เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 117 แหวนสีเขียวเข้ม
บทที่ 117 แหวนสีเขียวเข้ม
การประลองรอบที่ 3 สามารถอธิบายได้ในสองพยางค์ว่า…
รวดเร็ว
หมิงลั่วเถียน คือเด็กสาวมือกระบี่จากเมืองไท่หยาง ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าชวน
แต่ฝีมือของนางยังห่างชั้นจากเฉาพั่วเถียนอีกมากนัก
ตั้งสองคนต่อสู้กันเพียง 3 กระบวนท่า ก่อนที่กระบี่ในมือของหมิงลั่วเถียนจะปลิวกระเด็นออกไป
“ฮ่าฮ่า หมิงลั่วเถียน เจ้าช่างกล้าหาญเหลือเกิน ฝีมือเจ้าดีมาก แต่ระหว่างการใช้กระบวนท่าที่ 3 เจ้ากลับโคจรพลังลมปราณได้ไม่ทันเวลา ข้าจะสอนให้นะว่า กระบวนท่า ‘พริ้วไหวดุจสายน้ำ’ ต้องบรรจุด้วยความรู้ขั้นแรกเริ่มของ…”
เมื่อได้รับชัยชนะในครั้งนี้ เฉาพั่วเถียนกลับพูดจายิ้มแย้ม ช่างแตกต่างจากตอนที่เผด็จศึกเซี่ยหยุนหรงราวกับเป็นคนละคน
ไม่มีใครคิดเลยว่าหมิงลั่วเถียนจะกล่าวสวนออกมาว่า “ข้าฝึกของข้าเองได้ พั่วเถียน ไม่รบกวนเจ้าดีกว่า”
หลังจากนั้น เด็กสาวก็เดินลงจากเวทีกลับไปนั่งที่โต๊ะของตนเองด้วยสีหน้าเย็นชา
เมื่อถูกเด็กสาวผู้สง่างามปฏิเสธอย่างชัดเจน เฉาพั่วเถียนหน้าแตกยับ ในดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความไม่พอใจ
เด็กหนุ่มนึกว่าด้วยสถานะของเขา ด้วยพรสวรรค์และความรู้ที่มีอยู่ ขอเพียงแสดงความเป็นมิตรออกไปเล็กน้อย หมิงลั่วเถียนจะต้องตอบรับกลับมาด้วยความสำนึกขอบคุณแน่นอน แต่ใครจะไปคิดเลยว่าปฏิกิริยาตอบรับของนางกลับสวนทางจากสิ่งที่เขาคิดเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะจนท้องแข็งไปหมดแล้ว
เฉาพั่วเถียน นายมันก็เป็นแค่ไอ้ทึ่มที่ถือกระบี่เท่านั้นเอง เมื่อกี้นายเพิ่งเอาชนะเธอได้ใน 3 กระบวนท่า แถมยังพูดต่อหน้าทุกคนอีกว่าเธอมีจุดอ่อนอะไรบ้าง นายคิดว่าพูดออกไปแบบนั้น แล้วเธอจะญาติดีด้วยหรือไง? ฮ่าฮ่าฮ่า คิดจะใช้มุกนี้จีบสาวงั้นเหรอ เอาไว้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินอดนึกถึงบรรดามุกจีบสาวที่เคยอ่านเจอในอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ยิ่งคิด ตัวเองก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้น
บัดนี้ เขานอกจากจะหล่อเหลาแล้ว ยังมีฝีมือเลิศล้ำ เมื่อประกอบรวมกับมุกจีบสาวจากอินเทอร์เน็ตที่อยู่ในสมอง หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าหากเขาต้องการจริงๆ ก็คงไม่มีสาวงามคนใดรอดมือเขาไปได้แน่นอน
ต่อให้ยังไม่ต้องหว่านเสน่ห์ใส่ใคร ก็มีเด็กสาวจำนวนมากมายลุ่มหลงเขาแทบตายแล้ว
“ท่านยิ้มอะไรของท่านไม่ทราบ?”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินนั่งอมยิ้มนัยน์ตาเลื่อนลอย ไป๋ชินหยุนจึงเอนตัวเข้ามาถาม
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” หลินเป่ยเฉินตอบกลับทันควัน
แต่ก่อนที่ไป๋ชินหยุนจะได้โต้เถียงอะไรกลับมา เขาก็ชิงลุกเดินขึ้นเวทีไปเสียก่อน
