เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1168 ตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน
ตอนที่ 1,168 ตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน
หลินเป่ยเฉินคิดว่าตนเองรู้แล้ว
ก่อนหน้านี้ เขาสงสัยมาตลอดว่าอาจารย์ติงสามารถเอาชนะใจองค์หญิงแห่งท้องทะเลได้อย่างไร
ตอนแรกหลินเป่ยเฉินนึกว่าอาจารย์ใช้ความหน้าด้าน
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนเองคิดผิด
เพราะปรากฏว่าตัวจริงของอาจารย์ติงก็หล่อเหลาไม่แพ้เขาเลย
ใบหน้างดงามราวกับรูปปั้นแกะสลัก
หากมีการจัดลำดับชายงามประจำเมืองไป๋หยุนในขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกับติงซานฉือก็ถือว่ามีความหล่อเหลาที่กินกันไม่ลงเลยทีเดียว
บัดนี้ ในที่สุดหลินเป่ยเฉินก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าตนเองกับอาจารย์มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายกัน
อย่างน้อยก็เรื่องของหน้าตานี่แหละ
ร่างของบุรุษหนุ่มที่อยู่ในอากาศเคลื่อนตัววูบ
‘ติงซานฉือ’ พุ่งตัวมาหยุดอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความรวดเร็ว
“อาจารย์ขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินเรียกหาออกไปโดยทันที
“ว่าไงนะ?”
ติงซานฉือเอียงศีรษะเบิกตาโตด้วยความไม่คุ้นชิน ก่อนจะใช้สายตาสำรวจมองหลินเป่ยเฉินขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่หลายเที่ยว “ใครเป็นอาจารย์ของเจ้า? แล้วนี่… เจ้าเป็นใครไม่ทราบ?”
หา?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
เขาหันหน้ากลับไปมองลู่กวนไห่โดยไม่รู้ตัว
“เกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
เด็กหนุ่มถาม “ทำไมอาจารย์ถึงจำข้าไม่ได้?”
ใบหน้าขาวเนียนที่สวยงามของลู่กวนไห่ไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย
นางไม่สนใจหลินเป่ยเฉิน
“เจ้ามนุษย์โสโครก กล้าดีอย่างไรมาเรียกข้าว่าเป็นอาจารย์ของเจ้า?”
ติงซานฉือมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ไม่ต่างจากกระบี่คู่หนึ่งที่ทิ่มแทงใส่ใบหน้าหลินเป่ยเฉินและยังคงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “คิดมาทำตัวล่วงเกินข้า เจ้าอยากตายใช่หรือไม่?”
เชี่ย
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
สิ่งที่เขาวิตกกังวลที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว
หลังจากฟื้นขึ้นมา ติงซานฉือก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน
แต่ว่าการตามหลักทฤษฎี การเปิดผนึกวิญญาณในครั้งนี้ ไม่สมควรลบความทรงจำไปได้เลยนี่นา
“ทำไมเจ้าถึงไม่พูด?”
กระบี่ในมือที่ขาวเนียนของติงซานฉือเป็นประกายสว่างวาวด้วยพลังลมปราณ เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวระเบิดพลังโจมตีใส่หลินเป่ยเฉิน “เจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับเจ้าได้อธิบาย มิฉะนั้นแล้ว…”
พลัน หลินเป่ยเฉินนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงนำศิลาบันทึกภาพออกมาสองก้อนและยื่นส่งไปตรงหน้าติงซานฉือ
“ศิลาสองก้อนนี้บันทึกภาพสองเหตุการณ์สำคัญเอาไว้ขอรับ อาจารย์น่าจะรู้นะขอรับว่าภาพในนี้เป็นภาพอะไร”
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างใสซื่อ
รอยยิ้มดุดันสลายหายวับไปจากใบหน้าติงซานฉือทันที
เขารีบลดกระบี่หยกขาวในมือและยิ้มแย้มออกมาด้วยความสนิทสนมก่อนหัวเราะกล่าวว่า “ฮ่า ๆๆ เจ้าลูกเต่าน้อย เจ้านี่ชอบล้ออาจารย์เล่นอยู่เรื่อย ของสำคัญเช่นนี้เจ้าจะนำออกมาถือเล่นทำไม เอามาให้อาจารย์เก็บไว้เถอะ ประเดี๋ยวภาพที่อยู่ด้านในจะหลุดรอดออกไปโดยไม่ทันระวัง…”
ให้ตายเถอะ
อาจารย์ติงที่เขารู้จักต้องแบบนี้สิ
หลินเป่ยเฉินเก็บศิลาบันทึกภาพทั้งสองก้อนกลับเข้าที่และกล่าวว่า “อาจารย์ขอรับ ศิษย์ใช่คนที่อาจารย์รักมากที่สุดหรือไม่?”
