เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1272 ข้าน้อยจะตอบแทนบุญคุณของท่าน
ตอนที่ 1,272 ข้าน้อยจะตอบแทนบุญคุณของท่าน
การประมูลดำเนินไปอย่างราบรื่น
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเทพเจ้าเหล่านี้จะกล้าทุ่มหมดหน้าตัก
เขาประเมินเทพเจ้าเหล่านี้ต่ำมากเกินไป
แต่ผลที่ออกมาก็เป็นที่ยอมรับได้
ยิ่งไปกว่านั้น เทพเจ้ากลุ่มใหญ่กลุ่มนี้กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่มืดมน การประมูลรูปสลักเทวะเหล่านี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา ดังนั้นทุกคนจึงกล้าที่จะประมูลรูปสลักในราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ
ด้วยเหตุนี้ ต่อให้หลินเป่ยเฉินเพิ่มราคารูปสลักมากขึ้น มันก็จะไม่เป็นปัญหาต่อการประมูลแต่อย่างใด
การประมูลใกล้จบลงแล้ว
หลินเป่ยเฉินได้จำนวนเงินที่ตนเองพอใจ
เขาจะทำอย่างไรต่อไป?
เด็กหนุ่มพยายามบอกให้ตนเองใจเย็น ๆ
สุดท้าย หากไม่รวมรูปสลักที่มีความพิเศษแตกต่างจากตัวอื่น หลินเป่ยเฉินก็เหลือรูปสลักเทวะอยู่ในมือเพียงห้าตัวเท่านั้น
เขาเก็บเอาไว้สองตัวให้ตนเองกับเจ้าอ้วน ส่วนอีกสามตัวจะมอบให้แก่ ‘การกุศล’
หลายคนจ้องมองรูปสลักทั้งสามตัวนั้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
พวกมันคือความหวังสุดท้ายของผู้คนจำนวนมาก
“คุณชายเจี๋ยนขอรับ ข้าน้อยยินดีซื้อหาในราคาศิลาเทวะหนึ่งพันก้อน ได้โปรดมอบรูปสลักให้ข้าสักตัวเถอะ”
“ข้ายินดีจ่ายหนึ่งพันหนึ่งก้อนขอรับ ข้าไม่อยากเป็นผีเฝ้าทะเลทรายอยู่ที่นี่…”
“คุณชายเจี๋ยนขอรับ หากท่านขายรูปสลักให้ข้า ท่านจะทำอย่างไรกับข้าก็ได้ทั้งนั้น…” ชายฉกรรจ์ร่างล่ำบึกคนหนึ่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดออกไปทันที
พลั่ก!
ชายฉกรรจ์ร่างล่ำบึกผู้นั้นลอยกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า หายลับไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว
บรรดากลุ่มคนที่เหลืออยู่หาได้สนใจไม่ พวกเขายังคงจ้องมองรูปสลักทั้งสามตัวนั้นไม่วางตา
รูปสลักสามตัวนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขาจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเมินเฉยต่อสายตาเหล่านั้น
“เจ้า… ใช่ เจ้านั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งเงียบตั้งแต่ต้นจนจบของการประมูล “มานี่สิ”
เด็กหนุ่มผู้ถูกเลือกมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี สวมใส่ชุดเกราะหนังสัตว์หยาบกร้านและเก่าขาด เห็นได้ชัดว่านี่เป็นชุดเกราะทำมือคุณภาพต่ำ กระบี่บนแผ่นหลังของเขายังเป็นกระบี่ขึ้นสนิม แม้เด็กหนุ่มจะมีร่างกายสูงโปร่ง แต่เขาก็ผอมเกินกว่าที่ควรจะเป็น ผิวหนังดำเข้ม ดวงตาเป็นประกายด้วยความคึกคักแจ่มใส
เมื่อได้ยินคำเรียกหาของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความประหวั่นลนลานและเดินมาหยุดยืนอยู่ห่างจากหลินเป่ยเฉินหลายวา
“เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มใด?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
“ข้าน้อยเป็นตัวแทนจากเผ่าเทพเจ้าแมลงขอรับ”
เด็กหนุ่มผิวเข้มตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“กลุ่มตัวแทนจากเผ่าเทพเจ้าแมลงอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามออกมาอีกครั้ง “ตระกูลเทวะใดส่งเจ้าเข้าแข่งขัน?”
