เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1103 ไม่เห็นใหญ่เลยนี่นา
ตอนที่ 1,103 ไม่เห็นใหญ่เลยนี่นา
“เขาแกล้งแขนขาดหรือเปล่า?”
หลินเป่ยเฉินประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้รับทราบข่าว
เม่ยหลินท่าทางสมองจะไม่ปกติ อยู่ดี ๆ ไม่ชอบ ทำไมต้องหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวด้วยการออกไปสืบสวนเหตุฆาตกรรมด้วย?
นี่ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
สำนักกระบี่สายฟ้าวายุคือหนึ่งในสำนักกระบี่ชั้นนำ
ผู้อาวุโสในสำนักล้วนมีแต่ระดับยอดฝีมือ พวกเขาจะยินยอมปล่อยให้เพชรเม็ดงามในสำนักของตนเองออกไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่คือเรื่องที่ไม่ปกติแล้ว
หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไปนะ?
“สถานการณ์ล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวข้าน้อยจะออกไปสืบข่าวดูอีกครั้งเจ้าค่ะ”
พูดจบ เฉียนเหมยก็หมุนตัววิ่งออกไปจากบ้านพักเพื่อไปสืบข้อมูลเพิ่มเติม
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป สาวรับใช้คนงามก็กระโดดกลับเข้ามา
“ผู้อาวุโสของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุเดินทางไปเอาเรื่องผู้อาวุโสของสำนักมหากระบี่แล้วเจ้าค่ะ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง สุดท้ายสำนักมหากระบี่ได้อ้างสิทธิ์แห่งความชอบธรรมของการเป็นหัวหน้ากลุ่มสืบสวน และยินดีมอบโอสถวิเศษเซวียนเมียวให้แก่สำนักกระบี่สายฟ้าวายุหนึ่งขวด ผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่สายฟ้าวายุยินยอมรับค่าชดใช้ แต่ก่อนจากไป เขาก็ได้พังประตูที่พักของสำนักมหากระบี่ไม่เหลือชิ้นดี…”
“แต่มีข่าวลือว่าในความเป็นจริงนั้น สำนักมหากระบี่เจตนาส่งกำลังเสริมไปล่าช้า เพราะต้องการยืมมือกลุ่มฆาตกรสังหารเม่ยหลิน เพื่อกำจัดคู่แข่งในการประลองเจ้าค่ะ”
“บางคนก็บอกว่าเบื้องหลังกลุ่มมือสังหารเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นฝีมือของคนจากสำนักมหากระบี่ทั้งสิ้น…”
“บัดนี้ มือกระบี่ 16 คนได้เข้ามาสืบสวนเรื่องนี้และคอยอารักขาความปลอดภัยให้แก่เม่ยหลิน โดยออกปากรับประกันว่าตราบใดที่เม่ยหลินยังคงอยู่ในเมืองไป๋หยุน ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถทำอันตรายเขาได้เด็ดขาด”
“ในเมืองจึงเกิดความวุ่นวายโกลาหลไปหมดแล้วเจ้าค่ะ”
“สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดซึ่งเคยปรากฏตัวในพิธีเปิดงานประลองนั้น นางตกตะลึงกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก นางถึงกับบอกว่าจะลงมาสืบสวนเรื่องนี้ด้วยตนเอง…”
เฉียนเหมยรายงานสิ่งที่ตนเองได้รับทราบมาทั้งหมด
หลินเป่ยเฉินนึกภาพออกเลยว่าขณะนี้สถานการณ์ภายนอกกำลังมีความวุ่นวายขนาดไหน
