เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1243 ราชาหมาป่าศิลา
ตอนที่ 1,243 ราชาหมาป่าศิลา
ลึกเข้าไปในหุบเขามรณะซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองร้างแห่งหนึ่ง
เมืองนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงเมืองที่ชำรุดทรุดโทรม…
ภายในตัวเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยทะเลทราย
และท่ามกลางเนินทรายที่ยาวไกลสุดลูกหูลูกตาเหล่านั้น ปรากฏคฤหาสน์และบ้านเรือนของผู้คนทะลุขึ้นมาจากใต้ผืนทรายเป็นระยะ แต่ยากที่จะบอกได้ว่าหน้าตาดั้งเดิมของบ้านเรือนเหล่านี้เป็นเช่นไร เพราะพวกมันผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลามาอย่างยาวนาน บัดนี้จึงมีสภาพไม่ต่างไปจากหินก้อนหนึ่ง
ใจกลางเมืองร้างแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของก้อนหินใหญ่ที่มีความสูงเท่ากับตึกสิบชั้น
และผู้ที่ยืนอยู่บนก้อนหินก้อนนี้ ก็คืออสูรที่มีความสูงมากกว่าเก้าเซียะ
มันมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ สวมใส่ชุดเกราะที่เป็นส่วนผสมกันระหว่างแผ่นไม้ แผ่นเหล็ก กระดูกและเถาวัลย์
ร่างกายกำยำใหญ่ยักษ์
ดวงตาเป็นประกายราวกับระฆังทองเหลือง ปากกว้างอย่างหมาป่ากระหายเลือด
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนใบหน้าของมันก็คือหนวดเคราสีแดงสดที่ชี้ชันราวกับเข็มแหลมชุ่มเลือด
กล้ามเนื้อบนร่างกายของมันมีความแข็งแกร่งในชนิดที่ว่าอาวุธของมนุษย์แทบทุกชนิดไม่สามารถทำอันตรายอะไรมันได้เลย…
มือขวาของอสูรร่างยักษ์ตัวนี้ถือไม้กระบองที่มีหนามแหลมคมสีดำอยู่ท่อนหนึ่ง และไม้กระบองท่อนนี้ก็มีความยาวเท่ากับความสูงของตัวมันเอง
น่าจะเป็นอาวุธคู่กายของมัน
ตอนแรกที่เห็นอสูรร่างยักษ์ตัวนี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจผิดคิดว่ามันเป็นผู้เข้าแข่งขันด้วยกัน
แต่แล้วเขาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ
เพราะเจ้าของร่างสูงใหญ่กำยำนี้ แม้จะมีร่างกายเป็นมนุษย์ แต่มันกลับมีศีรษะเป็นหมาป่า
มิหนำซ้ำ ศีรษะของมันยังมีถึงสี่ใบหน้า
ใบหน้าทั้งสี่ของมันแสดงอารมณ์ความรู้สึกแตกต่างกันออกไป บางใบหน้าแสดงความเกรี้ยวกราดดุร้าย บางใบหน้าหลับตาพริ้มอย่างสงบเสงี่ยม บางใบหน้าก็คอยกวาดสายตาระมัดระวังอันตรายรอบกาย
ใต้ก้อนหินใหญ่ก้อนนี้ บนเนินทรายสีเหลืองอ่อน การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป
โฮกกกก!
เสียงขู่คำรามดังกึกก้อง
นั่นคือเสียงขู่คำรามของบรรดาอสูรหมาป่าที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ พวกมันระเบิดเสียงคำราม ในมือถืออาวุธอย่างท่อนไม้ ก้อนหินลับคม ไม้เท้าที่ทำขึ้นจากกระดูก และเข้าต่อสู้กับผู้บุกรุกอย่างสุดความสามารถ
คู่ต่อสู้ของพวกมันคือนักรบเทวะและนักเวทกว่าหกสิบชีวิต
กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้เข้าร่วมการแข่งขันรอบแรก
ผู้เข้าแข่งขันกลุ่มนี้นอกจากจะไม่ฆ่ากันเองแล้ว พวกเขายังร่วมมือกันอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินเฝ้าดูด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ขณะนี้ เขากำลังยืนอยู่บนเสาหินใหญ่ต้นหนึ่ง สังเกตการต่อสู้จากระยะไกล ภาพที่เด็กหนุ่มเห็นจึงไม่ต่างจากกองทัพเล็ก ๆ สองกองทัพกำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด
“เทพเจ้าส่วนใหญ่แล้วมีความเชื่อว่าผู้ที่อยู่รอดจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เพราะฉะนั้น ในการแข่งขันรอบแรก พวกเขาจึงพยายามฆ่าสัตว์อสูรให้ได้มากที่สุด เพื่อเก็บคะแนนให้สูงที่สุดขอรับ และหากสามารถยึดเมืองอสูรแห่งนี้ได้ พวกเขาก็จะได้รับคะแนนพิเศษมากมาย…”
เฉียนหลงที่ยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินรับหน้าที่อธิบาย
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินจ้องมองไปยังยักษ์ใหญ่ที่ยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ใจกลางเมือง เมื่อเห็นใบหน้าของอสูรตนนั้น เด็กหนุ่มก็คล้ายกับกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินใช้แอปความรู้คู่ปัญญาในโทรศัพท์สแกนดูข้อมูลทันที
‘ราชาหมาป่าศิลา สุดยอดสัตว์อสูรระดับแปด สถานะในปัจจุบันอยู่ในร่างแรก ราชันหมาป่าสงคราม…’
‘ราชาหมาป่าศิลา นอกจากมีความฉลาดเฉลียวแล้ว ยังมีฝีมือในการต่อสู้แข็งแกร่งมากอีกด้วย…’
‘พลังทำลายล้างอยู่ในขั้นยอดนักรบเทวะ…’
เมื่อสแกนข้อมูลของอสูรร้ายบนก้อนหินใหญ่ ข้อความจำนวนมากก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉิน
ข้อมูลเหล่านี้มีรายละเอียดครบถ้วน
เป็นไปอย่างที่หลินเป่ยเฉินคาดคิดเอาไว้ ยักษ์ใหญ่ในชุดเกราะซอมซ่อนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสัตว์อสูร
สัตว์อสูรที่มีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์มากถึงขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเคยพบเห็นเป็นครั้งแรก
“อ้อ รู้แล้วขอรับ นั่นคือราชาหมาป่าศิลา มันต้องเป็นราชาหมาป่าศิลาที่โตเต็มวัยแล้วแน่ ๆ”
เฉียนหลงพูดออกมาในที่สุด
เขาชี้มือไปยังร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่บนก้อนหินใจกลางสนามรบ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสั่นเทา ไม่สามารถซ่อนเร้นความหวาดกลัวเอาไว้ได้เลย “ที่นี่คือหุบเขามรณะ นั่นคือราชาหมาป่าศิลา ให้ตายเถอะ พวกเราเจอปัญหาแล้วขอรับ เป็นปัญหาใหญ่เสียด้วย”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าเฉียนหลง
เฉียนหลงใบหน้าซีดเซียว กล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกว่า “ราชาหมาป่าอสูรถูกจัดเป็นครึ่งอสูรครึ่งมนุษย์ พวกมันคือยอดนักล่าที่มีความฉลาดเฉลียว ปกติสามารถพบเจอได้แต่ในหุบผาอเวจีแดนแปดเท่านั้น พวกมันไม่ว่าตัวไหนก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน ซึ่งก็คือพวกมันเกลียดชังเทพเจ้าขอรับ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าชั้นต่ำชั้นสูง หรือเป็นเพียงนักล่าอสูร หากพวกมันพบเจอ พวกมันก็จะฆ่าให้ตายด้วยความโหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง…”
องครักษ์ทั้งสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเฉียนหลงบัดนี้หอบหายใจถี่เร็ว ใบหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์อย่างช้า ๆ
ถึงเฉียนหลงไม่บอก เขาก็รู้ดีอยู่แล้วว่าราชาหมาป่าศิลาตัวนี้มีความร้ายกาจไม่ธรรมดา โดยเฉพาะพลังปราณอสูรที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมันนั้น มีความรุนแรงชนิดที่ทำให้หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบเลยทีเดียว
สัญชาตญาณของหลินเป่ยเฉินกำลังแจ้งเตือนเขาว่า ‘จงระวัง อย่าประมาท ถ้าหนีได้จงรีบหนี วิ่งสิวิ่ง อย่าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเลย…’
หลังจากที่มาถึงดินแดนทวยเทพ นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอสัตว์อสูรแข็งแกร่งถึงขั้นนี้
“คุณชายขอรับ พวกเราควรลงไปช่วยเหลือผู้เข้าแข่งขันเหล่านั้นหรือไม่?”
เฉียนหลงพยายามสงบจิตสงบใจและสอบถามออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าชายหนุ่มด้วยความเหลือเชื่อ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะมีจิตวิญญาณของผู้ผดุงความยุติธรรมอยู่ในตัวด้วย
สงสัยระหว่างเขากับเฉียนหลงจะมีนิสัยเหมือนกันจริง ๆ แฮะ
เฉียนหลงรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “กราบเรียนคุณชาย ราชาหมาป่าศิลาเป็นสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว พวกมันเกลียดชังเทพเจ้าทุกชนชั้น บัดนี้มันคงไม่ปล่อยพวกเราให้อยู่รอดแน่ เมื่อกองทัพลูกสมุนของมันฆ่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ หมดสิ้น พวกมันก็จะหันมาตามล่าเราแทน และเมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็คงหนีความตายไม่พ้นอีกแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ต้องยอมรับเลยว่าการวิเคราะห์ของเฉียนหลงมีเหตุผลไม่น้อย
“ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ
เขาก้มหน้ามองลงไป
ในสนามรบที่อยู่ด้านล่าง กลุ่มผู้เข้าแข่งขันกับกลุ่มอสูรหมาป่าศิลายังคงต่อสู้กันอย่างสูสี
และเห็นได้ชัดว่าฝ่ายเทพเจ้ามีความแข็งแกร่งมากกว่าฝ่ายอสูร ดังนั้น จำนวนผู้ที่บาดเจ็บล้มตายของพวกเขาจึงมีไม่มาก
เดิมที กลุ่มอสูรหมาป่าศิลามีจำนวนมากกว่ากลุ่มเทพเจ้า แต่ด้วยพลังต่อสู้ที่เป็นรอง พวกมันจึงบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก ศีรษะถูกตัดขาดจมอยู่ในกองเลือด และเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ของพวกมันก็ส่งเสียงหอนโหยหวนด้วยความโกรธแค้นน่าขนลุก
แต่สิ่งที่ทำให้กลุ่มผู้เข้าแข่งขันรู้สึกท้อใจก็คือ จำนวนอสูรหมาป่าศิลายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ตัวเก่าจะล้มตายลงไป แต่พวกมันก็มีตัวใหม่วิ่งออกมาจากซอกหินใต้พื้นดินเสมอ…
นี่คือความแตกต่างระหว่างปริมาณกับคุณภาพ
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้ที่มีปริมาณกำลังพลมากกว่าก็ได้เปรียบผู้ที่มีเพียงคุณภาพเท่านั้น
ไม่นานนัก ฝ่ายอสูรหมาป่าศิลาก็กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ
โชคดีที่ในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันมียอดฝีมืออยู่ด้วย
พวกเขาเป็นนักรบเทวะขั้นสูงสี่คน กระบี่ถูกชักออกจากฝัก ก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่สี่ก้อนสร้างเป็นค่ายอาคมขึ้นมาชั่วคราว หลังจากนั้น พวกเขาก็ปลดปล่อยการโจมตีจากสี่ทิศทาง พุ่งเข้าไปเล่นงานที่ราชาหมาป่าศิลาเป็นหนึ่งเดียว
โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มผู้สวมใส่ชุดเกราะหนังสีฟ้า เขายืนประจำการอยู่บนก้อนหินทิศตะวันออก รังสีกระบี่ของเขาเจิดจ้าเตะตาหลินเป่ยเฉินเข้าอย่างจัง
คนผู้นี้มีร่างผอมสูง หากเปรียบเทียบกับคนในโลกใบเดิมของหลินเป่ยเฉิน บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็มีความสูงไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร แขนของเขายาวเลยหัวเข่า ข้างเอวห้อยกระบี่ฝักสีน้ำเงินเล่มหนึ่ง มือของเขาไขว้ไปด้านหลัง ผมยาวสลวยปลิวไสวตามแรงลม ดูองอาจผ่าเผยและมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
รอบกายของเขาหมุนวนด้วยรังสีกระบี่สีฟ้า พวกมันรวมตัวกันพุ่งขึ้นสูงในอากาศ ก่อสร้างเป็นกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งที่ปลดปล่อยพลังคุกคามหนักหน่วงรุนแรง
ในกลุ่มยอดฝีมือทั้งสี่คน บุรุษหนุ่มผู้นี้คือแกนนำในการต่อสู้กับราชาหมาป่าศิลา
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาดังขึ้นจากในสนามรบ
นั่นคือเสียงร้องของนักรบเทวะผู้หนึ่งที่ถูกอสูรหมาป่าตัวหนึ่งขย้ำคอเข้าเต็มเขี้ยว ส่งผลให้โลหิตพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
แต่นักรบเทวะผู้นี้ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เขาโยนกระบี่ในมือทิ้งไปและใช้สองมือของตนเองบีบคออสูรหมาป่าสุดแรงเกิด อย่างน้อยหากเขาต้องตาย นักรบเทวะผู้นี้ก็ปรารถนาที่จะลากอสูรหมาป่าศิลาตัวนี้ให้ตกตายไปตามกัน
“พี่ฉู่…”
เมื่อเห็นดังนั้น เพื่อนร่วมรบที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ดวงตาเบิกโต แม้ใจจริงจะคิดเข้าไปช่วยเหลือ แต่เพียงป้องกันตนเองยังเอาตัวไม่รอด แล้วเขาจะไปช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร?
และในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนั้นเอง…
วูบ!
รังสีกระบี่พุ่งเข้ามาจากกลางอากาศ
เสียงวัตถุแหวกอากาศดังขึ้น แล้วหัวของอสูรหมาป่าตัวนั้นก็ขาดกระเด็น ก่อนที่มันจะระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด
‘พี่ฉู่’ ผู้ถูกอสูรหมาป่าขย้ำลำคอซวนเซถอยหลัง ร่างกายสูญสิ้นเรี่ยวแรงไร้การควบคุม แต่เมื่อตั้งสติได้ เขาก็รีบนำยารักษาอาการบาดเจ็บออกมาพอกลงไปบนบาดแผลทันที
โชคดีที่เขาสามารถตั้งสติได้รวดเร็วมากพอ สุดท้ายอาการบาดเจ็บจึงหายดี หลงเหลือแต่เพียงใบหน้าที่แสดงออกถึงความตกตะลึงเท่านั้น
วูบ! วูบ! วูบ!
เสียงวัตถุแหวกอากาศยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
รังสีกระบี่ยังคงสาดประกายเจิดจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า
หัวอสูรหมาป่าศิลาขาดกระเด็นตัวแล้วตัวเล่า
“ได้เวลาออกล่าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ปลดปล่อยรังสีกระบี่เหล่านั้นออกไปเอง
เขาจัดการอสูรหมาป่าเหล่านั้นจากบนก้อนหินสูงก้อนนี้
หลังจากนั้น เขาก็หันไปกระซิบสั่งกับพวกของเฉียนหลงทั้งสามคนว่า “ไม่ต้องมายืนเฉย รีบไปเก็บกวาดซากอสูรหมาป่าเหล่านั้นมาให้ข้าได้แล้ว… ซากของพวกมันแต่ละตัวมีราคาแพงยิ่งนัก”