เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1270 พวกท่านต้องต่อสู้กัน
ตอนที่ 1,270 พวกท่านต้องต่อสู้กัน
“ท่านจะไม่สั่งสอนข้าสักหน่อยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าลู่ปิงเหวิน ถามด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามอันเป็นบุคลิกของเขา
“ข้าน้อย…”
ลู่ปิงเหวินแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว “ข้าน้อย… ข้าน้อยมิได้หมายความเช่นนั้นขอรับ”
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปตบไหล่อีกฝ่ายเบา ๆ
ลู่ปิงเหวินหวาดกลัวจนแทบปัสสาวะราดรด
“ให้ตายสิ คนเราจะคิดอะไรก็ได้ แต่พูดทุกอย่างตามที่คิดไม่ได้หรอกนะ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “แต่โบราณว่าคนไม่รู้ย่อมไม่ผิด ครั้งนี้ข้าจะปล่อยผ่านไปก็แล้วกัน”
“ขอบคุณคุณชายเจี๋ยนมากขอรับ…”
ลู่ปิงเหวินรีบร่ำร้องออกมาด้วยความลนลาน
“ชาติหน้าก็ระมัดระวังคำพูดให้มากกว่านี้หน่อยสิ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาอีกครั้ง
ลู่ปิงเหวินเบิกตาโต
“ฮ่า ๆๆ ข้าเพียงล้อท่านเล่นน่ะ”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ข้าเป็นคนตลกใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้วขอรับ ใช่แล้ว ตลกมากเลยขอรับ…”
ลู่ปิงเหวินพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
เขาอาจจะกำลังหวาดกลัว แต่เขาไม่ใช่คนโง่
เจี๋ยนเซียวเหยาต้องการจะข่มขู่เขาให้ตกใจกลัว
แต่ลู่ปิงเหวินก็ไม่กล้าพูดคำใดออกมา
“ประเสริฐ ไม่ต้องคุกเข่าหรอก ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินว่า
ลู่ปิงเหวินเพิ่งจะทราบว่าตนเองกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เขารีบลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินโบกมือส่งสัญญาณ
เจ้าอ้วนจึงรีบนำเก้าอี้และโต๊ะพับออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาดใหญ่ใบนั้น เมื่อกางเก้าอี้และโต๊ะพับเสร็จเรียบร้อย เจ้าอ้วนก็นำกล่องบรรจุอาหารออกมาจัดเรียงเช่นเดียวกับไหสุราอย่างคล่องแคล่วว่องไว
ในขณะที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังจ้องมองมาด้วยความพิศวง หลินเป่ยเฉินก็หยิบชามสุรามาใบหนึ่งและจัดการรินสุราใส่ชามใบหนึ่ง เมื่อยกสุราขึ้นจิบอึกใหญ่ เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างสบายอารมณ์ “ยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
เขาหันไปมองหน้าลู่ปิงเหวินต่อด้วยมองหน้าซือเกินตั๋งแล้วกล่าวว่า “พวกท่านต้องต่อสู้กัน”
“ว่าไงนะขอรับ?”
บุรุษหนุ่มทั้งสองคนทวนคำด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่หมายความว่าอย่างไร?
หลินเป่ยเฉินซดสุราอย่างมีความสุขก่อนกล่าวว่า “ข้าจะให้พวกท่านแข่งขันกัน เร็วเข้าสิ พวกเราไม่มีเวลากันแล้ว พวกท่านต้องต่อสู้กันอย่างจริงจัง… ได้โปรดจำไว้ว่าเหล่าซือต้องเป็นผู้ชนะ ส่วนปิงเหวินต้องเป็นผู้พ่ายแพ้เท่านั้น… แต่ท่านต้องออกไปต่อสู้กันที่ทะเลทราย ห้ามทำป่าเขียวรอบบ่อน้ำเสียหายเด็ดขาด”
บัดนี้ ลู่ปิงเหวินกับซือเกินตั๋งยิ่งงงงันมากกว่าเดิม
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามให้มากความ
บุรุษทั้งสองคนหันมองหน้ากัน แววตาเป็นประกายร้อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซือเกินตั๋งมาจากเผ่าเทพภูผา ชำนาญเรื่องการใช้พลังปราณธาตุดิน เก่งกาจเรื่องการป้องกันตนเอง ส่วนลู่ปิงเหวินมาจากเผ่าเทพอัคคี มีความชำนาญเรื่องการใช้พลังปราณธาตุไฟ จุดเด่นคือสามารถโจมตีได้อย่างรุนแรง
ทั้งสองคนต่างก็เป็นเทพเจ้าระดับ 6
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น บรรยากาศก็ดุเดือดเป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า ลู่ปิงเหวินจึงได้แสดงความอ่อนแอออกมา สุดท้ายก็ล้มลงไปฟุบกับพื้นด้วยความพ่ายแพ้
การต่อสู้ยุติลง
“เอาล่ะ เหล่าซือ ท่านลองตรวจสอบคะแนนของตนเองดูหน่อยสิว่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินยกมือป้องปากออกคำสั่งจากระยะไกล