“โอสถวิเศษเซวียนเมียว…”
หลินเป่ยเฉินทวนคำออกมาด้วยความสนใจ
เฉียนเหมยยิ้มอย่างผู้ชนะ “ข้าน้อยแอบให้อากวงล่องหนไปขโมยมาขวดหนึ่งระหว่างเกิดเหตุชุลมุนแล้วเจ้าค่ะ…”
“จี๊ด”
เจ้าหนูอสูรหางกุดยกขาหน้าของมันขึ้นอย่างนอบน้อม ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มกว้าง อุ้งเท้าของมันปรากฏขวดหยกสีเขียวขนาดเล็กขวดหนึ่ง
“ทำได้ดีมาก”
หลินเป่ยเฉินรับขวดหยกมาเปิดออกดู
กลิ่นสมุนไพรจีนลอยตลบออกมาจากปากขวด ด้านในคล้ายกับลงค่ายอาคมบางอย่างเอาไว้ หลินเป่ยเฉินเพ่งตามอง ก่อนเห็นว่าด้านในบรรจุด้วยเม็ดยาลูกกลอนสีแดงเข้มอยู่เป็นจำนวนเจ็ดเม็ด
เด็กหนุ่มรีบเก็บเข้าไปในอกเสื้อ เตรียมถ่ายรูปนำไปขายเป็นสินค้าเหลือใช้
อาจารย์อาอิ๋นซานเห็นดังนี้ก็ให้นึกถึงภาพที่เซียวปิงกลับมาจากหอเจ็ดดาราเมื่อสองวันก่อน เด็กหนุ่มร่างอ้วนกลับมาพร้อมกล่องใส่อาหารขนาดใหญ่ และทุกครั้งที่มีผู้คนเชิญเซียวปิงไปรับประทานอาหาร เด็กหนุ่มก็จะกลับมาพร้อมกล่องใส่อาหารที่บรรจุของกินมากมายเสมอ…
นับว่าหลินเป่ยเฉินกับน้องชายร่วมสาบานของเขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์จริง ๆ
อีกหลายชั่วยามผ่านไป
วันใหม่ก็มาถึง
สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดออกไปสืบสวนที่นอกเมืองและเผชิญหน้ากับกลุ่มฆาตกรถึงสามคน
แต่น่าเสียดายที่กลุ่มมือสังหารเหล่านั้นมีจิตใจเด็ดเดี่ยวมากเกินไป เมื่อพวกมันรู้ตัวว่าไม่อาจหนีรอดเงื้อมมือของสตรีผู้นี้ พวกมันก็ตัดสินใจจบชีวิตของตนเอง แม้แต่โครงกระดูกก็ไม่มีเหลือ จึงไม่มีหลักฐานให้พวกเขาได้สืบสาวต่อไปอีก
และเริ่มมีผู้คนไม่อยากอยู่ในเมืองไป๋หยุนอีกต่อไปแล้ว
โดยเฉพาะบรรดามือกระบี่ที่เดินทางมาที่นี่เพื่อรับชมการประลองเพื่อความบันเทิง
พวกเขาไม่รู้เลยว่ากลุ่มฆาตกรจะกลับมาอีกเมื่อไหร่
แม้ว่างานประลองกระบี่ครั้งนี้จะน่าตื่นเต้นและเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมากในรอบหลายร้อยปี แต่ถึงอย่างนั้นชีวิตของพวกเขาก็มีความสำคัญมากกว่า
แม้แต่มือกระบี่ 16 คนที่คอยทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยให้แก่เม่ยหลิน บัดนี้ ก็มีถึงแปดคนที่แสดงเจตจํานงขอถอนตัว
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานก็จริงว่าตราบใดที่ยังอยู่ในเมืองไป๋หยุน ข้าจะขอคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่คุณชายเม่ย แต่บัดนี้ได้เวลาที่ข้าต้องกลับบ้านแล้ว…”
“ข้ายังมีลูกน้อยอายุแปดขวบรอให้กลับไปหา อีกทั้งยังมีมารดาอายุสามร้อยปีรอให้กลับไปปรนนิบัติ…”
“ทางบ้านข้าน้อยเกิดเรื่องเร่งด่วน จึงจำเป็นต้องรีบเดินทางกลับแล้วขอรับ”
ประโยคเหล่านี้คือคำอธิบายของบรรดามือกระบี่ที่คิดถอนตัว
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทั่วไปดูจะมีความมั่นคงขึ้นมาเล็กน้อย
ดังนั้นงานประลองกระบี่จึงดำเนินต่อไป
…
วันต่อมา
รุ่งอรุณมาเยือน นกกาส่งเสียงเจื้อยแจ้ว
สายลมฤดูใบไม้ผลิโชยพัด ต้นไม้ใบหญ้าบนยอดเขาปลิวไสว บนท้องฟ้าอุดมไปด้วยเมฆขาวสะอาดตา
งานประลองกระบี่รอบที่สองเริ่มต้นขึ้น
หูเหม่ยเอ๋อร์มีประสบการณ์จากรอบแรกมาแล้ว ครั้งนี้นางจึงไม่รอจนถึงตอนเที่ยงก็มาปรากฏกายที่บ้านพักของหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวถือวิสาสะวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเขาตั้งแต่ตอนเช้า โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังจะต้องพบเจอกับสิ่งใด
เพียงไม่นาน หลินเป่ยเฉินก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับสวมใส่เสื้อผ้าไปด้วย
“ปกติข้าจะนอนเปลือยกายน่ะ”
เขาพูดด้วยความหงุดหงิดใจ “ทำไม เมื่อสักครู่นี้เจ้าเห็นอะไรหรือไม่?”
แม้ว่าหูเหม่ยเอ๋อร์จะเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์สำหรับหลินเป่ยเฉิน แต่นางก็เป็นเด็กสาวที่โตแล้ว ใบหน้าอันทรงสเน่ห์ของหูเหม่ยเอ๋อร์บัดนี้แดงระเรื่อ ได้แต่ยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้า ไม่กล้ากล่าววาจาคำใด
“แสดงว่าคงจะเห็นหมดแล้วสินะ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจสุดชีวิต “ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าแย่แล้ว… เช่นนี้ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร”
“ไม่นะ… ท่านพี่เป็นบุรุษ ท่านพี่ไม่มีอันใดเสียหายสักหน่อย…”
หูเหม่ยเอ๋อร์กระทืบเท้าตอบกลับมาทั้ง ๆ ที่ยังยกมือปิดหน้าอยู่อย่างนั้น
“แต่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมเลย”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ “เจ้าเห็นร่างเปลือยของข้าไปแล้ว ขอข้าเห็นร่างเปลือยของเจ้าบ้างสิ เช่นนั้นถึงจะเรียกว่ายุติธรรม”
“เชอะ ท่าน… เหลวไหลมากเกินไปแล้ว”
หูเหม่ยเอ๋อร์ร้องเสียงหลงก่อนจะหมุนตัววิ่งหนีไป
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ…”
หลินเป่ยเฉินเพียงหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน
เขาล้างหน้าหลังตาและเดินทางไปที่ยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงอย่างไม่รีบร้อน ตอนที่ไปถึง การจับสลากก็จบลงแล้ว
“คราวนี้ เราต้องเจอกับสำนักกระบี่ทรงกลดเจ้าค่ะ”
เมื่อซวีหวันเห็นหลินเป่ยเฉินเดินเข้ามา นางก็พบข้ออ้างก้าวเข้าไปทักทายเขาทันที
“สำนักกระบี่ทรงกลด? นับว่าน่าประทับใจ”
หลินเป่ยเฉินเปิดสมุดจดรายชื่อสำนักต่าง ๆ ของเขาเพื่อไล่ดูข้อมูล
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พยักหน้า “เจอแล้ว”
“ไม่ทราบว่าคุณชายเจอสิ่งใด?”
