เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1264 การต่อสู้แบบกลุ่ม
ตอนที่ 1,264 การต่อสู้แบบกลุ่ม
ในวิหารสาขาที่ 98 ขณะนี้มีแสงไฟสว่างไสว
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนมารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา
นักบวชเซียงเหยียนสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีดำ คิ้วโก่งดังคันศร ผิวพรรณขาวเนียนผุดผ่อง ยังคงมีสง่าราศีเช่นเคย
หากเป็นในโลกมนุษย์ใบเก่าของหลินเป่ยเฉิน ภาพลักษณ์ของนักบวชสาวเซียงเหยียนก็เหมาะสมที่จะเป็นประธานาธิบดีหญิงอย่างยิ่ง
อวิ๋นอู่เหินและพรรคพวกจ้องมองนักบวชเซียงเหยียนไม่วางตา ไม่ทราบว่าพวกเขาตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่
แต่สายตาของเซียงเหยียนกลับจับจ้องอยู่ที่คนผู้เดียวเท่านั้น
“เจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือไม่?”
นักบวชสาวเซียงเหยียนยิ้มแย้ม ไม่ปิดบังเลยว่าตนเองห่วงใยหลินเป่ยเฉินมากเพียงใด
“เตรียมตัวพร้อมแล้วขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ
ขาดคำ ได้ยินหวังซือหูส่งเสียงหัวเราะออกมาจากด้านข้าง
“พูดมาได้ไม่อายปาก”
“ฮ่า ๆๆ คนที่วัน ๆ เอาแต่บ้าตัณหาราคะอยู่ในหอสุราเหมียวเหมียวหง่าวอย่างเจ้า จะเอาเวลาที่ไหนไปเตรียมตัว?”
“น่าขันเหลือเกิน”
ชายฉกรรจ์ทั้งเจ็ดรวมถึงหวังซือหูและว่านหยวน ล้วนแต่อยู่ภายใต้การนำของอวิ๋นอู่เหิน หลายวันที่ผ่านมาพวกเขาได้รับทรัพยากรสำหรับฝึกวิชาไม่ขาดแคลน มิหนำซ้ำ ยังได้ฝึกเคล็ดวิชาลับที่ไม่เคยฝึกมาก่อนอีกด้วย
พวกเขาไปเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ในคฤหาสน์หลังหนึ่ง
ถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์จึงไม่ทราบว่าหลินเป่ยเฉินคือผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดในการแข่งขันรอบที่ผ่านมา
“เจ้านี่มันช่างน่าเวทนาเหลือเกิน”
ว่านหยวนมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเหยียดหยาม
นักบวชสาวเซียงเหยียนจ้องมองกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าประหลาดใจ
คนกลุ่มนี้เสียสติหรือไม่?
หรือว่าเป็นพวกหลงตัวเองมากเกินไป?
ในเวลาเช่นนี้ แทนที่จะประจบเอาใจผู้ที่ได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของการแข่งขันรอบแรกให้ดีที่สุด แต่ชายฉกรรจ์กลุ่มนี้กลับตั้งตนเป็นศัตรูพูดจาดูถูกเหยียดหยามใส่เจี๋ยนเซียวเหยาเนี่ยนะ?
เจ้าอ้วนยืนอยู่เงียบ ๆ ด้านหลังหลินเป่ยเฉิน
ไม่ต่างจากน้องน้อยที่เชื่อฟังพี่ใหญ่
ความจริง หลายวันที่ผ่านมา เขาติดตามหลินเป่ยเฉินล่าสัตว์อสูรอยู่ในหุบผาอเวจี และกลายเป็นผู้ช่วยคนสนิทของเด็กหนุ่มในการเก็บกวาดซากสัตว์อสูรชนิดที่เพียงมองตาก็รู้ใจเป็นอย่างดี
“พวกเจ้าควรสามัคคีกันไว้”
หัวหน้านักบวชหญิงชราแห่งวิหารสาขาที่ 98 ปรากฏตัวพร้อมกับไม้เท้าคู่กาย นางเดินเข้ามาช้า ๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายสั่งสอนลูกหลานว่า “ความสามัคคีจะทำให้พวกเจ้าสามารถผ่านรอบที่สองได้สำเร็จ”
ทุกคนนิ่งเงียบ
มีใครบ้างที่จะอยากรับฟังวาจาที่คร่ำครึล้าสมัยเช่นนี้?
นักบวชหญิงชรายืนค้ำไม้เท้า ไม่พูดอะไรอีก
นางไม่ต่างจากคุณครูใหญ่ที่เดินทางอย่างยากลำบากมาส่งเด็กนักเรียนของตนเองเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ลมหายใจต่อมา ประตูมิติที่เป็นวังน้ำวนสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
อวิ๋นอู่เหินยิ้มมุมปาก หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน จากนั้นจึงหันกลับไปพยักหน้าให้พวกของหวังซือหู ก่อนเดินเข้าสู่ประตูมิติไปเป็นกลุ่มแรก
“เจ้าต้องระมัดระวังผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ให้ดี มีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะรวมหัวกันเล่นงานเจ้า ได้โปรดระมัดระวังตัวด้วย”
นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวทิ้งท้าย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในวังน้ำวนสีดำนั้น
“พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่เจ้าอ้วนและเดินตรงไปที่ประตูมิติ
นักบวชหญิงชราที่ยืนนิ่งเงียบมาโดยตลอดกลับส่งเสียงพูดขึ้นว่า “ฝากเจ้าดูแลเซียงเหยียนด้วย”
หลินเป่ยเฉินก้าวเท้าไปข้างหน้า
“แน่นอนขอรับ”
เขาตอบ
และตัวคนก็หายวับเข้าไปในประตูมิติทันที
…
ความรู้สึกไร้น้ำหนักสลายหายไป
เบื้องหน้าเป็นทะเลทราย
เนินทรายสีเหลืองกว้างขวางยาวไกลสุดลูกหูลูกตา
สัมผัสใต้เท้าก็ยังคงเป็นพื้นทรายอ่อนนุ่ม
หืม?
หลินเป่ยเฉินไม่เข้าใจเลยว่าเพราะเหตุใดตนเองถึงถูกส่งตัวมาทำภารกิจในทะเลทรายอีกแล้ว?
เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก
“คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเราจะต้องมาทำภารกิจในทะเลทรายทองคำ”
เสียงของนักบวชสาวเซียงเหยียนดังขึ้นข้างหูของหลินเป่ยเฉิน
นอกจากนางแล้ว พวกของอวิ๋นอู่เหินทั้งแปดคนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน
การแข่งขันรอบที่สองเป็นการแข่งขันแบบกลุ่ม
บัดนี้ ตัวแทนทั้งสิบคนจากวิหารสาขาที่ 98 แห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือจำเป็นต้องร่วมมือกันทำภารกิจให้สำเร็จ
“กติกาการแข่งขันก็คือ พวกเราต้องอยู่รอดในทะเลทรายแห่งนี้ให้ได้”
อวิ๋นอู่เหินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แต่การที่จะอยู่รอดในทะเลทรายแห่งนี้ได้นั้น พวกเราจำเป็นต้องมีคะแนนให้เพียงพอ การมีคะแนนให้เพียงพอนั้นสามารถทำได้สองวิธี วิธีแรกมาจากการล่าสัตว์อสูร ส่วนวิธีที่สองมาจากการเก็บรูปสลักเทวะให้ได้อย่างน้อยคนละหนึ่งตัว”
รูปสลักเทวะ?
หลินเป่ยเฉินงงใจที่ตนเองไม่รับทราบข้อมูลเหล่านี้เลย
เขาขมวดคิ้วด้วยความมึนงงสงสัย ทันใดนั้น สายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของตนเองก็เกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินยกข้อมือขึ้นมาดู
จึงได้เห็นว่าบนสายรัดข้อมือมีการฉายภาพตัวอักษรขึ้นมาในอากาศ
เนื้อหาของข้อความนั้นเป็นกติกาการแข่งขันดังที่อวิ๋นอู่เหินกล่าวออกมาก่อนหน้านี้
เชี่ย
นี่หมายความว่าชายฉกรรจ์ร่างเตี้ยมีเส้นสายรับข้อมูลพิเศษจากวงใน
น่าจะเป็นสำเนาของกติกาฉบับนี้
และข้อมูลจากสายรัดข้อมือยังบอกอีกว่า การทำภารกิจแบบกลุ่มในครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันไม่ควรโจมตีเพื่อนร่วมกลุ่มของตนเองหรือออกจากกลุ่มไปโดยไม่บอกกล่าวผู้ใด มิเช่นนั้นจะถือว่าละเมิดกฎและจะถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันทันที
ในเวลาเดียวกันนี้ก็มีภาพของรูปสลักเทวะถูกฉายออกมา
มันเป็นรูปสลักเทพเจ้าเต็มตัวขนาดเท่ากับฝ่ามือมนุษย์
ใบหน้าพร่าเลือน
มองไม่ชัดเจนว่าเป็นรูปสลักของบุรุษหรือสตรี
หลังจากอ่านข้อมูลแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ได้แต่ขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
นี่มันกติกาบ้าบออะไรกันเนี่ย
ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม เขาต้องห่วงใยความรู้สึกของเพื่อนร่วมกลุ่มด้วยหรือ?
เหลวไหลชะมัด
แต่สมมติว่าหากเขาทำภารกิจได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกลุ่มอีกต่อไปใช่หรือไม่?
