณชายหลินหัวเราะสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “น้องชายของข้ายังคงบริสุทธิ์ ต่อให้ท่านยั่วยวนเขาแทบตาย เขาก็ไม่หวั่นไหวหรอก”
ดวงตาของผู้คนจำนวนมากในโรงเตี๊ยมขณะนี้กำลังจ้องจับมาที่หลินเป่ยเฉินเป็นจุดเดียว
ผู้ที่กล้ากล่าววาจาเช่นนี้ต่อหน้าเหอชิงฮวา…
ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินได้เตรียมหลุมฝังศพของตนเองไว้แล้วหรือยัง?
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหอชิงฮวากลับหาได้โกรธเคืองไม่ นางยังคงยิ้มแย้มขณะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าคุณชายหลินหวั่นไหวต่อข้าน้อยหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไป “ท่านต้องเรียกข้าว่าหัวหน้านักบวชหลิน”
“ไม่ทราบว่าหัวหน้านักบวชหลินหวั่นไหวต่อข้าน้อยบ้างหรือไม่?”
เมื่อเหอชิงฮวาจ้องมองใบหน้าอันหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉิน หัวใจของนางก็เริ่มรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ไม่หวั่นไหว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “เป็นท่านอัปลักษณ์มากเกินไป ทั้งยังไม่ใช่มนุษย์ เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตครึ่ง ๆ กลาง ๆ เท่านั้น”
สีหน้าของเหอชิงฮวาแปรเปลี่ยนไปแล้ว
แต่จังหวะนั้น เสียงของเด็กรับใช้ที่รอต้อนรับแขกคนสำคัญก็ดังกังวานมาจากด้านนอกโรงเตี๊ยมว่า “ยอดฝีมือจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุเม่ยหลินได้มาถึงแล้ว”
ดวงตาแทบทุกคู่จ้องมองไปที่ประตูโรงเตี๊ยมทันที
ยังคงเป็นบุรุษหนุ่มชุดดำสะพายกระบี่คู่บนแผ่นหลังคนเดิม เขาเดินเข้ามาภายในโรงเตี๊ยมอย่างแช่มช้า สีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ เม่ยหลินยังมาพร้อมกับหนึ่งในยอดฝีมือของสำนักมหากระบี่นามว่าจูเก๋อหลิงซีอีกด้วย
เมื่อเม่ยหลินเดินผ่านกลุ่มโต๊ะอาหาร เขาก็พยักหน้าทักทายเซียวปิงและเมินเฉยต่อหลินเป่ยเฉินเสมือนไร้ตัวตน
ทางด้านจูเก๋อหลิงซีสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันแปลกประหลาดภายในห้องอาหาร เมื่อถามหาเหตุผลเป็นที่เรียบร้อย เขาก็รีบประสานมือคำนับขออภัยเซียวปิงพร้อมกับกล่าวว่า “ต้องขออภัยที่ทำให้คุณชายเซียวลำบากใจแล้ว”
เซียวปิงชักสีหน้าใส่ด้วยความเดือดดาล
หลังจากนั้น จูเก๋อหลิงซีก็หันมาคำนับหลินเป่ยเฉินและขอโทษด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เป็นเพราะพวกเราจัดการข้อมูลผิดพลาด ก่อนหน้านี้คุณชายหลินได้สังหารเผ่าพันธุ์อมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กหมดสิ้น นับว่ามีคุณสมบัติดีพอที่จะนั่งโต๊ะใหญ่สำหรับยอดผู้กล้าตัวนี้ เชิญเลยขอรับคุณชาย เสี่ยวเอ้อ ยังไม่รีบไปจัดหาเก้าอี้มาให้คุณชายหลินอีก…”
“เฮ้อ พอได้แล้วกระมัง”
หลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังนั่งรับประทานเมล็ดแตงโมพ่นเปลือกของมันใส่ศีรษะของคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ และกล่าวต่ออย่างรวดเร็วว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนโต๊ะก็ดีแล้ว เก้าอี้ตัวนี้ข้านั่งจนอุ่น ให้ไปนั่งเก้าอี้ตัวใหม่ที่เย็นฉืดข้าคงไม่สะดวก… กล่าวด้วยความสัตย์จริง ไม่ว่านั่งที่โต๊ะตัวใด ก็หาได้มีความแตกต่างสำหรับข้าไม่ ฮ่า ๆๆ”
จูเก๋อหลิงซีหันกลับมามองหน้าเซียวปิงและเอ่ยถามด้วยความลังเล “ถ้าอย่างนั้น…”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงแทรกขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่เป็นไรหรอกน้องพี่ เจ้านั่งที่โต๊ะตัวนั้นไปนั่นแหละ… จำเอาไว้ว่าเจ้ามีของดีอยู่กับตัว ยังจะต้องกลัวอะไรอีก”
“รับทราบแล้วขอรับ”
เซียวปิงพยักหน้าและกลับลงนั่งประจำที่ของตนเองอีกครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลายคนก็กำลังขบคิดอย่างหนักหน่วง
ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเซียวปิงกับหลินเป่ยเฉินจะไม่ได้เป็นเพียงพี่น้องร่วมสาบานธรรมดาแล้วกระมัง?