“ข้าน้อยเป็นพลเมืองขอรับ”
เด็กหนุ่มตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“เจ้าคิดจะโจมตีข้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อย
เขาสัมผัสได้ถึงรังสีสังหารที่พุ่งออกมาจากร่างกายฝ่ายตรงข้าม นี่แสดงให้เห็นว่าเด็กหนุ่มผิวเข้มโคจรพลังเตรียมพร้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ
เมื่อตนเองถูกเปิดโปง สีหน้าของเด็กหนุ่มผิวเข้มจึงแปรเปลี่ยน เขาผงะถอยหลังไปสามก้าวโดยไม่รู้ตัว
มือที่หยาบกร้านแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มผิวเข้มเลื่อนไปแตะอยู่ที่ด้ามจับกระบี่ขึ้นสนิมซึ่งสะพายอยู่บนแผ่นหลัง
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะไม่ชักกระบี่ออกมา”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “เพื่อนร่วมกลุ่มของเจ้าอยู่ที่ใด?”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เด็กสาวฝาแฝดคู่หนึ่งก็กระโดดออกมาจากชายป่าริมบ่อน้ำ ยืนหยัดเคียงข้างเด็กหนุ่มผิวเข้มด้วยความองอาจ
เด็กสาวฝาแฝดคู่นี้ยังคงมีใบหน้าเยาว์วัย องค์ประกอบบนใบหน้าจัดได้ว่างดงาม แม้ว่าจะเปื้อนคราบดินมอมแมมอยู่ก็ตาม พวกนางสวมใส่ชุดเกราะหนังสัตว์เก่าขาดเช่นกัน แต่ถึงกระนั้น สายตาอันเฉียบคมเกี่ยวกับเรื่องสตรีเพศของหลินเป่ยเฉินย่อมมองออกว่า เรือนร่างที่แท้จริงของพวกนางนั้นกลับมีความยอดเยี่ยมไม่น้อย
ฝาแฝดสาวคู่นี้มีอายุเพียงสิบห้าปี สะพายกระบี่อยู่บนแผ่นหลัง พลังปราณเทวะไม่ต่ำต้อย แต่ในแววตาเต็มไปด้วยความตื่นกลัว พวกนางจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินราวกับกำลังพบเห็นปีศาจที่ชั่วร้ายที่สุดในโลก
“พวกเจ้าเป็นพี่น้องกันหรือ?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ “อย่าบอกนะว่ากลุ่มของพวกเจ้ามีกันอยู่เพียงเท่านี้?”
เด็กหนุ่มผิวเข้มเชิดหน้าจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่ตอบคำใด
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
เขาโยนรูปสลักเทวะทั้งสามตัวที่เหลืออยู่นั้นลงไปกองอยู่แทบเท้าของเด็กหนุ่มผิวเข้ม “พวกมันเป็นของเจ้าแล้ว”
เด็กหนุ่มผิวเข้มยืนตัวแข็งทื่อ
เช่นเดียวกับฝาแฝดสาวทั้งสองคน
และบรรดากลุ่มคนที่ยืนรวมตัวกันอยู่โดยรอบ พวกเขาเบิกตาโตคล้ายกับกำลังพบเห็นเรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อที่สุดในโลก
บรรยากาศปกคลุมด้วยความเงียบ
ทันใดนั้น สายตาแห่งความอิจฉาริษยาจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนจ้องมองเด็กหนุ่มและฝาแฝดสาวสลับกับรูปสลักเทวะทั้งสามตัวตลอดเวลา
ผู้คนจำนวนมากลอบคิดคำนวณอยู่ในใจว่ามันจะคุ้มค่าหรือไม่หากตนเองลงมือสังหารผู้คนเพื่อแย่งชิงรูปสลักเทวะเหล่านั้นมาครอบครอง
หากจะทำให้สำเร็จ ตนเองก็ต้องมั่นใจในความแข็งแกร่ง
เมื่อเด็กหนุ่มผิวเข้มสลัดหลุดออกจากความตกตะลึง เขาก็ก้มหยิบรูปสลักทั้งสามตัวนั้นขึ้นมาจากพื้นดิน พร้อมกับใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบอย่างระมัดระวัง
ไม่มีอันตรายซ่อนเร้นอยู่ในรูปสลักเหล่านี้
พวกมันคือความหวังสุดท้ายที่จะทำให้น้องสาวทั้งสองคนของเขารอดชีวิต
ทันใดนั้น เสียงของบุรุษปีศาจผู้ควบคุมการประมูลก็ดังขึ้นว่า “หากมีใครคิดแย่งชิงรูปสลักไปจากพวกเขา ข้าจะเป็นคนตัดหัวพวกมันเอง”
เด็กหนุ่มผิวเข้มหยุดชะงักและหันมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
เด็กสาวฝาแฝดมีสีหน้าตกตะลึง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื้นตันใจ
ปีศาจน้อยผู้นี้กำลังปกป้องพวกเขาสามพี่น้องอยู่หรือ?
เพราะอะไร?
ทุกคนล้วนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินอย่างคาดไม่ถึง
ใช่แล้ว
พวกเขาก็อยากถามเช่นกันว่าเพราะอะไร?
เหตุไฉนพวกตนเองถึงต้องประมูลรูปสลักเทวะเหล่านี้มาในราคาที่แพงลิบลิ่ว แต่สามพี่น้องผู้ไร้ที่มาที่ไปกลับได้รับไปโดยไม่ต้องเหนื่อยแรง?
“ข้าน้อยไม่เข้าใจ…”
บุรุษหนุ่มในชุดเกราะหรูหรากระโดดออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว “เหตุไฉนเจ้าพวกโสโครกทั้งสามคนนี้จึงได้รับ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินก็เป็นประกายวาวโรจน์
วูบ
รังสีกระบี่สาดประกายในอากาศ
ศีรษะมนุษย์กลิ้งกระเด็นตกลงสู่พื้นดิน
หลินเป่ยเฉินสะบัดกระบี่เพลิงโลกันตร์ในมือแผ่วเบา
ติ๋ง!
โลหิตสาดกระเซ็นลงไปบนต้นหญ้า
ความจริง หลินเป่ยเฉินสามารถใช้พลังอัคคีเทวะของตนเองเผาไหม้ซากศพของบุรุษหนุ่มผู้นี้ให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าเพียงเท่านี้ตนเองก็เท่มากพอแล้ว
“ข้าว่าข้าก็พูดเข้าใจง่ายแล้วนะ เหตุไฉนถึงมีผู้คนไม่เข้าใจอีก?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ กวาดตามองกลุ่มคนรอบกายด้วยแววตาดุดัน
กลุ่มคนก้มศีรษะ ไม่มีผู้ใดกล้าสบตาหลินเป่ยเฉิน
เขามีความน่าเกรงขามมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าคำพูดที่จำมาจากนิยายออนไลน์จะสามารถเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ดีขนาดนี้
“ในโลกใบนี้ บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อเงินทอง บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อการแสวงหาอำนาจ บางคนมีชีวิตอยู่เพื่อตอบแทนบุญคุณบิดามารดา และบางคนมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานหนักแสวงหาความสุขสบายในบั้นปลายชีวิต”
หลินเป่ยเฉินรักษามาดเข้มขณะเก็บกระบี่เพลิงโลกันตร์กลับเข้าที่ “ก่อนหน้านี้ พวกท่านมีโอกาสในการร่วมประมูลกันแล้ว เหตุไฉนถึงไม่พยายามให้เต็มที่… บัดนี้ เหลือรูปสลักเทวะเพียงสามตัว ข้าอยากจะมอบมันให้แก่ผู้เข้าแข่งขันที่ด้อยโอกาส… ไม่ทราบว่าพวกท่านมีปัญหาหรือไม่?”