แต่สายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันที่กำลังสวมใส่อยู่นี้ มันทำให้หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่สบายใจอย่างไรชอบกล
เขารู้สึกเหมือนตนเองถูกจับใส่เครื่องติดตามสัญญาณ GPS
บางทีมันอาจจะเป็นอุปกรณ์ดักฟังด้วยก็ได้
ในไม่ช้า ทุกคนก็เข้าใจกฎการแข่งขันเป็นอย่างดี
“พวกเรารีบไปหารูปสลักกันก่อนดีกว่า”
นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “กลุ่มของพวกเรามีด้วยกันทั้งหมดสิบคน เพราะฉะนั้นก็ต้องหารูปสลักเทวะให้ได้สิบตัว นอกจากนี้ ทุก ๆ การสังหารสัตว์อสูรหนึ่งตัวจะช่วยให้กลุ่มของเราได้รับคะแนนหนึ่งหมื่นแต้มอีกด้วย”
“แต่ก่อนที่พวกเราจะลงมือทำสิ่งใด ควรเลือกผู้นำกลุ่มก่อนดีหรือไม่?”
หวังซือหูส่งเสียงโพล่งขึ้นมา
“ไม่เลว”
ว่านหยวนและคนอื่น ๆ ส่งเสียงสนับสนุน
อวิ๋นอู่เหินกระตุกยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ท่านนักบวชเซียงเหยียนเป็นผู้ที่ทำคะแนนได้สูงที่สุดในกลุ่มของเราจากรอบที่แล้ว ดังนั้น ให้ท่านนักบวชเป็นหัวหน้ากลุ่มของพวกเราไปก็แล้วกัน”
นักบวชสาวเซียงเหยียนแสดงท่าทีตื่นตกใจเล็กน้อย
หลังจากนั้น นางก็หันไปมองหน้าอวิ๋นอู่เหินด้วยแววตาเย็นชาและรังเกียจ
นักบวชสาวเข้าใจว่าอวิ๋นอู่เหินกำลังมีเจตนาประจบเอาใจตนเอง
อวิ๋นอู่เหินถึงกับหยุดชะงัก
อะไรกัน?
เขาอุตส่าห์แต่งตั้งนางให้ได้รับตำแหน่งสูงสุดในกลุ่ม ทว่านักบวชสาวเซียงเหยียนกลับไม่ชอบใจอย่างนั้นหรือ?
หรือว่ามีบางอย่างผิดปกติ?
นักบวชสาวเซียงเหยียนไม่กล่าวอะไรอีก แต่นางหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “เจ้ามาเป็นหัวหน้ากลุ่มเถอะ”
สีหน้าของอวิ๋นอู่เหินและลูกสมุนแปรเปลี่ยนไปทันที
แต่หลินเป่ยเฉินกลับส่ายหน้า ตอบว่า “ท่านต่างหากที่ควรเป็นหัวหน้ากลุ่ม”
นักบวชสาวเซียงเหยียนทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
หลินเป่ยเฉินกล่าวตัดบทว่า “แค่เชื่อฟังข้าก็พอ”
อวิ๋นอู่เหินและลูกสมุนเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
แม้แต่หัวหน้ากลุ่มก็ยังต้องเชื่อฟังเจี๋ยนเซียวเหยาด้วยหรือ?
นักบวชสาวเซียงเหยียนกลับพยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย
ด้วยเหตุนี้ โครงสร้างทางอำนาจของกลุ่มพวกเขาจึงถูกจัดสร้างขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดยิ่ง
อวิ๋นอู่เหินรู้สึกเจ็บปวดหัวใจเหลือเกิน
เดิมที เขาคิดว่านักบวชสาวเซียงเหยียนเป็นหญิงแกร่งที่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงานได้อย่างไม่มีปัญหา อย่างน้อยนางก็คงไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปะปนกับการแข่งขันในครั้งนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อนักบวชสาวมีความรัก สมองของนางจะโง่งมลงถึงเพียงนี้
หากเป็นเช่นนี้ แผนการที่พวกเขาเตรียมเอาไว้จัดการเจี๋ยนเซียวเหยาก็ต้องเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อย่างน้อยก็ต้องหาทางซ่อนเร้นจากสายตาของนักบวชเซียงเหยียนให้ได้
หรือพวกเขาจะฆ่านางด้วยเลยดีนะ?
แต่นักบวชสาวเซียงเหยียนมีฝีมือแข็งแกร่ง ต่อให้พวกเขาทั้งแปดคนร่วมมือกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะนางได้
ในระหว่างที่อวิ๋นอู่เหินใช้ความคิดอยู่นี้ หลินเป่ยเฉินก็สามารถกำหนดทิศทางได้แล้ว เขายกมือชี้ไปที่ทะเลทรายฝั่งหนึ่งและกล่าวว่า “ตรงนั้น… พวกเราไปกันเถอะ”