เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1285 เทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง
ตอนที่ 1,285 เทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง
นักเวทชราย่อมไม่กล้าโกหกต่อหน้าใต้เท้าของตนเอง
ก่อนหน้านี้ ฉินโซวได้สั่งให้ลูกสมุนสำรวจรอบบริเวณคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝูและได้ข้อสรุปออกมาว่าฆาตกรเป็นคนจากเผ่าเทพตะวันเช่นกัน
แต่บัดนี้ ความปลอดภัยของอันอันคือสิ่งสำคัญสูงสุด
“ไม่ทราบว่าท่านจะส่งตัวอันอันกับเฉียนเซวียนคืนกลับมาให้ข้าน้อยได้หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถาม
นักเวทชราตอบ “ยังไม่ได้”
“เพราะเหตุใด?”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเขม็ง
นักเวทชราพูดว่า “เพราะเด็กหญิงทั้งสองนางนั้นยังมีประโยชน์ต่อใต้เท้าของข้า”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “ประโยชน์อันใด?”
“เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะรับทราบเรื่องนี้” นักเวทชราตอบ
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่ยอมแพ้ “ไม่ ข้าอยากจะรู้ว่า…”
เขาหันกลับไปมองหน้าใต้เท้ากั้วพลางกล่าวเสียงเข้ม “ข้าอยากจะพาตัวพวกนางกลับมาได้หรือไม่?”
ดวงตากลมโตที่ลอยอยู่สูงราวกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์คู่นั้นของใต้เท้ากั้วจ้องมองลงมาที่หลินเป่ยเฉิน ผ่านไปอึดใจใหญ่ เทพเจ้าร่างยักษ์ก็กล่าวตอบ “เจ้าคงเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กหญิงทั้งสองสินะ? ข้ารับปากได้เลยว่าพวกนางจะไม่ตาย”
“แค่ไม่ตายเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินกล่าวสวนกลับไปทันควัน “อันอันป่วยเป็นโรคบุปผามรณะ จำเป็นต้องได้รับการรักษา และพวกท่านไม่มีทางรักษานางได้”
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
นักเวทชราตวาดเสียงเข้ม
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ให้ความสนใจที่นักเวทชราอีกแล้ว เขาเพียงเงยหน้ามองจ้องตอบกลับไปที่ใต้เท้ากั้ว
“จริงอยู่ที่เราไม่มีทางรักษาโรคบุปผามรณะ แต่เรายังมีหนทางบรรเทาอาการ อย่างน้อยนางมาอยู่กับเราก็ดีกว่าอยู่กับพวกเจ้า ข้าขอรับปากว่าเมื่อเรื่องราวทุกอย่างจบลง เด็กหญิงทั้งสองคนจะถูกส่งตัวกลับคืนสู่อ้อมอกพวกเจ้าอย่างปลอดภัยดังเดิม…”
ใต้เท้ากั้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วฉงน
เขาทราบดีว่าบัดนี้เป็นไปไม่ได้แล้วที่จะพาอันอันตัวกลับคืนมา
อันอันกับฉินเฉียนเซวียนเป็นเพียงเด็กหญิงผู้เคราะห์ร้ายสองคน พวกนางจะมีประโยชน์อะไรกับเทพเจ้าร่างยักษ์ผู้นี้?
หลังจากสูดหายใจลึกอยู่หลายเที่ยว หลินเป่ยเฉินก็กัดฟันกล่าวออกมาว่า “ข้าน้อยต้องการพบอันอัน”
“เจ้าอยากตายหรือ?”
นักเวทชราคำรามเสียงแข็งใส่หลินเป่ยเฉิน “เจ้าเป็นเพียงเทพเจ้าผู้ต่ำต้อย กล้าดีอย่างไรถึงได้มาเจรจาต่อรองต่อใต้เท้าของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า…”
“ไม่มีปัญหา”
เสียงของใต้เท้ากั้วดังกังวานทั่ววิหารปานฟ้าผ่า
สีหน้าของนักเวทชราแปรเปลี่ยนไป เขาก้มหน้างุด ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
“เจ้ายังมีข้อเรียกร้องอันใดอีกหรือไม่ ได้โปรดกล่าวออกมา”
เทพเจ้าร่างยักษ์สอบถาม
หลินเป่ยเฉินนึกทบทวนเล็กน้อย ก่อนส่ายศีรษะ “ไม่มีแล้วขอรับ”
ถึงมีเขาก็ไม่กล้าพูด
เพราะใต้เท้ากั้วมีความน่ากลัวมากเกินไป
หลินเป่ยเฉินไม่สงสัยเลยว่าหากใต้เท้ากั้วมีเจตนาฆ่าเขา เขาก็คงหนีความตายไม่พ้นแล้ว
“ประเสริฐ”
เสียงพูดของใต้เท้ากั้วขาดคำ บนหน้าผากกลางหว่างคิ้วพลันปรากฏลำแสงสีแดงพุ่งออกมา
หลินเป่ยเฉินไม่ทันได้ตั้งตัว ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่กลางหน้าผากของตนเอง
ปรากฏว่าลำแสงสีแดงนั้นพุ่งเข้ามาที่กลางหน้าผากของเขา
“นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของข้า นับจากลมหายใจนี้เป็นต้นไป เจ้าคือสาวกของข้า ข้าจะให้เจ้าหยิบยืมพลังของข้า นอกจากนี้ ข้าจะมอบตำแหน่งเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างให้กับเจ้า แม้ว่าเดิมทีเจ้าของตำแหน่งนี้จะถือเป็นเทพเจ้าตัวเล็ก ๆ แต่ก็มีความแตกต่างจากเทพเจ้าระดับสามัญทั่วไป อีกไม่นาน เจ้าจะได้รู้ซึ้งถึงข้อดีของตำแหน่งเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างอย่างแน่นอน”
เสียงของใต้เท้ากั้วดังก้องกังวานไปทั่ววิหาร
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อนที่มวลพลังเหล่านั้นจะค่อย ๆ จางหายไปไม่สามารถสัมผัสได้อีก
นี่หรือคือการแต่งตั้งตำแหน่งเทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง เขาไม่เห็นจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
แต่ทันใดนั้น อาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นจากการโจมตีของคนจากเผ่าเทพตะวันก็สลายหายไปในพริบตา
เชี่ย!
หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกได้ว่าตนเองแข็งแกร่งมากขึ้น
เห็นทีเขาต้องรีบทำให้ตนเองแข็งแกร่งมากกว่านี้โดยเร็วที่สุด
เพราะว่าเขารู้สึกตะขิดตะขวงใจชอบกลที่ต้องรับ ‘การฉีดพลัง’ จากผู้อื่น
“ขอบคุณใต้เท้ากั้วมากขอรับ”
เมื่อตนเองได้ประโยชน์ หลินเป่ยเฉินก็คารวะต่อเทพเจ้าร่างยักษ์ด้วยความอ่อนน้อม
เพื่อผลประโยชน์ เด็กหนุ่มทำได้ทุกอย่างเสมอ
การยอมก้มหัวของเขาในวันนี้ ก็เพื่อความปลอดภัยของอันอันกับเฉียนเซวียน
สักวันหนึ่ง หลินเป่ยเฉินต้องเอาคืนอย่างแน่นอน
“เจ้ายังต้องการสิ่งใดอีกหรือไม่?”
ใต้เท้ากั้วกล่าวถามอีกครั้ง
หืม?
ยังจะขออะไรได้อีกหรือ?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ พูดอ้อมแอ้มว่า “กราบเรียนใต้เท้า กระบี่ของข้าน้อยถูกพานตั่วชิงทำลาย…”
กล่าวยังไม่ทันจบ
ลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็เลยค่อย ๆ พุ่งลงมาจากกลางอากาศและลอยตัวอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
สิ่งที่อยู่ในลำแสงสีแดงนั้นคือถุงมือทองคำข้างหนึ่ง
ถุงมือทองคำข้างนี้น่าจะทำมาจากทองคำแท้บริสุทธิ์ เพราะมันส่องแสงเป็นประกายวิบวับ เป็นถุงมือที่สวมใส่ได้ทั้งห้านิ้วและครอบคลุมทั่วฝ่ามือและหลังมือ… มองแวบแรก หลินเป่ยเฉินนึกถึงถุงมือทานอสในภาพยนตร์เรื่อง The Avengers ขึ้นมาทันที เพียงแต่ว่าถุงมือทองคำข้างนี้ไม่ได้ประดับอัญมณีหลากสีเอาไว้
“ก่อนที่เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างจะตาย ชุดเกราะของเขาแตกกระจาย อาวุธคู่กายเหลือเพียงถุงมือข้างนี้ข้างเดียวเท่านั้น”
เสียงของใต้เท้ากั้วดังกังวานทั่ววิหารอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าสืบทอดตำแหน่งของเขา ถุงมือนี้ก็ควรเป็นของเจ้าแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือหยิบถุงมือมาสำรวจดู
แม้จะมีหน้าตาเป็นถุงมือธรรมดา แต่น้ำหนักไม่ธรรมดาเลย
ถุงมือข้างนี้น่าจะหนักไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัม
พื้นผิวให้สัมผัสเย็นเฉียบ
“ถุงมือนี้มีความพิเศษอย่างไรขอรับ?”
