เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1305 ทดสอบความแข็งแกร่ง
ตอนที่ 1,305 ทดสอบความแข็งแกร่ง
“ท่านนักบวชล้อเล่นแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งหัวเราะขบขัน
แต่นักบวชสาวเซียงเหยียนกลับไม่ปฏิเสธ แววตาของนางยิ่งเป็นประกายระยิบระยับมากขึ้น
ราวกับว่านางต้องการของรางวัลจากงานเลี้ยงคืนนี้จริง ๆ
“พี่ใบ้ต้องการหรือเจ้าคะ?”
ฮันลั่วเซวี่ยถามพร้อมกับมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินถึงกับชะงักเล็กน้อย
คำคำนี้ไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวควรพูดออกมาเลย
แต่ยังไม่ทันที่หลินเป่ยเฉินจะได้ตอบคำใด เสียงของใต้เท้าหมิงรั่วก็ดังกังวานทั่วงานเลี้ยงอีกครั้ง “หลังจากนี้ ข้าจะประกาศวิธีเอาชนะเพื่อรับรางวัล แต่ก่อนอื่น เรามาสนุกกับงานเลี้ยงใหญ่ประจำค่ำคืนนี้กันก่อนดีกว่า”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ทันใดนั้น แสงสว่างจากบัลลังก์ของใต้เท้าหมิงรั่วก็ดับวูบลง
ตัวคนกลืนหายไปกับความมืด
แม้แต่คลื่นพลังกดดันระดับต่ำที่แผ่ออกมาจากร่างกายของใต้เท้าหมิงรั่วก็หายวับไปด้วยเช่นกัน
งานเลี้ยงส่วนที่สองเริ่มต้นขึ้น
ขณะนี้เป็นขั้นตอนของการเจรจา
บรรดาคนรับใช้สาวสวยทำให้งานรื่นเริงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
สิ่งสำคัญหลังจากนี้ก็คือขั้นตอนการเจรจาระหว่างผู้คนจากสภาเทพเจ้ากับบรรดาผู้เข้าแข่งขันที่สร้างผลงานได้อย่างโดดเด่นสะดุดตาในรอบที่ผ่าน ๆ มา
ยิ่งสร้างผลงานได้โดดเด่นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีผู้คนจากสภาเทพเจ้าสนใจมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินย่อมเป็นหนึ่งในนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
และเนื้อหาการสนทนาระหว่างเขากับคนจากสภาเทพเจ้าเหล่านั้นก็ไม่มีสิ่งใดซับซ้อน…
“ท่านสามารถให้ข้าได้เท่าไหร่?”
“หา แค่นี้เองหรือ? น้อยไปหรือไม่?”
“ถ้าขอสักพันล้านไม่ได้ ขอสักร้อยล้านก็ยังดี?”
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นนะขอรับ ข้าพูดจริง… นี่ เดี๋ยวก่อนสิ อย่าเพิ่งไป”
หลังจากนั้น ก็ไม่มีผู้ใดสนใจหลินเป่ยเฉินอีกเลย
เด็กหนุ่มได้แต่นั่งงง
ทำไมถึงไม่มีใครเชื่อเลยนะว่าเขาต้องการขายตนเองเพื่อเข้ารับตำแหน่งจริง ๆ
ผู้คนจากสภาเทพเจ้าเดินผ่านหลินเป่ยเฉินโดยไม่เหลือบตามองอีกแล้ว
บรรดาคนที่เข้ามาพูดคุยสอบถามหลินเป่ยเฉินก่อนหน้านี้ ต่างก็รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกเจี๋ยนเซียวเหยาเหยียดหยามอย่างซึ่งหน้า เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มีความสนใจที่จะเข้าร่วมสภาเทพเจ้าแม้แต่น้อย เขาเพียงต้องการทำให้คนของสภากลายเป็นตัวตลกเท่านั้น
ผิดกับสองสาวสวยที่นั่งอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
มีผู้คนเข้ามาทักทายนักบวชสาวเซียงเหยียนไม่น้อย
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังเพราะว่านางเป็นนักบวชจากวิหารเทพพงไพร
ไม่สามารถรับตำแหน่งเทพเจ้าในสภาได้จากโอกาสพิเศษนี้
อีกอย่าง เผ่าเทพพงไพรเป็นผู้ที่กุมอำนาจหลักของดินแดนทวยเทพ แล้วยังจะมีผู้ใดกล้าไปตอแยกับนักบวชสาวเซียงเหยียนอีกหรือ?
