เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1186 ข้ามีภรรยาแล้ว
ตอนที่ 1,186 ข้ามีภรรยาแล้ว
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจ “ข้าเป็นเทพเจ้านะ ไม่ว่ากระทำสิ่งใด ก็ไม่มีทางให้คนบริสุทธิ์ได้รับความเดือดร้อนเด็ดขาด”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้น ท่านกับข้าก็มีสิ่งนี้ที่เหมือนกันแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวอย่างชื่นชมจากใจจริง
“เฮอะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหัวเราะเยาะ “ไม่ใช่ว่าพวกเราหน้าตาดีเหมือนกันอยู่แล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “ประเด็นของข้าก็คือท่านยังหน้าตาดีไม่พอ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลันพุ่งเข้ามาขยุ้มคอเสื้อเด็กหนุ่มและแยกเขี้ยวคำรามอีกครั้งว่า “เจ้าลูกสุนัข วันนี้ข้าจะฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นเตรียมตัวออกจากโรงน้ำชา
“คุณชายขอรับ แม่นางคนสวย อย่าลืมจ่ายเงินด้วย”
เถ้าแก่โรงน้ำชารีบวิ่งเข้ามาส่งเสียงเตือน
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
“เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ไม่ได้จ่ายเงินไว้ให้พวกเราหรือนี่ ไม่สมกับเป็นนางเลย สงสัยนางคงอยากจะลองใจเจ้าดูแล้วล่ะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูด ก่อนจะจ่ายค่าน้ำชาด้วยสีหน้าเจ็บปวดใจ
และตนเองกับเด็กหนุ่มก็เดินออกมาสู่ถนนด้านนอก
“ข้าจะไปบอกลาตระกูลฮันก่อน”
หลินเป่ยเฉินว่า “ท่านอยากไปด้วยกันหรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่ายศีรษะ ตอบว่า “ข้าต้องรีบไปจ่ายหนี้นอกระบบ… เอ๊ย ข้าต้องรีบไปดำเนินการเรื่องตำแหน่งเซียนกระบี่ของเจ้าน่ะ เดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าจะตามไปพบเจ้าที่โรงเตี๊ยมถิงเซวี่ยก็แล้วกัน”
“ตามนั้น”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ก่อนหมุนตัวเดินออกมา
แต่หลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันกลับไปถามว่า “จริงด้วยสิ ทำไมท่านกับเทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ถึงพูดภาษาเดียวกับข้าได้ล่ะ?”
การสื่อสารระหว่างเทพธิดาทั้งสองนางนี้เป็นไปอย่างราบรื่น
“ให้ตายเถอะ พวกข้าเป็นเทพเจ้านะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบ “พวกเราต่างก็มีสาวกอยู่ในแผ่นดินตงเต้า หากไม่รู้ภาษาของพวกเจ้า แล้วเราจะสามารถหลอกลวง… เอ๊ย แล้วเราจะเป็นเทพเจ้าที่พวกเจ้าเคารพศรัทธาได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินรีบบันทึกลงสมองทันทีว่าเทพเจ้าบนดินแดนทวยเทพต้องเรียนรู้ภาษาต่างภพแทบทุกคน
หลังจากนั้น
พวกเขาก็แยกทางกันชั่วคราว
ไม่กี่อึดใจให้หลัง หลินเป่ยเฉินก็เดินทางกลับมาถึงโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย
ฮันลั่วเซวี่ยยืนรออยู่หน้าประตู กำลังกวาดสายตาจ้องมองกลุ่มคนด้วยความกระวนกระวาย เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินกลับมาแล้ว ใบหน้าที่สวยงามนั้นก็บอกถึงความโล่งใจเล็กน้อย นางรีบวิ่งมาหาเขาและกล่าวอย่างกระตือรือร้นว่า “พี่ใบ้หายไปไหนมา? รู้หรือไม่ว่าข้างนอกอันตรายเพียงใด… เขตพื้นที่ระดับ 3 ไม่ใช่ดินแดนแห่งความสงบสุข ท่านจะออกไปเดินเล่นไม่ได้เด็ดขาด…”
ถึงเด็กหนุ่มจะไม่ทราบว่าบุตรสาวเจ้าของโรงเตี๊ยมกล่าวอะไรออกมาบ้าง แต่เขาก็ทราบว่านางกำลังพูดออกมาด้วยความห่วงใย
หลายวันที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความจริงใจจากผู้คนในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย
เขายิ้มและจับมือฮันลั่วเซวี่ยก่อนจะลากนิ้วเป็นตัวอักษรบนฝ่ามือของนาง ‘ข้ามีอะไรอยากจะบอกเจ้า’
“อะไรหรือ…”
ฮันลั่วเซวี่ยหน้าแดงก่ำขึ้นมาในทันใด แต่นางก็ยังคงสัมผัสได้ถึงตัวอักษรบนฝ่ามือ หัวใจจึงเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น
หลังจากนั้น
ลานที่พักด้านหลังโรงเตี๊ยม
ฮันหลี่ อู๋เหว่ยและฮันลั่วเซวี่ยมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ส่วนหรานจื่อชุน เขาให้ฮันลั่วเซวี่ยช่วยหาข้ออ้างและเบี่ยงเบนความสนใจชายฉกรรจ์ไปที่อื่น
บัดนี้ สมาชิกตระกูลฮันทั้งสามชีวิตกำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
พวกเขาไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังจะทำอะไร
หลินเป่ยเฉินเดินไปหากิ่งไม้จากต้นไม้มากิ่งหนึ่ง จากนั้นจึงเขียนข้อความลงบนพื้นดิน ‘เรียนท่านลุง ท่านป้าและลั่วเซวี่ย ตลอดหลายวันที่ผ่านมา พวกท่านช่วยดูแลข้าเป็นอย่างดี ข้ารู้สึกสำนึกในบุญคุณเป็นอย่างยิ่ง แต่วันนี้ได้เวลาที่ข้าต้องไปแล้ว’
“เจ้ารู้หนังสือด้วยหรือนี่”
ฮันหลี่อุทานออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะจ้องมองบุตรสาวด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อยและเอ่ยถามโดยไม่รู้ตัวว่า “แต่ทำไมเจ้าต้องไปด้วย… พวกเราดูแลเจ้าไม่ดีพอหรือ?”
หลังจากพูดจบ ชายชราจึงนึกได้ว่าหลินเป่ยเฉินหูหนวกไม่ได้ยินคำพูดผู้ใด ดังนั้นเขาจึงใช้กิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งเขียนข้อความสอบถามบนพื้นดิน
ใบหน้าของฮันลั่วเซวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างขาวซีดปราศจากสีเลือด ดวงตาจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินตลอดเวลา
‘ข้าพบครอบครัวของข้าแล้ว’
หลินเป่ยเฉินใช้กิ่งไม้ขีดเขียนเป็นตัวอักษร ‘วันนี้ ข้าได้พบเจอกับภรรยาของตนเองอีกครั้ง’
นี่คือเหตุผลที่ผ่านการขบคิดมาดีแล้ว
เพราะมันเป็นเหตุผลที่น่ารังเกียจมากที่สุด
ทุกครั้งที่เขาเขียนข้อความ ใบหน้าของฮันลั่วเซวี่ยก็จะขาวซีดลงเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะเมื่อคำว่า ‘ภรรยา’ ปรากฏออกมา ฮันลั่วเซวี่ยก็แทบล้มพับลงไปตรงนั้น ต้องเอามือเกาะเกี่ยวแขนของมารดาไว้โดยไม่รู้ตัว
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินมีครอบครัวอยู่แล้ว
เขาแต่งงานแล้ว
เขามีภรรยาแล้ว
ฮันลั่วเซวี่ยรู้สึกว่าโลกของตนเองหนาวเย็นและโดดเดี่ยวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้า… มีครอบครัวแล้วหรือ?”
ฮันหลี่ยิ่งตกใจมากกว่าเดิม เขียนข้อความสอบถามกลับไป ‘เหตุไฉนก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยพูดถึงเลย?’
‘ก่อนหน้านี้ ข้าน้อยได้รับบาดเจ็บ สมองถูกกระทบกระเทือน ความทรงจำบางส่วนสูญหาย แต่วันนี้ข้าได้พบกับภรรยาอีกครั้งและนางก็รักษาข้าจนหายดี ดังนั้นข้าจึงได้ความทรงจำกลับคืนมาทั้งหมดแล้วขอรับ’
หลินเป่ยเฉินใช้ข้ออ้างความจำเสื่อม
ข้ออ้างนี้ ใช้หมื่นครั้งก็ได้ผลหมื่นครั้ง
เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้เอง
ฮันหลี่เชื่อเหตุผลของเด็กหนุ่มหมดหัวใจ
“ถ้าอย่างนั้น… ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่ออีกสักวันสองวันให้…” ฮันหลี่ไม่รู้จะเขียนอะไรบนพื้นดินอีก เขาอยากจะปล่อยให้หลินเป่ยเฉินได้อยู่กับบุตรสาวตามลำพัง แต่ชายชราก็รู้ดีว่านั่นคงเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้อีกแล้ว
‘ข้าต้องกลับไปหาภรรยาของข้าขอรับ’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความอย่างช้า ๆ
เขารู้ดีว่าฮันลั่วเซวี่ยมีความประทับใจต่อตนเอง
หลายวันที่ผ่านมา เขาจึงพยายามไม่ให้ความหวังกับนาง
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ผ่านทางมาโดยบังเอิญเท่านั้น
ไม่ช้าก็เร็ว เขาก็ต้องไปจากที่นี่และเขาไม่อยากจะสร้างแผลในใจเอาไว้ให้ใครทั้งนั้น
อีกอย่าง หลินเป่ยเฉินคิดกับฮันลั่วเซวี่ยเป็นเพียงน้องสาว นางเปรียบเสมือนคนในครอบครัวของเขา
“เฮ้อ…”
อู๋เหว่ยถอนหายใจออกมายาวแรง
นางโอบกอดบุตรสาวแนบแน่น
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร แต่นําศิลาบูชาออกมาหนึ่งพันก้อนวางไว้ตรงหน้าฮันหลี่และเขียนข้อความว่า ‘เสี่ยวเซวี่ยเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ท่านลุงท่านป้าก็ดูแลข้าราวกับเป็นบุตรชายของตนเอง และข้าก็ได้รับความอบอุ่นจากพวกท่านมากมายเหลือเกิน ข้าไม่รู้จะตอบแทนพวกท่านอย่างไร ได้โปรดอย่าปฏิเสธเงินก้อนนี้เลย มิเช่นนั้น ข้าคงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต’
ความจริง หลินเป่ยเฉินยังสามารถมอบผลกวนเจี๋ยและทรัพย์สมบัติชิ้นอื่น ๆ เป็นสิ่งของตอบแทนให้แก่ตระกูลฮันได้เช่นกัน
แต่โลกนี้ยังมีสิ่งที่เรียกว่าทุกขลาภ หากเขามอบเงินทองสิ่งของมีค่าให้แก่ครอบครัวของฮันลั่วเซวี่ยมากเกินไป บางทีมันอาจจะนำความเดือดร้อนมาสู่สามพ่อแม่ลูกผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีก็เป็นได้
“นี่มัน…”
ฮันหลี่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ข้าไม่เชื่อ”
ทันใดนั้น ฮันลั่วเซวี่ยร้องตะโกนออกมา ก่อนจะวิ่งเข้ามาเตะกองก้อนศิลาบูชากระจายไป ดวงตาของนางแดงก่ำ หยดน้ำตาไหลลงมาจากดวงตา ฟันสีขาวของนางกัดริมฝีปากสีแดงสด เด็กสาวจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแข็งกร้าว
“เสี่ยวเซวี่ย อย่าทำแบบนี้เลย…”
อู๋เหว่ยพยายามฉุดดึงบุตรสาวกลับไป
ความจริง ไม่ว่าก่อนหน้านี้หนุ่มใบ้จะพูดอะไรออกมา แต่การที่เขาจ่ายเงินเป็นศิลาบูชาถึงหนึ่งพันก้อน ก็นับเป็นข้อพิสูจน์ทุกอย่างแล้ว
เด็กหนุ่มรูปหล่อมากความสามารถผู้นี้ ไม่ใช่คนในเขตแดนเดียวกับพวกนาง
ศิลาบูชาจำนวนหนึ่งพันก้อน เทียบเท่ากับรายได้โดยเฉลี่ยต่อปีของโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและหันไปกวักมือเรียกใครบางคนด้านนอกกำแพง
แสงสว่างเป็นประกายระยิบระยับ
เทพธิดาผู้ไว้ผมหางม้าสองแกละนางหนึ่งเดินเข้ามา
“เทพเจ้า?”
ฮันหลี่กับภรรยามีสีหน้าตกตะลึง
พวกเขารีบคุกเข่าทำความเคารพ
หญิงสาวผมหางม้าสองแกละแผ่รัศมีบางอย่างออกมาจากร่างกายซึ่งมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นถึงจะทำได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้คิดไปเองแน่นอน
“นางเป็นภรรยาของท่านหรือ?”
ฮันลั่วเซวี่ยจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมตนเองถึงต้องดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริงเช่นนี้ “ข้ายังคงไม่เชื่ออยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
อย่ายืนงงสิ เจ๊
รีบเข้ามาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นได้แล้ว!