เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1102 พวกท่านกำลังดูถูกข้า
ตอนที่ 1,102 พวกท่านกำลังดูถูกข้า
“ทุกท่านนั่งลงเถอะ”
ลู่หวังเฉินประสานมือคำนับขอบคุณและกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “วันนี้ข้าจะขอเข้าประเด็นสำคัญเลยก็แล้วกัน ทุกท่านที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้คงทราบดีแล้วว่าก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น บัดนี้ข้าจึงอยากจะขอเชิญผู้อาวุโสมี่ออกมาบอกเล่าเหตุการณ์ลอบสังหารอีกสักครั้ง”
มี่ฉางฉุนคือผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของสำนักกระบี่สนธยาที่ยังรอดชีวิต
อาการบาดเจ็บของเขาค่อนข้างสาหัส ใบหน้าซีดขาวปราศจากสีเลือด พลังลมปราณปั่นป่วน แต่ถึงกระนั้นชายชราก็ยังมีขวัญกำลังใจมากพอที่จะบอกเล่าเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญได้อย่างละเอียดอีกครั้ง
ปรากฏว่าเหตุการณ์จริงแทบไม่ต่างไปจากข่าวลือที่ทุกคนได้ยินมาก่อนหน้านี้
จุดแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือเหตุการณ์จริงนั้นเลวร้ายกว่าข่าวลือที่พวกเขาได้ยินมา
“กลุ่มมือสังหารมากันเพียงไม่กี่คน แต่พวกมันแข็งแกร่งมาก แต่ละคนมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นเซียนระดับหก…”
มี่ฉางฉุนทบทวนเหตุการณ์ด้วยสีหน้าที่ยังตื่นกลัวไม่เสื่อมคลาย
หลังจากรับฟังคำบอกเล่าของชายชราจบลง สีหน้าของทุกคนก็เคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย
ลู่หวังเฉินกระแอมไอและกล่าวเสียงดังว่า “นี่คือการก่อคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญใต้จมูกของพวกเรา ในชีวิตการเป็นมือกระบี่ของข้า ไม่เคยถูกผู้ใดเหยียดหยามถึงเพียงนี้มาก่อน วันนี้ข้าจึงตัดสินใจเชิญยอดผู้กล้าทุกท่านมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือแผนการจับตัวกลุ่มฆาตกร ไม่ว่าพวกท่านมีความคิดเห็นอันใด ล้วนสามารถกล่าวออกมาได้อย่างเปิดเผย”
“กลุ่มคนร้ายช่างอำมหิตยิ่งนัก พวกมันคงมีเจตนาสังหารพวกเราไม่ให้เหลือสักสำนักเดียว”
“หากทุกสำนักที่เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ถูกกวาดล้างหมดสิ้น ยุทธภพก็คงเกิดความปั่นป่วนแล้ว”
“พวกเราสมควรร่วมมือกันจับฆาตกรกลุ่มนี้ให้ได้”
“เรื่องราวทุกอย่างคงต้องยกให้เป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสลู่แล้วขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ ผู้อาวุโสลู่ พวกเราจะเชื่อฟังท่านเป็นอย่างดี”
เสียงตอบรับดังกึกก้องโรงเตี๊ยม
ในที่สุด ทุกคนก็ลงความเห็นมอบหน้าที่ผู้นำการสืบสวนหากลุ่มฆาตกรโหดในครั้งนี้ให้แก่ลู่หวังเฉินอย่างไม่ผิดความคาดหมาย
หลินเป่ยเฉินนั่งดูอยู่เงียบ ๆ พลางพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมลงบนพื้นตลอดเวลา