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนเชื่อฟังคำสั่งของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี
อย่างน้อยความพยายามของสำนักมหากระบี่ที่จะเสี้ยมให้ทั้งสองคนผิดใจกันก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน
บรรดาผู้คนที่ได้รับเทียบเชิญก็มาปรากฏตัวครบถ้วน
ผู้ที่ได้รับเทียบเชิญมีทั้งหมด 46 คน นอกจากบรรดายอดฝีมือที่เข้าร่วมการประลองแล้ว บางส่วนยังเป็นมือกระบี่ชื่อดังที่เดิมทีเจตนามาเพียงรับชมการประลองเท่านั้น แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นยอดฝีมือที่มีภาพลักษณ์ดีงาม สำนักมหากระบี่จึงเชิญตัวมาร่วมเป็นสักขีพยานในการประชุมครั้งนี้
แต่ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือ ในกลุ่มผู้ที่ได้รับเชิญ กลับไม่มีเหยียนหรู่อี้จากสำนักคฤหาสน์กำยาน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้
กล่าวกันตามความเป็นจริง ไม่ว่าเป็นสถานะหรือระดับพลังของเหยียนหรู่อี้ ล้วนยังไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่
นอกจากอาจารย์สาวของสำนักคฤหาสน์กำยานแล้ว ในโรงเตี๊ยมขณะนี้ ก็ยังไม่มีลูกศิษย์จากเมืองไป๋หยุนอีกด้วย
“รบกวนทุกท่านต้องรอนานแล้ว”
ในที่สุด ลู่หวังเฉินแห่งสำนักมหากระบี่ผู้มีร่างกายสูงใหญ่กว่าเก้าเซี๊ยะก็ปรากฏกายขึ้น
เขาเป็นชายวัยกลางคนอายุ 40 ปีเศษ หูกาง ผิวขาวราวกับหยก ใบหน้าสามเหลี่ยม ร่างกายใหญ่โตราวกับยักษ์ปักหลั่น พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายกดดันบรรยากาศตลอดเวลา นับตั้งแต่ลมหายใจแรกที่ลู่หวังเฉินปรากฏตัวขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมก็รู้สึกหายใจลำบากมากแล้ว
“ผู้อาวุโสลู่เกรงใจเกินไปแล้ว”
“คำนับผู้อาวุโสลู่ขอรับ”
แทบทุกคนลุกขึ้นประสานมือก้มศีรษะคำนับให้แก่ชายร่างใหญ่
มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ไม่ได้ลุกขึ้นคำนับ
หนึ่งคือหลินเป่ยเฉินผู้นั่งรับประทานเมล็ดแตงโมและดื่มน้ำชาอย่างสบายอารมณ์ เขาเพียงมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น แม้จะมีสายตากดดันจากผู้คนรอบข้างจ้องมองมา ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นยืนแต่อย่างใด
อีกคนหนึ่งย่อมต้องเป็นเซียวปิง
เพราะว่าเขากำลังเคี้ยวอาหารแก้มตุ่ย
เด็กหนุ่มทั้งสองคนคล้ายกับมาจากแดนเถื่อน ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ามารยาท