ซือเกินตั๋งสำรวจตรวจสอบสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของตนเอง และพบว่าคะแนนในการทำภารกิจของเขาเพิ่มขึ้นมาสิบแต้ม
หลินเป่ยเฉินได้รับทราบสิ่งที่ตนเองอยากรู้
“ประเสริฐ”
เขาพูดด้วยความดีใจ
นี่หมายความว่าตราบใดที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ แม้อีกฝ่ายจะยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ก็ตาม แต่ผู้ชนะก็จะได้รับคะแนนแล้ว
“พวกท่านต้องต่อสู้กันอีกครั้ง”
เด็กหนุ่มซดสุรารวดเดียวหมดชาม ก่อนตะโกนว่า “แต่ครั้งนี้เหล่าซือท่านต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับปิงเหวินบ้าง”
ซือเกินตั๋งกับลู่ปิงเหวินไม่กล้ารีรอขัดคำสั่ง พวกเขาโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์และสู้กันอีกครั้ง
ผ่านไปสิบกระบวนท่า ซือเกินตั๋งก็กลายเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำถูกลู่ปิงเหวินต่อยกระเด็นไถลไปไกลหลายสิบวา
“ลู่ปิงเหวิน ท่านรีบดูว่าคะแนนเพิ่มขึ้นหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงตะโกนมาอีกครั้ง
ลู่ปิงเหวินก้มมองสายรัดข้อมือประจำตัวผู้เข้าแข่งขันของตนเอง ก่อนที่ดวงตาจะเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ “เพิ่มขอรับ… คะแนนเพิ่มขึ้นแล้ว”
เจ้าอ้วนที่ยืนนิ่งเงียบมาตลอดพลันจ้องมองหัวหน้ากลุ่มผู้เป็นตัวแทนจากเผ่าเทพอัคคีไม่วางตา
“ฮ่า ๆๆ…”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า “ในที่สุดข้าก็พบช่องโหว่แล้ว”
เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ได้ยินดังนั้น พวกเขาก็หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พบช่องโหว่?
ช่องโหว่อะไรกัน?
ทันใดนั้น ทุกคนได้ยินเจี๋ยนเซียวเหยากล่าวต่อ “อย่าเพิ่งหยุดสิ พวกท่านต้องสู้กันต่อ คราวนี้เหล่าซือต้องเป็นฝ่ายชนะ”
ซือเกินตั๋งกับลู่ปิงเหวินไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่ต่อสู้กันต่อไป
แต่หลังจากนั้น พวกเขาสู้กันอีกประมาณห้ารอบ ไม่ว่าผู้ใดเป็นฝ่ายแพ้หรือว่าชนะ พวกเขาก็ไม่ได้รับคะแนนเพิ่มอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินหันมาพยักหน้าส่งสัญญาณบอกกวนรั่วเฟยว่า “ท่านไปแทนที่เหล่าซือต่อสู้กับลู่ปิงเหวิน”
กวนรั่วเฟยสะดุ้งเฮือก ก่อนจะเข้าร่วมการต่อสู้ตามคำสั่ง
หลังจากนั้น เขากับลู่ปิงเหวินก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะหกรอบ ตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉิน
แต่มีเพียงการชนะครั้งแรกเท่านั้นที่พวกเขาจะได้รับคะแนน การชนะรอบต่อ ๆ มาไม่มีผลอันใดอีกแล้ว
“เข้าใจแล้ว ช่องโหว่ตรงนี้ใช้ได้แค่ครั้งเดียว ไม่สามารถใช้กับครั้งต่อมาได้อีก”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจรูปแบบการแข่งขันได้ไม่ยาก
และเพื่อยืนยันความคิดของตนเอง เขาก็คัดเลือกชายฉกรรจ์มาอีกสองสามคนเพื่อให้สลับกันต่อสู้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังเป็นเช่นเดิม
หากเป็นเช่นนี้ก็ง่ายแล้ว
“พวกท่านอยากได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินผายมือไปทางกองรูปสลักเทวะ
ทุกคนพยักหน้ารับคำโดยไม่รู้ตัว
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปใช้นิ้วคีบรูปสลักเทวะขึ้นมาตัวหนึ่ง ยิ้มมุมปากและกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นช่วยอะไรข้าสักอย่างสิ พวกท่านออกไปตามหาคนมาให้ได้เยอะที่สุด บอกพวกเขาว่ารูปสลักเทวะทุกตัวอยู่ในมือของข้า หากผู้ใดอยากได้รูปสลักเทวะ ก็ให้มาหาข้าที่บ่อน้ำแห่งนี้”
“หรือถ้าอยากมาฆ่าข้าก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน”
ลู่ปิงเหวินและพรรคพวกมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปแล้ว
ขณะนี้ พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเจี๋ยนเซียวเหยากำลังคิดอะไรอยู่
เจี๋ยนเซียวเหยากลัวผู้อื่นไม่รู้หรือว่าตนเองมีรูปสลักเทวะอยู่ในการครอบครองจำนวนมาก จึงได้ใช้ให้ผู้คนออกไปป่าวประกาศเช่นนี้?