เหยียนหรู่อี้หันหน้ามาถามด้วยความสนใจ
นางพบว่าชื่อของสำนักกระบี่ทรงกลดในสมุดบันทึกของหลินเป่ยเฉินมีการขีดเส้นใต้เอาไว้อย่างชัดเจน
และยังมีชื่อของอีกหลายสำนักที่มีการขีดเส้นใต้ไว้เช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ชื่อของสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ ซึ่งพิเศษหน่อยก็ตรงที่มีชื่อของเม่ยหลินพ่วงท้ายมาด้วย
และท้ายชื่อของเม่ยหลินยังได้ใส่เครื่องหมาย + กำกับเอาไว้
“เจอว่าพวกเขาติดหนี้ข้าน้อยอยู่ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินปิดสมุดบันทึกของตนเองอย่างระมัดระวัง “รายชื่อของสำนักที่มีเส้นใต้ขีดเอาไว้ล้วนแต่เป็นผู้ที่ติดหนี้ข้าอยู่ทั้งสิ้น”
เมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของเหยียนหรู่อี้ หลินเป่ยเฉินก็ต้องอธิบายด้วยความอดทน “สมุดบันทึกเช่นนี้ที่บ้านเกิดของข้าน้อยทำเป็นธรรมเนียมขอรับ มันเป็นสมุดบัญชีไว้สำหรับเก็บหนี้โดยเฉพาะ”
เหยียนหรู่อี้ยิ่งถามด้วยความสงสัยมากกว่าเดิม “แล้วสำนักกระบี่ทรงกลดกับเม่ยหลินติดเงินท่านอยู่เท่าไหร่?”
“ไม่ใช่เงินหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินอธิบายด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “ก่อนหน้านี้ คนของสำนักกระบี่ทรงกลดดูถูกข้าน้อยในหอเจ็ดดารา ส่วนเม่ยหลินก็ทำเป็นเมินเฉยใส่ข้าน้อยตั้งแต่แรกเห็นหน้า และทุกครั้งที่พบกัน เขาก็ต้องเหยียดหยามข้าทุกครั้งไป สิ่งเหล่านี้ล้วนถือเป็นหนี้แค้น รอวันที่ข้าน้อยจะทวงคืนขอรับ”
เหยียนหรู่อี้ยังคงไม่เข้าใจคำพูดของเด็กหนุ่มอยู่ดี
แต่นางก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อกล่าวว่า
“คุณชายหลินไม่คิดว่าหัวใจของตนเองคับแคบเกินไปหน่อยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเก็บสมุดบันทึกเข้าไปในอกเสื้อพลางตอบว่า “ถึงหัวใจของข้าน้อยจะคับแคบ แต่หัวอย่างอื่นของข้าน้อยใหญ่โตอย่าบอกใครเชียว”
“ท่าน…”
ในฐานะสตรีเต็มวัย เหยียนหรู่อี้ย่อมเข้าใจความนัยที่แอบแฝงอยู่ในคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรกับเขาอีกแล้ว
ทางด้านหูเหม่ยเอ๋อร์เมื่อเห็นอาจารย์ของตนกับหลินเป่ยเฉินพูดคุยอย่างสนิทสนมกันถึงเพียงนั้น นางก็อดเข้ามาแทรกกลางไม่ได้พร้อมกับถามว่า “หัวอะไรที่ใหญ่หรือเจ้าคะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบไปว่า “หัวเข่า”
หูเหม่ยเอ๋อร์เลื่อนสายตาลงมองไปที่หัวเข่าของหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “ก็ไม่เห็นใหญ่เลยนี่นา”
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นี้ การประลองบนยอดเขาหลุนเจี๋ยนเฟิงก็ได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
ปรากฏว่าคู่แค้นคู่อาฆาตได้มาพบเจอกันก่อนเวลาอันควร
เป็นสำนักมหากระบี่กำลังจะต้องพบกับสำนักกระบี่สายฟ้าวายุ
เมื่อไม่กี่วันก่อน ยอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะมีเรื่องต่อสู้กัน แต่วันนี้พวกเขากลับต้องมาเผชิญหน้ากันอีกครั้งบนเวทีประลอง
แม้ว่าเม่ยหลินจะแขนขาดไปหนึ่งข้าง แต่เขาก็มาปรากฏกายอยู่บนที่นั่งของลูกศิษย์ในสำนัก สีหน้าไร้อารมณ์ ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าชายหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่