ครั้งนี้ เด็กหนุ่มยังคงเลือก ‘กริชเจิ้งอี้’ เป็นอาวุธประจำกาย
คู่ต่อสู้ของเขาคือซ้งเชวอี้
“โฮะโฮะ หลินเป่ยเฉิน คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะแกล้งทำตัวอ่อนแอมาตลอด การแกล้งหลับเมื่อสักครู่นี้ของเจ้า ช่างน่าประทับใจนัก”
ซ้งเชวอี้พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เข้ามาเลย” หลินเป่ยเฉินยกมือกระดิกนิ้ว
เขาไม่ได้พูดถ้อยคำหยาบคายเลยสักคำ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ต้องเสียใจกับเจ้าด้วย หลินเป่ยเฉิน แต่เจ้าต้องตกรอบแล้ว”
ในมือของซ้งเชวอี้มีกระบี่ยาวอยู่เล่มหนึ่ง ดูด้วยสายตาแล้วน่าจะมีน้ำหนักไม่น้อย
การผ่านมาถึงรอบนี้ได้ หมายความว่าทุกคนเป็นยอดอัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่มมือกระบี่ดาวรุ่งทั้ง 20 กว่าคน
แต่ทว่า…
ครืน!
เสียงคลื่นน้ำดังขึ้นอีกครั้ง
คมกริชตวัดผ่านอากาศ
ผลั่ก!
ซ้งเชวอี้ลอยกระเด็นไปไกลสองวาเศษ ก่อนที่ร่างจะร่วงหล่นก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย!”
ซ้งเชวอี้กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด ต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าที่จะลุกยืนกลับขึ้นมาได้
“นับได้ว่าฝีมือเจ้า…ไม่เลวเลยทีเดียว ข้าจะจดจำเอาไว้”
ซ้งเชวอี้เอามือกุมก้นตัวเอง ล่าถอยกลับไปอย่างยอมรับความพ่ายแพ้
ถึงแม้จะไม่ทราบว่าตนเองเพลี้ยงพล้ำได้อย่างไร แต่ซ้งเชวอี้ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ ระดับฝีมือของเขากับหลินเป่ยเฉินยังห่างชั้นกันมากเกินไป
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ไป๋ชินหยุนต้องอ้าปากเหวอด้วยความประหลาดใจ
“หรือว่าข้าจะโง่เขลาเกินไปจริงๆ นะ?” เด็กสาวเริ่มสงสัยในตัวเองขึ้นมาชอบกล
การแสดงฝีมือในรอบก่อนหน้านี้ของซ้งเชวอี้เรียกได้ว่ามีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่บัดนี้ เด็กหนุ่มกลับต้องพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉินทั้งที่มีโอกาสใช้ออกมาเพียงสามกระบวนท่า และไม่สามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้อีกแล้ว
ซ้งเชวอี้ไม่ใช่คนไม่ยอมรับความจริง
เขารู้ตัวดีว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน อย่างไรเสียตนเองก็ต้องพ่ายแพ้
เมื่อไป๋ชินหยุนลองคิดดูให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น นางก็พบว่าหลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียวทั้งสิ้น
นับเป็นความจริงที่น่าเหลือเชื่อ
บรรดามือกระบี่อาวุโสไม่มีใครกล้าดูถูกหลินเป่ยเฉินอีกต่อไปแล้ว
แม้แต่ไป๋ไห่ชินก็ยังต้องหรี่ตามองเขาด้วยแววตายากหยั่งถึง
ในขณะที่ศิษย์พี่ติงของเขามีความสามารถด้านอื่นๆ จัดอยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไป แต่ความสามารถในการคัดเลือกลูกศิษย์กลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ ติงซานฉือมีลูกศิษย์เป็นเฉาพั่วเถียน ส่วนตอนนี้ก็มีหลินเป่ยเฉิน