หรือว่าเจี๋ยนเซียวเหยาวางแผนเรียกรวมพลผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดให้มารวมตัวกันที่บ่อน้ำแห่งนี้เพื่อสังหารรวดเดียว ตนเองจะได้รับคะแนนสูงที่สุดแต่เพียงผู้เดียว?
นับเป็นแผนการที่ร้ายกาจอย่างยิ่ง
“ไม่ใช่อย่างที่พวกท่านคิด ข้าเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามจิตใจฝักใฝ่สันติภาพ ไม่เคยต้องการฆ่าคนมาก่อนในชีวิต… ลองนึกดูสิว่าหากข้าอยากจะสังหารพวกท่านให้หมดไป ข้าจะต้องมาเปลืองเวลาขนาดนี้เพื่ออะไรกัน”
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะพับ เงยหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา วางมาดอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า สลายความสงสัยในใจใครหลายคนลงไป
“รีบเอาข่าวนี้ไปป่าวประกาศได้แล้ว ข้าจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซือเกินตั๋ง ลู่ปิงเหวินและกวนรั่วเฟย พวกท่านจะได้รับรูปสลักเทวะเป็นของรางวัลคนละหนึ่งตัวโดยไม่มีค่าใช้จ่าย”
“รับทราบขอรับ”
“ข้าน้อยจะรีบไปป่าวประกาศเดี๋ยวนี้”
“น้อมรับคำสั่งคุณชายเจี๋ยน”
เมื่อได้ยินว่าสุดท้ายพวกของตนเองทั้งสามคนจะได้รับรูปสสลักเทวะคนละตัว ความเคลือบแคลงสงสัยในจิตใจของพวกเขาก็สลายหายไป ซือเกินตั๋ง ลู่ปิงเหวินและกวนรั่วเฟยรีบรับคำสั่งด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อพวกเขาหมุนตัวเดินออกมาจากแหล่งน้ำกลางทะเลทรายแห่งนั้น บุรุษหนุ่มทั้งสามคนก็อดถามตนเองไม่ได้ว่า…
เหตุไฉนพวกเขาถึงจะได้รับรูปสลักเทวะโดยไม่มีค่าใช้จ่าย?
ก็ในเมื่อพวกมันไม่สมควรมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?
…
กาลเวลาเดินไปข้างหน้า
เพียงพริบตาเดียว เหลืออีกสองชั่วยามก็จะหมดเวลาการแข่งขัน
ลู่ปิงเหวิน กวนรั่วเฟยและซือเกินตั๋งทั้งสามคนสามารถทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จด้วยดี
บัดนี้ ทั้งด้านนอกและด้านในป่าเขียวมีผู้เข้าแข่งขันมารวมตัวกันอยู่ถึงสามร้อยสิบห้าคน
แน่นอนว่ามีสี่สิบกว่าคนที่นอนทอดร่างเป็นซากศพอยู่บนพื้นดิน
“ไหนบอกว่า… ชีวิตนี้ไม่เคยอยากฆ่าผู้ใดไม่ใช่หรือไง?”
ริมฝีปากของลู่ปิงเหวินแห้งผากเป็นอย่างยิ่ง
สายตาของเขาจ้องมองไปยังบรรดาซากศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่ริมบ่อน้ำ ซากศพเหล่านั้นล้วนถูกตรวจค้นของมีค่าออกไปหมดสิ้นแล้ว
ซือเกินตั๋งกับกวนรั่วเฟยอดกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่นไม่ได้
พวกเขากำลังนึกถึงตอนที่ตนเองเดินกลับมายังบ่อน้ำกลางทะเลทรายแห่งนี้ และพบว่าเจี๋ยนเซียวเหยากำลังสังหารผู้คนที่ไม่เชื่อฟัง ‘กฎ’ และคิดจู่โจมแย่งชิงรูปสลักเทวะไปจากเขา ความโหดเหี้ยมของเด็กหนุ่มทำให้บุรุษทั้งสองคนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล และหัวใจก็เต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้
เด็กหนุ่มผู้ทำคะแนนได้สูงสุดในการแข่งขันรอบแรก มีตัวตนที่แท้จริงร้ายกาจไม่ต่างไปจากจอมมารจากขุมนรก และพร้อมที่จะบดขยี้ทุกคนที่ขวางหน้าได้ทุกเมื่อ
บัดนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าคิดแย่งชิงรูปสลักเทวะเหล่านั้นอีกต่อไป
ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งของเจี๋ยนเซียวเหยาเป็นอย่างดี
“ทุกท่านได้โปรดตั้งใจฟัง ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น…”
หลินเป่ยเฉินหยิบโทรโข่งออกมา กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำ เมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว เขาก็กล่าวต่อ “การประมูลรูปสลักเทวะประจำการแข่งขันรอบที่สองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ… เดี๋ยวข้าจะอธิบายกฎกติกาให้พวกท่านเข้าใจก่อนเป็นลำดับแรก…”