“ย่อมไม่ใช่” ติงซานฉือตอบออกมาเสียงเรียบ “คนที่ข้ารักที่สุดย่อมต้องเป็นภรรยาและบุตรสาวของข้าต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ไม่มีใครสามารถกะล่อนได้เท่ากับติงซานฉืออีกแล้ว…
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งยกมือกุมหัวใจ ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด “โอ๊ย ติงซานฉือ คำพูดของท่านช่างทำร้ายจิตใจของข้าน้อยยิ่งนัก เพราะฉะนั้น จงส่งกระบี่หยกขาวในมือท่าน มาเป็นของปลอบใจข้าน้อยเดี๋ยวนี้”
“ปลอบใจมารดาเจ้าเถอะ”
ติงซานฉือตวาดลั่น
“มารดาข้าน้อยเสียชีวิตแล้ว ยังจะต้องการคำปลอบใจอันใด”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างหน้าไม่อาย
“ในเมื่อไม่ต้องการคำปลอบใจก็ไม่ต้องเอาแล้ว”
ระหว่างที่ติงซานฉือพูด เขาก็เก็บกระบี่หยกขาวกลับเข้าไปในถุงเก็บสมบัติ หลังจากนั้นจึงตวัดมือฟาดศีรษะของหลินเป่ยเฉินเต็มแรงด้วยความขุ่นเคืองใจ “กระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธวิเศษและมีแค่ข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ได้ หากปล่อยให้ตกอยู่ในมือเจ้า มันก็คงไม่ต่างไปจากท่อนฟืนท่อนหนึ่งแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเพียงยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
อีกอย่าง ถ้าเขาขูดรีดแม้แต่กับอาจารย์ของตนเอง หลินเป่ยเฉินยังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือ?
“สถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”
ติงซานฉือหันหน้าไปถามลู่กวนไห่
ก่อนหน้านี้ เขาเก็บตัวหลอมรวมพลัง ไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ลู่กวนไห่บอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้ก่อนหน้านี้ให้ฟังทั้งหมด
ติงซานฉือรับฟังดังนั้นเม็ดเหงื่อก็ผุดพราวบนหน้าผาก
สรุปว่ากว่าที่เขาจะหลอมรวมพลังได้สำเร็จ ก็ต้องมีคนตายมากมายแล้วหรือ?
ติงซานฉือยกมือปาดเหงื่อและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม “ผู้อาวุโสฉีก็ยังคงพึ่งพาไม่ได้เช่นเคย แม้แต่ร่างแยกของเว่ยหมิงเฉินเขาก็ยังรับมือไม่ได้ ช่างน่าอับอายเสียจริง โชคดีที่นักพรตหญิงชินยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ติงซานฉือก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและกล่าวว่า “โชคดีที่เจ้าสืบทอดความซื่อสัตย์ จริงใจและกล้าหาญจากอาจารย์ไปหมดสิ้น นับว่าไม่ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้าแล้ว”
อาจารย์ขอรับ ท่านยังจะมีหน้ามาเอาความดีความชอบอีกหรือ?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านหายตัวไม่บอกไม่กล่าว แล้วยังจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมาอีกได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินได้แต่บ่นอยู่ในใจ
“อาจารย์ขอรับ หลังจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรต่อไป?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามเพื่อขอรับคำแนะนำ
คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เขาไม่เคยคิดถามติงซานฉือเลย
เพราะในฐานะผู้ที่ชอบหนีปัญหาเป็นอันดับหนึ่ง ติงซานฉือคงไม่มีคำแนะนำอะไรที่เป็นประโยชน์กับเขาแน่ ๆ
แต่ขณะนี้ อาจารย์สามารถเปิดผนึกวิญญาณจอมมารในร่างกายได้สำเร็จ เด็กหนุ่มจึงเชื่อว่าวิสัยทัศน์และความกล้าหาญของจอมมารแห่งเผ่าปีศาจจันทราทมิฬก็คงฟื้นคืนกลับมาด้วย และคำแนะนำของอาจารย์ติงก็อาจมีประโยชน์กับเขาก็เป็นได้
“เรื่องนั้นข้ามีแผนการอยู่แล้ว”
ติงซานฉือยกมือลูบคางตามความเคยชิน ก่อนที่จะนึกได้ว่าตอนนี้ตนเองกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริง คางของเขาจึงไม่มีหนวดเครา ดังนั้นติงซานฉือจึงรีบลดมือลงแกล้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แผนการอันใดขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความตื่นเต้น
ติงซานฉือตอบอย่างไม่ลังเล “หลบหนี”
หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบ ๆ
เอาเถอะ
สงสัยเขาคงตั้งความหวังมากเกินไปเอง