บรรยากาศปกคลุมด้วยความเงียบงันอีกครั้ง
ไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้าน
เพราะคนสุดท้ายที่ตั้งคำถามกับเจี๋ยนเซียวเหยา บัดนี้ ได้นอนทอดร่างเป็นศพหัวขาดอยู่บนพื้นดินแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก
ชีวิตบนดินแดนทวยเทพเป็นชีวิตที่ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร
แต่การแข่งขันคัดเลือกเทพเจ้าหน้าใหม่ในครั้งนี้ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนถูกบีบบังคับให้ต่อสู้กัน เพื่อสุดท้ายจะได้มีแต่ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นที่เหลือรอดกลับออกไป
และเนื่องจากหลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องหาเงิน วิธีการดำเนินงานของเขาจึงอาจจะใจร้ายต่อผู้เข้าแข่งขันคนอื่นมากเกินไป อย่างเช่น สามพี่น้องผู้ยากไร้ที่พยายามทำงานหนักค้นหารูปสลักเทวะทั่วทะเลทรายทองคำ ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกว่านี่เป็นความรับผิดชอบของเขาที่จะต้องช่วยเหลือสามพี่น้องกลุ่มนี้ให้รอดพ้นจากความตาย
อันที่จริง หลินเป่ยเฉินจับตาดูสามพี่น้องกลุ่มนี้มานานแล้ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวทั้งสามคนนี้คอยช่วยเหลือกันและกันอย่างสุดความสามารถ แม้สถานการณ์จะน่าหมดหวังเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดยอมแพ้
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นฐานของเด็กหนุ่มผิวเข้มกับสองฝาแฝดสาวก็ไม่เลวร้าย ระดับพลังของพวกเขาไม่ต่ำต้อย จึงไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้ที่นี่
“ข้าน้อยจะต้องตอบแทนบุญคุณของท่านอย่างแน่นอน”
เด็กหนุ่มผิวเข้มกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือไม่พูดอะไร
“เอาล่ะ เรามาเริ่มส่วนที่สองกันเลยดีกว่า…”
เขาจ้องมองไปที่กลุ่มคนเบื้องหน้าและกล่าวว่า “พวกท่านอยากเพิ่มคะแนนส่วนตัวหรือไม่? เหตุไฉนถึงไม่ลองดูเล่า บางทีในท้ายที่สุด พวกท่านอาจจะมีคะแนนมากพอจนไม่ต้องอาศัยรูปสลักเทวะในการกลับออกไปจากที่นี่ก็ได้”
คะแนนส่วนตัว?
นอกจากประมูลรูปสลักเทวะแล้ว คะแนนส่วนตัวยังสามารถนำมาซื้อขายได้อีกหรือ?
เป็นไปไม่ได้
บังเกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นอึงอลในกลุ่มคน
นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่มีกลุ่มคนประมาณสี่สิบชีวิตเดินเข้ามาใกล้บ่อน้ำกลางทะเลทราย
“พวกท่านยังหารูปสลักเทวะไม่เจอใช่หรือไม่ ฮ่า ๆๆ ไม่ต้องเป็นกังวลไป ข้ารู้ว่ารูปสลักเหล่านั้นอยู่ที่ใด… ข้าสามารถนำทางพวกท่านไปหามันได้…”
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนที่กำลังเดินใกล้เข้ามา
เป็นเสียงที่หลินเป่ยเฉินคุ้นหูอย่างยิ่ง
เพราะนั่นคือเสียงของอวิ๋นอู่เหิน