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มทั้งสองคนนี้ จะต้องเป็นมือกระบี่อัจฉริยะแห่งยุคสมัย ต่อให้เทียบชั้นกับบรรดาดาวรุ่งของเมืองไป๋หยุน ก็ไม่ได้พ่ายแพ้กันแต่อย่างใด
แต่บนสีหน้าของไป๋ไห่ชิน ยังคงแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย
เพราะถึงแม้หลินเป่ยเฉินจะมีความสามารถเลิศล้ำ ทว่า ก็ยังตามหลังเฉาพั่วเถียนอยู่อีกหลายช่วงตัว
อีกอย่าง ไป๋ไห่ชินได้จัดการกรุยทางให้แก่ศิษย์รักของเขาแล้วเป็นอย่างดี
เพราะฉะนั้น อย่างไรเสียตำแหน่งผู้ชนะในค่ำคืนนี้ จะต้องตกเป็นของเฉาพั่วเถียนแน่นอน
บัดนี้ ในกลุ่มมือกระบี่อาวุโส คนที่มีความสุขมากที่สุด จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฉู่เหิน
อาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 ของสถานศึกษากระบี่ที่สามตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
“ข้านี่มันมองคนไม่ผิดจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายชราหัวเราะอยู่ในใจ
ตั้งแต่แรก เขาแสดงออกชัดเจนว่าเชื่อมั่นในตัวหลินเป่ยเฉินทั้งที่คนอื่นไม่เห็นด้วย บัดนี้ ความพยายามของเขาได้ผลิดอกออกผลแล้ว ฉู่เหินจึงมีความสุขยิ่งนัก
ถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาภาพลักษณ์ ป่านนี้ฉู่เหินได้ลุกขึ้นเต้นระบำไปแล้ว
ในขณะที่ติงซานฉือกลับมีสีหน้าเยือกเย็นมากกว่ากันหลายเท่า
เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าหลินเป่ยเฉินมีฝีมือไม่ธรรมดา ดังนั้น ชายชราจึงไม่ประหลาดใจ
หลิงอู๋ที่นั่งดูอยู่ห่างไกลพยักหน้าในความมืด “เจ้าแกะดำมีฝีมือไม่เลวเหมือนกัน นอกจากใจกล้าแล้ว ยังมีสติเยือกเย็นอีกด้วย”
แต่ก็มีบางอย่างที่เขาอยากเห็นมากกว่านี้
เด็กหนุ่มจึงนั่งสังเกตการณ์ต่อไป
ขณะนี้ การจับแผ่นไม้เลือกคู่ประลองได้เสร็จสิ้นลงแล้ว
หลินเป่ยเฉินโชคดีจับได้ป้ายชื่อเปล่า จึงผ่านเข้าสู่รอบต่อไปโดยไม่ต้องสู้กับใคร
ส่วนเฉาพั่วเถียนต้องประลองกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนปาต้าจุย
การประลองรอบนี้ดำเนินไปยาวนานกว่าที่ทุกคนคาดคิด
ปาต้าจุยสามารถใช้กระบี่กลืนกินของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับพลังลมปราณและร่างกายของเขาที่มีความแข็งแกร่งเกินการคาดหมายของกลุ่มคนดู เด็กหนุ่มร่างอ้วนสามารถใช้วิชากระบี่สายน้ำไหล 16 กระบวนท่าติดต่อกันอย่างคล่องแคล่ว แต่เมื่อใช้ออกมาถึงกระบวนท่าที่ 17 ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เขาต้องพ่ายแพ้ให้แก่คมกระบี่ของเฉาพั่วเถียนแล้ว
ทุกคนล้วนประทับใจในฝีมือของเด็กหนุ่มร่างอ้วนเป็นอย่างยิ่ง