“กราบเรียนทุกท่าน ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้าได้ปรึกษากับผู้อาวุโสฉีแล้ว ท่านผู้เฒ่าบอกว่าพวกเราสมควรดำเนินงานประลองต่อไปตามกำหนดเดิม ท่านผู้เฒ่าจะรับประกันความปลอดภัยยามที่ทุกคนยังอยู่ในเมืองไป๋หยุน ส่วนเรื่องตามหาตัวกลุ่มฆาตกรที่ออกอาละวาดอยู่ข้างนอกนั้นจะเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องหาทางจัดการกันเอาเอง”
คำพูดของลู่หวังเฉินเป็นไปอย่างสุภาพ ไม่ได้มีความก้าวร้าววางอำนาจสักนิด “อีกสามวันหลังจากนี้ ก็จะเป็นกำหนดการประลองรอบที่สอง แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น พวกเราสมควรระบุตัวกลุ่มฆาตกรให้ได้เสียก่อน ข้าขอเสนอให้พวกเราตั้งกลุ่มสืบสวนขึ้นมา เสแสร้งแกล้งทำเป็นถอนตัวออกจากการแข่งขัน วิธีการที่ดีที่สุดคือการใช้กำลังคนให้น้อยที่สุดและสืบข้อมูลมาให้ได้มากที่สุด หลังจากนั้น พวกเราค่อยมาวางแผนกันต่ออีกที”
คำพูดของชายวัยกลางคนร่างยักษ์ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมาก
จูเก๋อหลิงซีลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ศัตรูอยู่ในที่มืด ผู้สืบสวนก็สมควรอยู่ในที่มืดเช่นกัน ศิษย์ขอแนะนำให้ท่านผู้อาวุโสเลือกมือกระบี่คนหนุ่มไร้ความโดดเด่นมารับผิดชอบหน้าที่นี้ หนึ่งเพื่อไม่เป็นการทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว สองเพื่อเป็นการป้องกันความสูญเสีย หากเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ผู้สืบสวนก็สามารถหลบหนีกลับมาได้ทันที และจะมีกำลังพลของพวกเราคอยช่วยเหลืออยู่เป็นระยะ”
“ใช่แล้วขอรับ แผนการนี้ประเสริฐที่สุด”
“พวกเราจะทำตามแผนการนี้”
หลายคนส่งเสียงปรบมือขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ลู่หวังเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อวันนี้เป็นการรวมตัวของยอดฝีมือที่มาอยู่ในเมืองไป๋หยุน เพราะฉะนั้นเราก็จะคัดผู้มาทำหน้าที่หน่วยสืบสวนนั้นจากกลุ่มทุกท่านที่อยู่เบื้องหน้า เอาละ ไหน ๆ ทุกท่านก็อนุญาตให้ข้าเป็นผู้นำการสืบสวนครั้งนี้แล้ว ข้าก็จะขอเลือกเลยแล้วกันว่าผู้ที่จะทำหน้าที่หน่วยสืบสวนนั้นมีผู้ใดบ้าง ฮ่า ๆๆ…”
ระหว่างที่พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของลู่หวังเฉินก็กวาดมองทั่วบริเวณ
“ผู้สืบสวนคนแรก กระบี่สามวายุ จางฉิน ผู้สืบสวนคนที่สอง กระบี่เดียวครอบคลุมพสุธา เฉินชิงหลวน…”
ลู่หวังเฉินเอ่ยชื่อมือกระบี่ดาวรุ่งที่ไม่มีใครรู้จักออกมาสองคนแล้ว…
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
ผู้ที่ถูกเอ่ยนามทั้งสองนั้นไม่ใช่คนของสำนักใหญ่
เป็นเพียงมือกระบี่อิสระ
ชักน่าสนใจแล้วสิ
หลินเป่ยเฉินพ่นเปลือกเมล็ดแตงโมใส่หน้าเพื่อนร่วมโต๊ะขณะใช้ความคิด
หลังจากลู่หวังเฉินเอ่ยนามผู้สืบสวนออกมาอีกประมาณห้าถึงหกคน ในที่สุด สายตาของเขาก็ค่อย ๆ เลื่อนมาจับจ้องที่หลินเป่ยเฉิน
ชายวัยกลางคนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…
ทันใดนั้น…
ปัง!