เด็กหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“ในวันที่เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างรุ่งเรือง เพียงเขาใส่ถุงมือข้างนี้ต่อยออกไปหมัดเดียว ก็สามารถระเบิดได้ทั้งแผ่นดินแล้ว”นักบวชชรากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วเจ้าก็กลับไปได้”
ใต้เท้ากั้วกล่าวช้า ๆ
ในวิหารคล้ายกับเกิดเสียงพายุลมฝนตีกันปั่นป่วน
“ข้าน้อยยังมีเรื่องรบกวนอีกขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาเสียงดัง “กราบเรียนใต้เท้ากั้ว บัดนี้ข้าน้อยเป็นบริวารของท่านแล้ว เรื่องที่คนของเผ่าเทพตะวันพยายามโจมตีข้าน้อย…”
“เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” เสียงของเทพเจ้าร่างยักษ์ดังกังวานสะท้านสะเทือนรูหู
หลินเป่ยเฉินรู้สึกมีแสงสว่างเจิดจ้าส่องมาที่ดวงตาของเขา
หลังจากนั้น รู้ตัวอีกที เขากับนักเวทชราก็มายืนอยู่ที่หน้าวิหารแล้ว
นักเวทชราจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ ไม่ต่างจากกำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
“ท่าน…”
หลินเป่ยเฉินรีบยกมือขึ้นปิดหน้าอกทั้งสองข้างของตนเองโดยไม่รู้ตัว “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ข้าไม่เคยเห็นใต้เท้าอดทนต่อผู้ใดมากเท่ากับอดทนต่อเจ้ามาก่อน”
นักเวทชรากล่าวด้วยสีหน้าสับสน “นับว่าเจ้าเป็นข้อยกเว้นจริง ๆ”
“ข้าวาสนาดีเช่นนี้อยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าวเสมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ “ข้ารู้อยู่แล้วว่าใต้เท้ากั้วต้องเมตตาข้าเป็นพิเศษ”
นักเวทชราพ่นลมออกมาผ่านทางจมูกอย่างเย็นชา
“นี่ บัดนี้ข้าเป็นพวกเดียวกับท่านแล้ว ทำกับข้าดี ๆ หน่อยสิ”
หลินเป่ยเฉินว่า “ข้าอยากกลับไปที่หอการค้าคนแคระเทวะและพาตัวชิงเล่ยมาพบเจอกับอันอัน ต้องรบกวนท่านจัดการให้แล้ว”
ความรำคาญใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าของนักเวทชรา แต่เมื่อขบคิดดูอีกที นักเวทชราก็ต้องระงับโทสะของตนเองกล่าวว่า “คนที่เจ้าอยากไปรับตัวอยู่ที่ใด?”
“หุบผาอเวจี สถานีขนส่งแดนสี่” หลินเป่ยเฉินกล่าว
ลมหายใจต่อมา
ใต้เท้าของทั้งสองคนปรากฏเขตอาคมวงกลมขึ้นมาอีกครั้ง
นักเวทชรายกมือโบกสะบัดเล็กน้อย ประตูมิติขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นในอากาศ
ทั้งสองคนก้าวเท้าเข้าไปในประตูมิตินั้น
แสงสว่างสาดรัศมีหมุนวน
เมื่อภาพตรงหน้าเริ่มสงบนิ่ง พวกเขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่สถานีขนส่งแดนสี่เรียบร้อย
“อื้อหือ… รวดเร็วเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง มองหน้านักเวทชราด้วยความเหลือเชื่อ “คิดไม่ถึงเลยนะว่าท่านจะเร็วขนาดนี้”
เขาประเมินพลังของชายชราคนนี้ต่ำเกินไปจริง ๆ
มิน่าเล่าถึงเป็นข้ารับใช้คนสนิทของใต้เท้ากั้ว
เพียงสะบัดมือก็สามารถไปปรากฏตัวทุกแห่งหนในดินแดนทวยเทพได้แล้ว
นี่คงเป็นพลังของนักเวทระดับสูงสินะ?
รักเลย รักเลย
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งไปที่หอการค้าคนแคระเทวะ
หลังจากนั้นไม่นาน
เขาก็พาชิงเล่ยกลับมาหานักเวทชรา
ชิงเล่ยทราบเรื่องราวของอันอันจากปากคำหลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว นางจึงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นักเวทชราผู้นี้คือผู้ที่ช่วยชีวิตบุตรสาวของนางเอาไว้
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมากเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยรีบประสานมือคำนับขอบคุณเมื่อเห็นหน้าชายชรา
นักเวทจ้องมองหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป
ดวงตาที่เคยดำขลับราวกับท้องฟ้าที่มืดมิด ขณะนี้กลับเป็นประกายระยิบระยับไม่ต่างจากมีดวงดาวนับพันกำลังฉายแสงอยู่ในนั้น
สีหน้าของนักเวทชราเต็มไปด้วยความประหลาดใจและตกตะลึงวูบหนึ่ง
“ไปกันเถอะ”
เขาหมุนตัว ก่อนเปิดเขตอาคมขึ้นมาอีกครั้ง