เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1157 จะหลบหนีหรือสู้ต่อ?
ตอนที่ 1,157 จะหลบหนีหรือสู้ต่อ?
ในที่สุด ภายใต้การนำของเสี่ยวหรานและเม่ยหลิน บรรดามือกระบี่ชาวเมืองไป๋หยุน พร้อมด้วยกลุ่มคนจากสามสำนักใหญ่ก็ถอนตัวกลับไปถึงอีกฝั่งหนึ่งของสะพานหินเรียบร้อยแล้ว
“ที่นี่มีค่ายอาคม มันทำลายไม่ได้หรอก ตราบใดที่พวกเราสามารถปกป้องสะพานแห่งนี้เอาไว้ได้ เราก็จะสามารถซื้อเวลาให้พวกเขาหลบหนีได้สำเร็จ…”
ฉู่อวิ๋นซุนกัดฟันกรอดข่มความเจ็บปวดในร่างกาย
ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากพลังปราณสีทองคำนั้นไม่ใช่ความเจ็บปวดที่คนธรรมดาจะทนรับไหว
แต่มันเป็นความเจ็บปวดที่เสมือนกำลังจะฆ่าฉู่อวิ๋นซุนให้ตายทั้งเป็น
และนั่นก็ทำให้ท่านเจ้าเมืองหนุ่มระเบิดพลังออกมาด้วยความโกรธแค้น
ดวงตาของเขากลายเป็นสีแดงก่ำไม่ต่างจากบ่อโลหิตขนาดเล็ก เส้นเลือดปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า ราวกับเป็นรอยสักอันน่าหวาดกลัว…
เปลวไฟที่ลุกโชนทั่วร่างกายพุ่งขึ้นสูง
“หากข้าเสียสติโดยสมบูรณ์ ท่านจำข้อตกลงของเราได้หรือไม่?”
ฉู่อวิ๋นซุนจ้องมองไปที่ลู่กวนไห่
นี่คือครั้งแรกที่สีหน้าเย็นชาของลู่กวนไห่ปรากฏความหวาดวิตกขึ้นมา
“ฮ่า ๆๆ…”
ฉู่อวิ๋นซุนเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง ก่อนจะพุ่งกายตรงเข้าไปหา ‘เว่ยหมิงเฉิน’ โดยไม่ลังเล
ท่านเจ้าเมืองหนุ่มในขณะนี้ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าที่ถูกปลุกสัญชาตญาณดิบ เขาพร้อมที่จะต่อสู้ด้วยมือและเท้าเปล่าเช่นเดียวกับฟันของตนเอง
ฉู่อวิ๋นซุนระเบิดพลังลมปราณถึงขีดสุด แต่ก็ยังไม่สามารถรับมือการโจมตีจาก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ได้อยู่ดี
เป็นเพราะ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ มีพลังแข็งแกร่งมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินสูดหายใจลึก โคจรพลังลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง
เขาสงสัยมาตลอดว่าฉู่อวิ๋นซุนอาจจะเป็นสาวกปีศาจ แต่เท่าที่ดูในตอนนี้ พลังที่ท่านเจ้าเมืองหนุ่มปลดปล่อยออกมา ย่อมไม่ใช่พลังปีศาจอย่างแน่นอน
เพียงไม่กี่ลมหายใจ ฉู่อวิ๋นซุนก็ลอยกระเด็นกลับออกมาอีกครั้ง
พรวด!
แขนซ้ายของฉู่อวิ๋นซุนถูก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ กระชากขาดออก
บริเวณสะดือของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ที่กลายเป็นปากกว้าง ในนั้นเต็มไปด้วยฟันอันแหลมคม ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าร่างแยกของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ จะโยนแขนของฉู่อวิ๋นซุนเข้าไปในสะดือที่ขยายใหญ่ของตนเองและเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย…
อำมหิตและโหดร้าย
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
นี่หรือคือหัวหน้านักบวชคนใหม่แห่งวิหารเทพพงไพร
นี่แตกต่างจากปีศาจร้ายตรงไหนกัน?
“พวกเราผนึกกำลังร่วมมือกัน”
เม่ยฮัวโส่วเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุคำรามออกมา
เขาอ้าปากกลืนเม็ดยา ทันใดนั้น พลังลมปราณในร่างกายก็พุ่งขึ้นสูง ขอบเขตพลังเลื่อนขึ้นสู่ขั้นเซียนระดับ 9 กระบี่ในมือหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับตัวคน ก่อนกระโดดเข้าสู่วงต่อสู้ด้วยร่างกายที่เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า
ฮั่วเฟยฮัวหันมาชำเลืองมองที่หลินเป่ยเฉิน
“อย่าทำให้เสี่ยวเหยียนของข้าผิดหวังล่ะ”
นางกล่าว
“ว่าไงนะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความไม่เข้าใจ
ฮั่วเฟยฮัวไม่พูดอะไรอีก นางเงยหน้าส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนที่สายรัดผมของนางจะขาดผึง เส้นผมยาวสลวยถูกปลดปล่อยลงมา ก่อนที่กลุ่มละอองน้ำสีแดงจะสาดกระจายในอากาศ
กลิ่นหอมแปลกประหลาดตลบฟุ้งในอากาศ
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ทันใดนั้น ปรากฏดอกไม้ผุดขึ้นมาจากร่างกายของฮั่วเฟยฮัว ดอกไม้เหล่านั้นปรากฏออกมาจากเครื่องประดับต่าง ๆ ที่อยู่ตามร่างกายของนาง ไม่ว่าจะเป็นแหวน เข็มขัดหรือกำไล และกลิ่นหอมที่แปลกประหลาดนั้นก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากดอกไม้เหล่านี้เอง
ดอกไม้เบ่งบาน กลิ่นหอมกระจายในอากาศ
กลิ่นของดอกไม้ลอยออกมาจากร่างกายของฮั่วเฟยฮัว
ทำให้บรรยากาศของสุสานใต้ดินไม่ต่างไปจากสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง
ฮั่วเฟยฮัวสูดหายใจลึก กลิ่นหอมเหล่านั้นถูกสูดเข้าไปในปากและจมูกของนาง หลังจากนั้น ตัวคนก็เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ตลอดผิวหนังของฮั่วเฟยฮัวปรากฏดอกไม้และใบไม้ผุดพราวขึ้นมา เช่นเดียวกับบนหน้าผากและเส้นผม…
นี่คือกระบวนท่าไม้ตายของสำนักคฤหาสน์กำยาน มีชื่อว่าวิชากระบี่ใบไม้ผลิ
แต่มันเป็นวิชาต้องห้าม
เพราะเมื่อใช้วิชานี้ออกมา ตัวผู้ใช้จะต้องกลับกลายเป็นปีศาจดอกไม้ไปตลอดกาล ต่อให้ต้องตายก็ไร้แผ่นดินกลบฝัง
ทว่า ข้อดีของการกลายร่างเป็นปีศาจดอกไม้ก็คือบัดนี้มันทำให้ฮั่วเฟยฮัวมีขอบเขตพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับ 9 แล้ว
“ตายซะเถอะ!”
เมื่อนางยกมือขึ้น กลีบดอกไม้จำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกไป พวกมันมีความแหลมคมไม่ต่างไปจากคมกระบี่
ฮั่วเฟยฮัวกลับมาเข้าร่วมวงต่อสู้อีกครั้ง
“เราเองก็ต้องผ่านไปให้ได้เหมือนกันสิวะ”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด แต่ก็ตัดสินใจยังไม่กางอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง
เขาเลือกที่จะใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณแทน
เมื่อขึ้นมาเป็นผู้มีพลังขั้นเซียนแล้ว การเพิ่มพลังด้วยวิชาโลหิตกระชากวิญญาณอาจจะไม่ใช่การเพิ่มพลังแบบก้าวกระโดดเหมือนเมื่อก่อน
แต่ในการต่อสู้อันวิกฤตเช่นนี้ ขอแค่มีพลังเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยก็ถือว่าเยอะมากแล้ว
หลินเป่ยเฉินเข้าร่วมวงต่อสู้
‘ถ้าเรารอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ไปได้ คงต้องหาทางสร้างกระบี่ดี ๆ สัก 72 เล่มขึ้นมาเพื่อใช้ในค่ายอาคมโดยเฉพาะ ดูเหมือนว่าข้อเสียของค่ายอาคมกระบี่ก็คือหากกระบี่ไม่แข็งแกร่งมากพอ ค่ายอาคมก็จะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายเมื่อเผชิญหน้ากับขั้นเซียนระดับสูง…’
หลินเป่ยเฉินกำชับกับตนเองอยู่ในใจ
ครั้งนี้ เขาเลือกที่จะไม่เร่งภารกิจกอบกู้ความรุ่งเรืองของสำนักกระบี่อมตะให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว แต่หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะทดสอบค่ายอาคมกระบี่ของตนเอง และผลลัพธ์ที่ออกมา ก็ทำให้เขาได้รู้ถึงข้อดีและข้อเสียของค่ายอาคมกระบี่มากมายนัก
ในเวลาเดียวกันนี้
ลู่กวนไห่และสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินได้ใช้เคล็ดวิชาลับสุดยอดของพวกนาง เพิ่มระดับพลังของตนเองให้สูงมากขึ้น และกระโดดเข้าร่วมวงต่อสู้เป็นพวกสุดท้าย
แต่การต่อสู้ดำเนินไปอย่างน่าสลดใจ
ลู่กวนไห่คือคนแรกที่พลังหมดจนต้องถอนตัวออกจากวงต่อสู้
เห็นได้ชัดว่าทักษะกระบี่ของนางยังไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้ในระดับนี้ อีกทั้งยังขาดพื้นฐานพลังลมปราณที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง เมื่อเผชิญหน้ากับการตวัดฟาดฟันจากกระบี่ของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ลู่กวนไห่ก็ต้องปลิวกระเด็นออกไปกระแทกกับพื้นสะพานหิน…
“กวนไห่!”
ฉู่อวิ๋นซุนระเบิดเสียงคำราม รีบหันไปจะเข้าช่วยเหลือลู่กวนไห่
แต่ขาซ้ายของท่านเจ้าเมืองหนุ่มกลับถูก ‘เว่ยหมิงเฉิน’ คว้าจับเอาไว้ และมันก็ลากขาของเขาตรงเข้าไปในปากที่อยู่กลางลำตัวอันน่าขยะแขยงนั้น
เพียงพริบตาเดียว ขาซ้ายตั้งแต่ช่วงน่องลงไปของฉู่อวิ๋นซุนก็ถูกกัดขาด
โลหิตไหลทะลักราวน้ำพุ…
“ข้าจะสู้กับเจ้าเอง” ฉู่อวิ๋นซุนระเบิดเสียงคำรามด้วยความคลุ้มคลั่ง เขาใช้ทั้งสองมือโอบกอดร่างของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก่อนจะอ้าปากกัดบริเวณลำคอที่ปราศจากศีรษะนั้นอย่างแรง…
วูบ! วูบ!
รังสีกระบี่สองสายปรากฏขึ้น
เม่ยฮัวโส่วและฮั่วเฟยฮัวอาศัยจังหวะนี้ใช้กระบี่แทงเข้าสู่ร่างกายของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ จากทางซ้ายและทางขวา พลังลมปราณอันหนักหน่วงถูกส่งผ่านตัวกระบี่เข้าไปอย่างรุนแรง…
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ร่างของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ มีสภาพไม่ต่างไปจากภูเขาไฟระเบิด ผิวกายของมันปรากฏฟองอากาศผุดพราว และอวัยวะภายในก็ระเบิดกระจายกลายเป็นผุยผง
แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้กลับไม่ส่งผลต่อ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ เลยสักนิด
รังสีกระบี่ทองคำสาดประกายสวนกลับมาอีกครั้ง
วูบ!
เม่ยฮัวโส่วลอยกระเด็นออกไป
รังสีกระบี่ทองคำนั้นฟันเข้าใส่ช่วงเอวและหน้าท้องของเม่ยฮัวโส่ว
ร่างของผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่สายฟ้าวายุไถลไปตามสะพานหิน อาการบาดเจ็บอันหนักหน่วงทำให้ต้องร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด เม่ยฮัวโส่วต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียวในการหยุดยั้งไม่ให้ตนเองไถลตกลงไปในบ่อลาวาด้านล่าง
“ท่านเจ้าสำนัก”
เม่ยหลินผู้ตัดสินใจวิ่งกลับมาสามารถเข้าช่วยเหลือเม่ยฮัวโส่วได้ทันเวลาพอดี
ขณะนี้ ฮั่วเฟยฮัวก็ต้องล่าถอยออกมาแล้วเช่นกัน
เพราะนางเองถูกปราณกระบี่สีทองคำเล่นงาน เจ้าสำนักคฤหาสน์กำยานกระอักโลหิตออกมาจากปากคำใหญ่ ตัวคนล้มลงกระแทกพื้นสะพานหินอย่างรุนแรงกลิ้งกระเด็นไปอีกหลายตลบ นางพยายามที่จะลุกขึ้นมาอีกหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จ…
เพียงพริบตาเดียว คู่ต่อสู้ของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ในขณะนี้ก็หลงเหลือเพียงหลินเป่ยเฉินกับสตรีที่สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดแล้วเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินระดมวิชากระบี่ของตนเองจู่โจมออกไปไม่หยุดยั้ง
พลังลมปราณในร่างกายของเขาพุ่งขึ้นสูง เลือดลมร้อนระอุ ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณ
“เจ้ารีบหนีไปซะ”
สตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดนามแม่นางหลินใช้ฝ่ามือของนางผลักหลินเป่ยเฉินกระเด็นออกไปทางเฉลียงทางเดินด้านหน้าสะพานหินและกล่าวว่า “อยู่ที่นี่เจ้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีแต่ต้องตายตามกันไปเท่านั้น รีบหนีไปซะในเมื่อยังมีโอกาส”
กล่าวจบ นางก็หันไปต่อสู้พัวพันกับ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ อีกครั้ง
เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาถึงตอนนี้ ฉู่อวิ๋นซุนก็ถูกกัดขาขาดไปแล้วทั้งสองข้าง
แต่ท่านเจ้าเมืองหนุ่มดูเหมือนจะไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวด เขายังคงพยายามใช้ปากของตนเองกัดทึ้งเนื้อบริเวณลำคอของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ…
เส้นผมของแม่นางหลินปลิวไสว
นางควงกระบี่ยาวในมือเข้าต่อสู้กับ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ โดยไม่ลังเล แม้ว่าการกระทำครั้งนี้จะแทบไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟเลยก็ตาม
หลินเป่ยเฉินกลิ้งกระเด็นไปตามพื้นสะพานหิน กว่าจะตั้งหลักได้ รังสีกระบี่สีทองคำของ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ ก็เล่นงานเขาได้หลายบาดแผลแล้ว
เด็กหนุ่มรีบใช้พลังวารีบำบัดรักษาตนเองโดยเร็ว
หลังจากนั้น เขาก็พ่นละอองน้ำจากฝ่ามือไปที่เม่ยฮัวโส่ว ฮั่วเฟยฮัวและแม่นางหลิน
จะหลบหนี?
หรือจะสู้ต่อ?
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินเผชิญหน้าการตัดสินใจครั้งสำคัญ
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ยามที่เขาจ้องมองสตรีผู้สวมใส่หน้ากากแปลกประหลาดซึ่งกำลังพุ่งเข้าใส่ ‘เว่ยหมิงเฉิน’ อย่างไม่ย่อท้อนั้น หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
อีกอย่าง นี่ก็ใกล้จะถึงกำหนดเสร็จสิ้นภารกิจจากแอป Keep เต็มทีแล้ว เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีผู้ใดเลื่อนขั้นพลังได้เลย?
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด หยิบกระป๋องเครื่องดื่มชูกำลังตรากระทิงแดงออกมาเปิดฝาปิดและกรอกใส่ปากรวดเดียวหมด