ได้ยินเสียงฝ่ามือฟาดลงไปบนโต๊ะอย่างแรง
เป็นหลินเป่ยเฉินฟาดฝ่ามือลงไปบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ
เขาลุกขึ้นยืนระเบิดเสียงคำรามด้วยความฉุนเฉียว “ข้าคิดออกแล้ว ที่แท้พวกท่านให้ข้ามานั่งอยู่มุมร้าน ก็เพราะพวกท่านกำลังดูถูกข้าอยู่สินะ…”
ผู้คนในโรงเตี๊ยมได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
นี่หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะรู้ตัวหรือ?
คนอื่นเขารู้ตัวกันตั้งนานแล้ว เหตุไฉนหลินเป่ยเฉินจึงเพิ่งรับทราบความจริง?
หรือข่าวลือที่ว่าเด็กหนุ่มเป็นบุคคลสมองเสื่อมจะเป็นความจริง?
“คุณชายหลิน ท่าน…”
สีหน้าของจูเก๋อหลิงซีแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย คล้ายกับต้องการจะอธิบายอะไรบางอย่าง
“หุบปาก”
หลินเป่ยเฉินคำรามตอบกลับไปด้วยความโกรธแค้น “พวกท่านกำลังดูถูกข้า ข้าเองก็ดูถูกพวกท่านเช่นกัน… ประเสริฐ ระหว่างพวกเราไม่เหลืออะไรให้พูดกันอีกแล้ว วันนี้ข้าน้อยขอลาทุกท่าน ไว้พบกันใหม่บนสังเวียนประลอง”
พูดจบ หลินเป่ยเฉินก็ก้าวอาด ๆ ตรงไปที่ประตูทางออกของห้องอาหารหน้าตาเฉย
แต่เมื่อเดินไปถึงประตู เด็กหนุ่มกลับหยุดชะงัก
“น้องพี่ หยุดรับประทานได้แล้ว พวกเราโดนดูถูก กลับกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินพูดโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับมา
“โฮ้”
เซียวปิงรีบลุกขึ้นยืนและนำกล่องใส่อาหารออกมาเก็บกวาดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิดบนโต๊ะด้วยความชำนาญและรวดเร็วยิ่ง
ก่อนที่สองศรีพี่น้องจะสะบัดก้นเดินออกไปจากโรงเตี๊ยมท่ามกลางความงงงวยของผู้คน
บัดนี้ บรรดาผู้คนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมล้วนใบหน้ากระตุกกันหมดสิ้น
นี่หลินเป่ยเฉิน… เจตนาหลบหนีใช่หรือไม่?
เขาพบว่าตนเองกำลังจะต้องกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้สืบสวนเหตุฆาตกรรม
เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่พอใจที่ถูกจัดให้นั่งอยู่มุมห้องอาหารและสะบัดก้นจากไป เพื่อที่ตนเองจะได้ไม่ต้องรับหน้าที่อันตรายนั้น
ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินบอกเองไม่ใช่หรือว่าสำหรับเขาแล้วนั่งที่โต๊ะตัวไหนก็เหมือนกันหมด แล้วเหตุไฉนบัดนี้ถึงเพิ่งจะมาคิดโกรธแค้นกันเล่า?
นี่หรือคือผู้ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวชแห่งวิหารหลวงประจำจักรวรรดิเป่ยไห่
แต่เมื่อนึกได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นลูกศิษย์ของติงซานฉือ ผู้ที่ยังไม่ทันได้ขึ้นเวทีประลองก็ขอยอมแพ้ต่อคู่ต่อสู้อย่างไร้ยางอายที่สุด… นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรแปลกใจอีกแล้วว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงเป็นศิษย์และอาจารย์กันได้
แม้แต่ลู่หวังเฉินผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักมหากระบี่ก็ยังนิ่งอึ้งตะลึงงันไปอึดใจใหญ่ทีเดียว
เด็กหนุ่มที่ทรงพลังและไร้ยางอายเช่นนี้ คือบุคคลที่รับมือได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
“เฮอะ”
เม่ยหลินจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างเย็นชา ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินด้วยความดูถูกเหยียดหยามก่อนกล่าวออกมาว่า “ขี้ขลาดตาขาว”
หลังจากนั้น เขาลุกขึ้นยืนและประกาศเจตนารมณ์ “ข้าน้อยขออาสาเข้าร่วมกลุ่มสืบสวนเอง”
…
“คิดจะให้เราทำงานฟรี ๆ งั้นเหรอ ฝันไปเถอะ”
เมื่อกลับมาถึงที่พักของสำนักกระบี่อมตะ ยิ่งหลินเป่ยเฉินทบทวนถึงเหตุการณ์ในหอเจ็ดดารามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกตลกขบขันมากเท่านั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ บรรดาผู้คนสำนักใหญ่กลับมีเจตนาส่งผู้คนสำนักเล็กออกไปเสี่ยงตายถวายชีวิต ในขณะที่พวกของตนเองนั่งกระดิกเท้ารอฟังผลการสืบสวนด้วยความสบายใจ
การจัดตั้งกลุ่มสืบสวนครั้งนี้ มีการวางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี
นับว่าผู้ที่วางแผนมีจิตใจชั่วร้ายยิ่งนัก
ดูเหมือนในอนาคตหลังจากนี้ หลินเป่ยเฉินคงต้องระมัดระวังตัวจากบรรดาผู้คนสำนักใหญ่เสียแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็ส่งตัวเซียวปิง เฉียนเหมยและเฉียนเจินเข้าไปต่อสู้กับอสูรในเกม Lost Castle เพื่อเพิ่มพูนระดับพลังและทักษะการสังหาร
เวลาในเกม Lost Castle จะเดินช้ามากกว่าโลกแห่งความจริง ยกตัวอย่างเช่น เวลาในเกมผ่านไปสิบวันจะเท่ากับเวลาในโลกความจริงที่ผ่านไปเพียงหนึ่งชั่วยาม ดังนั้นการส่งตัวลูกสมุนคู่ใจเข้าไปฝึกซ้อมในเกมชื่อดังเกมนี้ จึงเป็นวิธีการเพิ่มทักษะรอบด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่ง
เมื่อตนเองมีเวลาว่าง หลินเป่ยเฉินก็ใช้เวลาเหล่านั้นกับการเที่ยวอ้อล้อเหยียนหรู่อี้อีกครั้ง
จนกระทั่งเที่ยงคืน ติงซานฉือจึงได้เดินทางกลับมายังที่พักของสำนักกระบี่อมตะด้วยลักษณะอ่อนระโหยโรยแรง
เป็นเวลาดึกสงัดแล้ว
ติงซานฉือกำลังแอบย่องเปิดประตูบ้านพักในความเงียบ เตรียมตัวเข้าสู่ห้องนอนโดยไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้
ทันใดนั้น…
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
ได้ยินเสียงของใครบางคนดังออกมาจากป่าไผ่ข้างทาง “นี่เป็นเวลาใดแล้ว เหตุไฉนท่านถึงเพิ่งกลับมา?”
ติงซานฉือหยุดชะงัก ขนลุกไปทั้งกายตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เป็นเจ้าเองหรือ? เจ้าลูกศิษย์ตัวแสบ กล้าดีอย่างไรแกล้งทำให้อาจารย์ตกใจเช่นนี้”
เขานึกได้ว่านั่นคือเสียงของหลินเป่ยเฉิน จึงยกมือทาบหน้าอกและถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
“ช่วงหลังอาจารย์ทำตัวแปลกไปนะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยื่นหน้าออกมาจากป่าไผ่ ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาวราวกับตาของนกเค้าแมวยามราตรี
ยิ่งเห็นสีหน้าลนลานของอาจารย์ติงด้วยแล้ว หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจเลยว่าผู้เป็นอาจารย์ต้องทำอะไรผิดมาแน่ ๆ
“เรื่องของข้า เจ้าไม่ต้องมายุ่ง”
ติงซานฉือไม่สนใจลูกศิษย์สุดที่รักของตนเองอีกขณะหมุนตัวเดินเข้าไปในบ้านพัก
“เฮ้อ อาจารย์ขอรับอาจารย์ ท่านเองก็สมควรควบคุมกางเกงของท่านให้ดีเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
ก่อนเดินทางมาที่เมืองไป๋หยุน เขารับปากภรรยาของอาจารย์ว่าจะคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของชายชราไม่ให้คลาดสายตา
เพราะเขาไม่อยากให้อาจารย์ติงเผลอตัวเผลอใจไปกับหญิงคนรักเก่า แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้เสียแล้ว หลินเป่ยเฉินจะมีหน้ากลับไปพบองค์หญิงแห่งท้องทะเลและพี่หญิงเหยียนอิงได้อย่างไรอีก?