เมื่อเริ่มรับทราบเช่นนั้น ผู้ที่เข้ามาทักทายนักบวชสาวเซียงเหยียนก็บางตาลง
สวนทางกับฮันลั่วเซวี่ยที่มีผู้คนรุมล้อมตลอดเวลา
พวกเขาเป็นตัวแทนจากเทพเจ้าทุกตระกูล หลายคนเสนอตำแหน่งเทพเจ้าระดับสามัญในสภาให้แก่ฮันลั่วเซวี่ยโดยที่นางไม่ต้องเหนื่อยแรงแข่งขันอีก
ทว่า ฮันลั่วเซวี่ยเป็นตัวแทนคนโปรดของใต้เท้าเหลียน
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ใต้เท้าเหลียนคือหนึ่งในผู้มีอำนาจใหญ่โตแห่งสภาเทพเจ้า
ปกติย่อมไม่มีผู้ใดกล้ายุ่งเกี่ยว
แต่บัดนี้ ฮันลั่วเซวี่ยกลับมีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้นักบวชสาวเซียงเหยียนแล้ว
ตามประเพณีของงานเลี้ยงเบิกฟ้า ผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตให้แก่ตนเอง
นักเวทหลายคนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฮันลั่วเซวี่ยมาเข้าร่วมกับเผ่าเทพเจ้าของตน
และถึงแม้จะถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตถึงเพียงนี้ ฮันลั่วเซวี่ยกลับยังคงตอบรับทุกคนได้อย่างอ่อนหวานยิ่ง
บนใบหน้าของนางมักจะประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ไม่ต่างไปจากตอนที่ต้อนรับลูกค้าในโรงเตี๊ยมถิงเซวี่ย แม้นางจะปฏิเสธ แต่ฮันลั่วเซวี่ยก็ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าตนเองได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงและสามารถเดินกลับออกไปจากโต๊ะอาหารด้วยความพึงพอใจ
หลินเป่ยเฉินจ้องมองฮันลั่วเซวี่ยด้วยความอิจฉาริษยา
เขาสมควรเป็นผู้ที่เนื้อหอมที่สุดแท้ ๆ
เทพเจ้าเหล่านี้ไม่มีวิสัยทัศน์เอาเสียเลย
เด็กหนุ่มแอบบ่นอยู่ในใจขณะกวาดสายตามองรอบตัว
เขาเห็นเจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์กำลังรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะใหญ่ภายในห้องโถงอย่างมูมมาม และไม่ว่าเดินผ่านโต๊ะไหนที่มีอาหารเหลืออยู่ อาหารบนโต๊ะนั้นก็จะถูกพวกเขาเก็บกวาดลงกล่องอาหารจนหมดเกลี้ยง
หลินเป่ยเฉินยกมือปิดหน้าตนเอง
น่าอายชะมัด
เด็กหนุ่มนึกถึงตอนที่ตนเองยังอยู่บนโลกมนุษย์ใบเก่าขึ้นมาทันที หากจำไม่ผิด เขาได้มีโอกาสไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวิวาห์ของใครสักคน จนได้เห็นมนุษย์ป้าผู้หนึ่งเตรียมกล่องใส่อาหารมาจากบ้าน และมนุษย์ป้าผู้นั้นก็โกยอาหารในงานเลี้ยงใส่กล่องบรรจุอาหารกลับบ้านไปได้ถุงใหญ่ทีเดียว…
คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อทะลุมิติมาอยู่ในอีกโลกหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องมาพบเจอเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันอยู่ดี
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เพราะรู้ว่าตนเองคงทำอะไรไม่ได้แล้ว
สายเกินไปที่จะเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตาอย่างเลื่อนลอยไปทั่วห้องโถงใหญ่
เขาเห็นผู้คนที่แปลกประหลาดจำนวนมาก
อย่างเช่น บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่สวมใส่เสื้อคลุมตัวยาว ตลอดเวลาโอบกอดถ่อไม้ไผ่ที่มีขนาดความสูงมากกว่าตนเองสองเท่าราวกับเป็นคนรักที่แยกจากกันไม่ได้ และสายตาของเขาก็กำลังสอดส่องไปยังอาหารที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ ลักษณะท่าทางไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าอ้วนสักเท่าไหร่