เขาสามารถทำให้เฉาพั่วเถียนต้องตั้งรับถึง 17 กระบวนท่าติดๆ กัน นับว่าเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายจริงๆ
มีเพียงเฉาพั่วเถียนคนเดียวเท่านั้นที่ดวงตาเป็นประกายดุร้าย ในหัวใจครุ่นคิดด้วยความเดือดดาลว่า “เจ้าอ้วนคนนี้มีฝีมือร้ายกาจเหลือเกิน หากปล่อยให้เติบใหญ่ในภายภาคหน้า มันจะต้องเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของเราแน่ หลังจากนี้ ต้องคิดหาโอกาสกำจัดมันออกไปให้ได้…”
เด็กหนุ่มกำชับกับตนเอง
จังหวะนี้ เฒ่าทะเลผู้มีเส้นผมสีเขียวรุงรังเหมือนสาหร่ายพันเกลียวก็เดินขึ้นมาบนเวที
“การต่อสู้ดำเนินมาถึงรอบสุดท้ายแล้ว อีกไม่กี่อึดใจ เราก็จะได้ทราบกันแล้วว่าใครคือผู้ชนะประจำบททดสอบนี้ และทุกท่านคงทราบดีว่าผู้ชนะมีได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เพื่อเป็นการเพิ่มแรงจูงใจให้แก่เด็กหนุ่มทั้งสองคน ข้าจึงได้ตัดสินใจมอบของรางวัลพิเศษให้แก่ผู้ชนะการประลอง พวกเจ้าจงดูให้ดี…”
ชายชรายื่นมือออกมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า
บนมือของเขามีแหวนวงหนึ่ง
มันเป็นแหวนรูปทรงหางมังกรสีเขียวเข้ม ทำจากหยกคุณภาพสูง พื้นผิวของมันเป็นประกายระยิบระยับ ทำให้มองเห็นลวดลายที่แกะสลักอยู่บนตัวแหวนได้ชัดเจน
เมื่อเฒ่าทะเลโคจรพลังลมปราณลงไปในตัวแหวน อักขระอาคมก็ปรากฏขึ้นบนวงแหวนทันที
แหวนวงนี้ลงค่ายอาคมไว้ถึง 107 ชนิด
มันเป็นวัตถุที่ได้จากการเล่นแร่แปรธาตุ ยิ่งลงอาคมไว้มากมายเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น
“แหวนวงนี้ข้าทำขึ้นมาจากหยกบริสุทธิ์ของจักรวรรดิเป่ยไห่ สามารถใช้เก็บของได้จำนวนมากมาย ในระหว่างเด็กหนุ่มสองคนนี้ ใครคือผู้ชนะ ก็จะได้รับแหวนเก็บของวงนี้ไปครอบครอง”
เฒ่าทะเลพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
เขาพูดจบแล้ว
รอบกายบังเกิดเสียงอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง
แม้แต่มือกระบี่อาวุโสก็ยังต้องเบิกตาโต
ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่ากลุ่มมือกระบี่ดาวรุ่งต่างจ้องมองแหวนสีเขียวเข้มวงนั้นตาเป็นมันกันหมดแล้ว
โดยเฉพาะไป๋ชินหยุนที่น้ำลายเกือบไหลยืดเลยทีเดียว
แหวนเก็บของ
นับเป็นของวิเศษที่หาได้ยากยิ่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณท่านผู้เฒ่ามากที่จะมอบมันให้แก่ข้าน้อย”
เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
ถึงเขาจะมาจากเมืองไป๋หยุน แต่เด็กหนุ่มกลับไม่มีของวิเศษที่ใช้เก็บของเป็นของตนเองเลยสักชิ้นเดียว ที่ผ่านมามีเพียงอาจารย์ไป๋จะเมตตาให้หยิบยืมมาใช้งานบ้างเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น
แต่ขณะนี้ การประลองยังไม่ทันจะเริ่ม เฉาพั่วเถียนกล้าพูดออกมาได้เช่นไรว่าเฒ่าทะเลมอบแหวนวงนี้ให้แก่ตนเอง?
นั่นเป็นเพราะว่าเฉาพั่วเถียนมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจะต้องชนะการประลองครั้งนี้แน่นอน