นิสัยของคนเราไม่ใช่สิ่งที่จะเปลี่ยนกันได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
“มาคุยกันเรื่องงานประลองกระบี่รอบชิงชนะเลิศวันพรุ่งนี้ดีกว่า นั่นคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้”
ลู่กวนไห่ไม่สามารถทนความเลวเหลวไหลไร้สาระของศิษย์อาจารย์คู่นี้ได้อีกต่อไป นางจึงดึงหัวข้อสนทนากลับมาสู่ประเด็นสำคัญอีกครั้ง “ได้เวลาตัดสินหาทายาทเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนแล้ว ตัวแทนจากเมืองเราขาดฉู่อวิ๋นซุนจำเป็นต้องหาคนมาแทนที่”
“ฉู่อวิ๋นซุน เจ้าเด็กคนนี้… เฮ้อ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แม้แต่ติงซานฉือที่เอาเรื่องเอาราวไม่ค่อยได้ก็ยังต้องถอนหายใจออกมา
ฉู่อวิ๋นซุนเป็นทายาทรุ่นหลังของตระกูลฉู่ เท่าที่ติงซานฉือจำได้ ฉู่อวิ๋นซุนเป็นเพียงเด็กหนุ่มขี้อาย มีนิสัยชอบเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ชอบการแข่งขันกับผู้ใด ซ้ำยังไม่ค่อยสนใจเรื่องการฝึกวิชากระบี่
แต่สถานการณ์ก็บังคับให้ฉู่อวิ๋นซุนต้องก้าวออกมาข้างหน้า
ฉู่อวิ๋นซุนยอมทำทุกอย่างเพื่อเมืองไป๋หยุน ยอมแม้กระทั่งการรับพลังต้องห้ามจากเผ่าปีศาจจันทราทมิฬเพื่อแลกกับพลังต่อสู้อันแข็งแกร่ง แม้ว่ามันจะทำให้ฉู่อวิ๋นซุนต้องเจ็บปวดทรมานตลอดเวลาก็ตาม ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น หากไม่ได้มีลู่กวนไห่คอยดูแลอยู่ข้างกาย ฉู่อวิ๋นซุนก็คงกลายเป็นบุคคลเสียสติโดยสมบูรณ์…
แต่ถึงกระนั้น พลังต้องห้ามจากเผ่าปีศาจจันทราทมิฬก็เปลี่ยนให้ฉู่อวิ๋นซุนกลับกลายเป็นคนใจร้อน บ้าระห่ำและเลือดเย็น…
เดิมทีติงซานฉือวางแผนว่าเมื่อจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เขาจะถอนคืนพลังต้องห้าม ปลดปล่อยชายหนุ่มออกจากความเจ็บปวด แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฉู่อวิ๋นซุนกลับต้องมาพบเจอชะตากรรมเช่นนี้
ฉู่อวิ๋นซุนมีห่วงอยู่เพียงเรื่องเดียวคือท่านปู่ผู้เป็นท่านเจ้าเมืองคนเก่าถูกเว่ยหมิงเฉินจับตัวไปกักขังเอาไว้ที่วิหารเทพพงไพร และยังไม่มีใครช่วยเหลือท่านปู่ของเขาออกมาได้สำเร็จ…เกรงว่าวิญญาณของฉู่อวิ๋นซุนคงไม่มีทางอยู่ได้โดยสงบสุข
“พวกเราจะขอถอนตัว”
ติงซานฉือกล่าวออกมาช้า ๆ
ลู่กวนไห่พลันเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองติงซานฉือ หยุดเล็กน้อยก่อนรับคำ “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
พลังของหลินเป่ยเฉินแข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้ นับดูผู้คนในกลุ่มตัวแทนจากเมืองไป๋หยุน คงมีเพียงติงซานฉือที่เพิ่งเปิดผนึกวิญญาณจอมมารในร่างกายได้สำเร็จเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติต่อสู้กับเขาได้
ส่วนคนอื่น ๆ ย่อมไม่ใช่คู่มือของหลินเป่ยเฉิน
ในเมื่อติงซานฉือไม่ประสงค์ที่จะต่อสู้ การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศจึงไม่ต้องจัดขึ้นอีกต่อไป
นี่หมายความว่าตำแหน่ง ‘เซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน’ จะตกเป็นของหลินเป่ยเฉินไปโดยปริยาย
“อาจารย์คือคนที่ศิษย์รักที่สุดในโลกเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตื้นตันจนน้ำตาไหล
อาจารย์มอบตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองให้เขาโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงแล้ว
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็จะสามารถทำตามข้อตกลงของเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้เสียที
หืม?
ใช่แล้ว
หลังจากนี้เขาจะเดินทางไปที่ดินแดนทวยเทพ
พักเรื่องการล้างแค้นเว่ยหมิงเฉินเอาไว้ก่อน
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นไปกับการเดินทางขึ้นสู่ดินแดนทวยเทพที่กำลังจะมาถึง
ทันใดนั้น เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นในหัวของเขา
“ติ๊ง!”
‘ตรวจพบแอปพลิเคชันใหม่ในแอปสโตร์ ต้องการดาวน์โหลดเลยหรือไม่เจ้าคะ?’
เสียงพูดที่อ่อนหวานของเสี่ยวจี้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน