เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1306 ตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง
ตอนที่ 1,306 ตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง
ขาดคำ
ใต้เท้าหมิงรั่วก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าช้า ๆ
รัศมีสีแดงหมุนวนในอากาศ และแล้ว วัตถุรูปทรงกระบอกสีแดงเข้มขนาดใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าขั้นบันได
ตึง!
วัตถุรูปทรงกระบอกนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นหิน ดูเหมือนมันจะมีน้ำหนักหลายพันชั่ง จึงทำให้ทั้งวิหารสั่นสะเทือนได้เช่นนี้
วัตถุรูปทรงกระบอกนี้มีความสูงเท่ากับตึกสองชั้นและมีขนาดความกว้างเท่ากับห้องโดยสารในรถยนต์หนึ่งคัน
รอบ ๆ วัตถุทรงกระบอกมีหมอกหนาสีแดงคล้ายโลหิตลอยละล่อง
ถ้าพิจารณาดูให้ดี ก็จะพบว่าทั้งสี่ด้านของวัตถุทรงกระบอกได้แกะสลักมาตรวัดบางอย่างเอาไว้ ลักษณะของมาตรวัดนั้นคล้ายกับเส้นขีดวัดระยะบนไม้บรรทัด
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วมองด้วยความสนใจ
มาตรวัดบนวัตถุทรงกระบอกมีตัวเลขตั้งแต่ศูนย์ไปจนถึงหนึ่งร้อย
หรือว่านี่จะเป็นอุปกรณ์สำหรับทดสอบความแข็งแกร่ง?
คะแนนสำหรับการทดสอบความแข็งแกร่งมีตั้งแต่ศูนย์ไปจนถึงหนึ่งร้อยใช่หรือไม่?
ในห้องโถงใหญ่ บรรดาแขกผู้ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานล้วนสีหน้าแปรเปลี่ยนไป ความเงียบปกคลุมในบรรยากาศทันที
“นี่คือสิ่งที่เรียกว่าหอคอยผู้พิชิต เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่องานเลี้ยงประจำค่ำคืนนี้โดยเฉพาะ ผู้ใดก็ตามที่เข้าสู่หอคอยผู้พิชิตและวัดระดับพลังได้แข็งแกร่งที่สุดก็จะได้รับของรางวัลทั้งสองชิ้นนั้นไป”
ดวงตาของใต้เท้าหมิงรั่วกวาดมองผู้คนในงานเลี้ยงและกล่าวต่อ “หอคอยผู้พิชิตมีการลงค่ายอาคมเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปแทรกแซงได้ เพราะฉะนั้น ผลการวัดความแข็งแกร่งที่ออกมาจึงถือว่ามีความยุติธรรมที่สุดแล้ว”
กล่าวจบ ใต้เท้าหมิงรั่วก็ยกมือดีดนิ้วเบา ๆ
ป๊อก!
หอคอยผู้พิชิตเกิดการสั่นไหวเล็กน้อย
แล้วมาตรวัดบนตัวหอคอยก็ปรากฏแสงสว่างเรืองรอง
ในเวลาเดียวกันนี้ หอคอยผู้พิชิตก็คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาในทันตา มันยื่นสายระยางทางซ้ายมือไปคว้าจับหมวกเหล็กอมตะเอาไว้ และสายระยางทางขวามือก็ยื่นจับคัมภีร์ไพรีดารายกขึ้นสูงในอากาศเช่นกัน
หลังจากนั้น หอคอยผู้พิชิต หมวกเหล็กอมตะ และคัมภีร์ไพรีดาราราย ก็กลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยสมบูรณ์
ดวงตาของทุกคนจับจ้องมองไปที่หอคอยผู้พิชิต
ปรากฏว่านี่เป็นวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่องานเลี้ยงค่ำคืนนี้โดยเฉพาะ
ก็น่าจะรับประกันความยุติธรรมได้ในระดับหนึ่ง
อีกอย่าง เมื่อมีการลงค่ายอาคมเอาไว้อย่างรัดกุม ต่อให้เป็นเทพเจ้าระดับสูง ก็ไม่มีทางใช้พลังของตนเองบิดเบือนผลการตรวจสอบได้เด็ดขาด
ใต้เท้าหมิงรั่วนั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ ดวงตากวาดมองกลุ่มคนด้วยความสนใจ
ถ้วยสุราถืออยู่ในมือซ้าย มุมปากปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยขณะกล่าวว่า “หอคอยผู้พิชิตจะตรวจจับความแข็งแกร่งในร่างกายของพวกท่านเพื่อดูว่ามีความเหมาะสมต่อหมวกเหล็กอมตะและคัมภีร์ไพรีดารารายมากเพียงใด สุดท้าย ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดก็จะได้รับของรางวัลทั้งสองสิ่งนั้นไปครอบครอง แต่ข้าต้องขอเตือนไว้ก่อนว่าผู้ที่เข้ารับการวัดพลังนั้นจงปล่อยตัวตามสบาย ห้ามโคจรพลังเพิ่มเติมเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้ว ท่านอาจจะได้รับบาดเจ็บจนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้… เอาล่ะ ข้าพูดจบแล้ว ผู้ใดอยากจะออกมาเข้ารับการวัดพลังเป็นคนแรกบ้าง?”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในห้องโถงใหญ่เกิดอาการลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าเอง”
ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ในชุดเกราะหนังสัตว์พลันเดินออกมาข้างหน้า
“นี่คือตัวแทนนักรบจากเผ่าเทพภูผานามว่าหม่านจิว มีพลังปราณธาตุหิน จุดเด่นคือการป้องกันตัวและมีพลังโต้กลับที่รุนแรง ชำนาญการใช้วิชากระบี่ระเบิดภูผา ตอนที่ประลองบนสะพานหินข้ามหุบเหวโหยหวนนั้น หม่านจิวสามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่เป็นนักรบเทวะขั้นแปดได้ในสามกระบวนท่า เพราะฉะนั้น เราจะมองข้ามคนผู้นี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด”
นักบวชสาวเซียงเหยียนส่งเสียงกระซิบ
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกระซิบตอบกลับไป “ถึงอย่างไรของรางวัลก็ต้องเป็นของข้าอยู่ดี”
“ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นการวัดความแข็งแกร่ง แต่มันก็ไม่ใช่การวัดความแข็งแกร่งจริง ๆ หรอก พวกเราไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร”
นักบวชสาวเซียงเหยียนกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
และภายใต้การจ้องมองของทุกคน มนุษย์ร่างใหญ่นามหม่านจิวก็เดินเข้าไปในวัตถุทรงกระบอกนั้น
“นับว่ามีจิตใจกล้าหาญเป็นอย่างยิ่ง”
ใต้เท้าหมิงรั่วพยักหน้าด้วยความพอใจ “เรามาเริ่มกันเลยเถอะ”
ทันใดนั้น หอคอยผู้พิชิตก็มีลำแสงสีแดงปกคลุมตลอดทั้งด้านบนด้านล่าง และลำแสงสีแดงนั้นก็ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของหม่านจิวที่ยืนอยู่ด้านใน
หอคอยผู้พิชิตเกิดการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ทุกคนจ้องมองมาตรวัดพลังด้วยความตื่นเต้น
หม่านจิวจะมีความแข็งแกร่งเท่าไหร่กันนะ?
แต่อย่างไรก็ตาม มาตรวัดพลังกลับไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
เพียงสามลมหายใจต่อมา เหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น
วูบ!
ลำแสงสีแดงที่ครอบคลุมร่างกายของหม่านจิวสลายหายไป ก่อนที่ตัวคนจะเดินเซออกมาจากหอคอยผู้พิชิตและล้มลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
หม่านจิวผู้ที่มีร่างกายใหญ่โตกำยำไร้เทียมทานบัดนี้มีโลหิตไหลทะลักออกปากและจมูก ตามแขนขาปรากฏบาดแผลฉกรรจ์หลายตำแหน่ง หลังจากล้มลุกอยู่หลายรอบ หม่านจิวก็สามารถยันกายลุกขึ้นยืนได้สำเร็จ เขาหันกลับไปจ้องมองหอคอยผู้พิชิตด้วยแววตาแห่งความสยดสยอง คล้ายกับว่าเพิ่งหลุดออกมาจากฝันร้ายอย่างไรอย่างนั้น
ได้รับบาดเจ็บ
หม่านจิวได้รับบาดเจ็บแล้วจริงๆ
“ความแข็งแกร่ง… เป็นศูนย์”
เสียงของใต้เท้าหมิงรั่วดังก้องกังวานไปทั่วคฤหาสน์
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึง
ตอนแรกพวกเขาเข้าใจว่าต่อให้วัดออกมาได้คะแนนต่ำต้อยอย่างไรก็สมควรได้อย่างน้อยยี่สิบถึงสามสิบคะแนน
เพราะมาตรวัดพลังมีคะแนนสูงสุดอยู่ที่หนึ่งร้อยคะแนน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหม่านจิวผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับได้ศูนย์คะแนน
หม่านจิวผู้มีเลือดท่วมตัวจ้องมองหอคอยผู้พิชิต กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกระริก ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
สีหน้าของเขาบอกชัดถึงความไม่พอใจ ไม่อยากเชื่อ ไม่ยอมรับ…