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจริง ๆ
หากไม่มีวิธีการใดสามารถป้องกันได้ เขาก็คงมีแต่ต้องฆ่าลู่กวนไห่ทิ้งเท่านั้น
อย่างไรนางก็ไม่ได้มีลักษณะเหมือนเป็นคนดีอยู่แล้ว
ขนาดนางมีสามีเป็นตัวเป็นตน ยังถึงกับกล้ามายั่วยวนอาจารย์ติงของเขา จึงนับว่าเป็นหญิงแพศยาที่แท้จริง
และในฐานะภรรยาของท่านเจ้าเมือง ลู่กวนไห่ก็คงมีทรัพย์สมบัติในครอบครองไม่น้อย…
ความคิดนี้ยิ่งทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าตนเองต้องทำหน้าที่เป็นลูกศิษย์ที่ดี เขาจะคอยจัดการแก้ปัญหาให้แก่อาจารย์ติง เขาจะต้องตัดความเป็นไปได้ทุกทางที่จะไม่ทำให้ติงซานฉือกลับไปหลงใหลอยู่ในอ้อมอกของหญิงคนรักเก่าอีกครั้ง
…
สองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินเดินออกไปสำรวจเมืองเพื่อคัดสรรเนื้อหาสำหรับการถ่ายทอดสด แต่ไม่ช้า พวกนางก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นกลับมาแจ้งข่าวว่า “นายท่านเจ้าคะ นายท่านเจ้าคะ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกแล้วเจ้าค่ะ”
“เรื่องใหญ่มากกว่าวันก่อนหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินผู้ที่กำลังนอนอยู่บนม้านั่งตัวยาวถามออกมาด้วยความเกียจคร้าน
ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาคือติงซานฉือ
หลินเป่ยเฉินกำลังจับตาดูอาจารย์ของตนเองไม่ให้คลาดสายตาจริง ๆ
โชคดีที่ตลอดสองวันนี้ อาจารย์ติงไม่ได้ออกไปไหนเลย
“เรื่องใหญ่มากกว่าวันก่อนเจ้าค่ะ มีการแจ้งข่าวกลับมาที่ตัวเมืองแล้วว่า ยอดมือกระบี่อัจฉริยะจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุเม่ยหลินได้รับบาดเจ็บระหว่างออกไปสืบสวนเหตุฆาตกรรม ว่ากันว่าเขาถูกลอบสังหารโดยไม่รู้ตัวเจ้าค่ะ โชคดีที่เม่ยหลินสามารถแหวกฝ่าวงล้อมหลบหนีออกมายิงพลุสัญญาณขอความช่วยเหลือจากหน่วยกำลังเสริมได้สำเร็จ แต่กำลังเสริมไปถึงที่นั่นช้าเกินไป ปรากฏว่าเม่ยหลินได้รับบาดเจ็บสาหัส แขนขาดหนึ่งข้างและไม่สามารถงอกคืนกลับมาใหม่… รวมถึงพลังลมปราณในร่างกายของเขาก็ถูกสลายไปหมดสิ้นเลยเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยรายงานข่าวที่ตนเองได้ยินมาด้วยความกระตือรือร้น