นอกจากนั้น ยังมีเด็กสาวท่าทางอ่อนแอผู้หนึ่ง นางมีผมสีเหลืองทอง ใบหน้าเย็นชาหยิ่งยโสนั้นชวนให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงอดีตเพื่อนร่วมสถานศึกษาอย่างมี่หรู่หยานขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
และก็ยังมีชายฉกรรจ์ที่คล้ายกับลิงกอริลล่า บนใบหน้าปกปิดด้วยหน้ากากหินแตกร้าว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะหินตัวหนึ่งกำลังรับประทานเนื้อย่างและเครื่องดื่มอย่างมูมมาม มือและเท้าถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน และปลายสายโซ่ที่อยู่บนตัวเขานั้นก็ลากยาวไปอยู่ในมือของชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งที่นั่งอยู่ห่างออกไปราวสองวา ไม่ต่างจากเจ้าของสุนัขมานั่งเฝ้าสุนัขกินอาหารอย่างไรอย่างนั้น
และสุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ได้พบเห็นซวีเหิง
ข้างกายของชายหนุ่มยังคงมีศิษย์พี่อีกสามคนนั่งอยู่ด้วย
เมื่อสบสายตากับหลินเป่ยเฉิน สีหน้าของซวีเหิงก็แปรเปลี่ยนไป มือขวาของเขาลูบคลำบริเวณชายโครงขึ้นมาทันที
เมื่อศิษย์พี่ที่นั่งอยู่ติดกันเห็นเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นและเตรียมเดินตรงมาหาหลินเป่ยเฉิน
แต่ซวีเหิงได้คว้าแขนห้ามเอาไว้ ก่อนจะส่ายศีรษะ และพูดอะไรบางอย่าง…
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเอง
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่างานเลี้ยงเบิกฟ้าในคืนนี้น่าเบื่อเกินไปสำหรับเขา
เด็กหนุ่มจึงนำโทรศัพท์มือถือออกมากดเล่น
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยังคงไม่ตอบข้อความของเขาในแอปวีแชต ไม่ทราบเลยว่าป่านนี้ไปตายอยู่ที่ใด
เมื่อถึงเวลาสำคัญทีไร ยายเทพีฝึกหัดคนนี้ก็ไม่เคยพึ่งพาได้เลยสักที
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างก่อนจะส่งข้อความไปอีกครั้ง มันเป็นข้อความที่บอกเล่าเรื่องราวการพบปะของเขากับใต้เท้ากั้ว การได้รับถุงมือเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ รวมไปถึงบอกเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในรอบสองวันนี้ และสุดท้าย เขาก็ปิดประโยคด้วยคำถามที่ว่า
‘ตอนแรกข้าก็อยากจะปฏิเสธใต้เท้ากั้วนะ แต่เขาให้ผลประโยชน์กับข้าเยอะเกินไป… นี่คงไม่ทำให้เทพีกระบี่โกรธแค้นข้าหรอกกระมัง?’
หลังจากนั้น เขาก็เก็บโทรศัพท์
เป็นจังหวะเดียวกับที่คลื่นพลังกดดันเริ่มกลับมาปรากฏในห้องโถงใหญ่อีกครั้ง
แสงสว่างเริ่มกลับมาเรืองรองจากบัลลังก์ใหญ่บนขั้นบันไดศิลา
และใต้เท้าหมิงรั่วก็นั่งถือถ้วยสุราขนาดใหญ่อยู่ในมือ เขาคลึงถ้วยสุราเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวว่า “เอาล่ะ ส่วนสำคัญที่สุดของงานเลี้ยงประจำคืนนี้ได้มาถึงแล้ว ใครกันนะคือผู้ที่จะได้ครอบครองหมวกเหล็กอมตะกับคัมภีร์ไพรีดาราราย? ฮ่า ๆๆ ทุกคนคงอยากรู้กันแล้วล่ะสิ… ได้เวลาประกาศกติกาการแข่งขันเพื่อแย่งชิงของวิเศษทั้งสองชิ้นนั้นแล้ว…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ใต้เท้าหมิงรั่วก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “พวกเราจะมาทดสอบความแข็งแกร่งกัน”