นี่ถือเป็นความอัปยศต่อเผ่าเทพภูผาอย่างใหญ่หลวง
ในที่สุด ชายร่างใหญ่ก็ได้แต่ก้มศีรษะลงอย่างช้า ๆ
นี่คือเครื่องมือที่เทพเจ้าระดับสูงในสภาเทพเจ้าสร้างขึ้นมาเองกับมือ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่มีความผิดพลาดแน่นอน
ก่อนเดินเข้าสู่หอคอยผู้พิชิต หม่านจิวมีความมั่นใจเปี่ยมล้น
แต่เมื่อกลับออกมา เขาก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว
เพราะหม่านจิวได้ศูนย์คะแนน จึงไม่มีใครจะได้คะแนนต่ำมากไปกว่าเขาอีก
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงเงียบสงัดและเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ
“ข้าขอลองดูบ้าง”
เสียงที่มุ่งมั่นดังขึ้น
ปรากฏว่าเป็นมือกระบี่ชุดขาวซวีเหิง
บุรุษหนุ่มผู้นี้เพิ่งจะสร้างชื่อเสียงขึ้นมาในดินแดนทวยเทพได้ไม่นาน แต่ผลงานในรอบที่ผ่าน ๆ มาในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ก็ช่วยขจัดข้อกังขาในความสามารถได้หมดสิ้น ซวีเหิงคือผู้ที่ได้รับความสนใจจากเทพเจ้าระดับสูงหลายคน และว่ากันว่าในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่ครั้งนี้ ซวีเหิงสมควรมีชื่อติดอันดับหนึ่งในสามแล้ว
“ประเสริฐ ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยเถอะ”
ใต้เท้าหมิงรั่วกล่าวเสียงเรียบ
ลำแสงสีแดงถูกยิงออกมาจากหอคอยผู้พิชิตและกระชากซวีเหิงเข้าไปสู่ด้านใน
และสิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็คือหอคอยผู้พิชิตเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
สั่นสะเทือนแรงมากกว่าตอนที่หม่านจิวเข้าไปก่อนหน้านี้
หลังจากนั้น หอคอยผู้พิชิตก็ปกคลุมด้วยแสงสีแดงเจิดจ้าไม่ต่างจากหอคอยที่กำลังไหม้ไฟ
คะแนนความแข็งแกร่งคือศูนย์
ทุกคนหัวใจกระตุกวูบ
แต่ลมหายใจต่อมา มาตรวัดความแข็งแกร่งก็เกิดความเคลื่อนไหว
หนึ่งกระบี่สู่ความตายซวีเหิงจะทำคะแนนได้เท่าไหร่?
ผู้คนในงานเลี้ยงต่างก็รอคอยผลลัพธ์ด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึก
สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังมาตรวัดพลัง
แต่สุดท้ายสิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
มาตรวัดพลังขึ้นไปเพียงสี่ขีดเท่านั้น ก็ร่วงกลับลงมาอยู่ที่ขีดเดียว
และในเวลาเดียวกันนี้…
วูบ!
ร่างไร้ชีวิตก็กระเด็นออกมาจากหอคอยผู้พิชิตกระแทกพื้นอย่างแรง
ในมือของร่างนั้นถือกระบี่เล่มหนึ่ง
โลหิตไหลทะลักเนืองนองเต็มพื้นหิน
ผู้คนตกตะลึง
ตายแล้ว… ตายแล้วหรือ?
นี่คือศพของซวีเหิงจริง ๆ หรือ?
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?”
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งวิ่งแหวกกลุ่มคนมาคุกเข่าอยู่ข้างศพคนตาย มือที่สั่นเทาของเขาพลิกร่างศพนั้นให้หงายขึ้นมา แล้วน้ำตาก็ไหลนองเต็มใบหน้าทันที “ตายแล้ว… ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าถึง… เจ้าตายได้อย่างไร? นี่มันอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น?”
ชายฉกรรจ์หันหน้ามาแผดเสียงคำรามใส่ใต้เท้าหมิงรั่วผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูงเหนือขั้นบันไดหิน
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้ คือคนที่มีท่าทีว่าจะเดินมาหาเขาก่อนหน้านี้ แต่ก็ถูกซวีเหิงดึงแขนห้ามเอาไว้
ห้องโถงใหญ่ตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงัด
แม้แต่หลินเป่ยเฉินเองก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามือกระบี่หนุ่มดาวรุ่งผู้ถูกจับตามองในการแข่งขันค้นหาเทพเจ้าหน้าใหม่จะต้องมาถึงแก่ความตายอย่างง่ายดายถึงเพียงนี้