เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1326 ทุกคนมีสิทธิ์พูดได้อย่างเสรี
ตอนที่ 1,326 ทุกคนมีสิทธิ์พูดได้อย่างเสรี
“นี่เป็นการต่อสู้ที่น่าสนใจมากจริง ๆ”
เมื่อเห็นคู่ต่อสู้ของจุ่ยถููปรากฏตัว เฉียนหลงก็ถึงกับอุทานออกมา
บนสะพานหินโบราณที่ทอดข้ามหุบเหวโหยหวน ผู้ที่กำลังเดินออกมาจากฝั่งตรงข้ามกับจุ่ยถููคือชายฉกรรจ์ร่างยักษ์สูงกว่าเก้าเซียะผู้มีผิวสีทองคำ บนศีรษะไม่มีเส้นผม เหนือดวงตาไม่มีขนคิ้ว ร่างกายมีแต่กล้ามเนื้อปูดโปน ไม่ต่างจากตอไม้อายุหลายพันปี…
“นี่คือตัวแทนจากเผ่าเทพภูผานามว่าหนูหลาน เหล่าเทพภูผาคือหนึ่งในเผ่าเจ็ดเทพสงคราม นายท่านพอนึกออกใช่ไหมขอรับว่าพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน? ว่ากันว่าหนูหลานผู้นี้ถนัดจัดเจนเรื่องการต่อสู้ เขามีความน่าเกรงขามในชนิดที่สามารถแหวกฟ้าผ่าพิภพได้ด้วยสองมือและสองเท้า และการแข่งขันรอบที่ผ่านมา เขาก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างราบคาบ…”
เฉียนหลงบอกเล่ารายละเอียด
หลินเป่ยเฉินจ้องมองม่านพลังถ่ายทอดสด
ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงเบิกฟ้า เขารู้สึกได้ว่าคนบาปจุ่ยถููมีความคุ้นเคยบางประการกับตนเอง แต่หลินเป่ยเฉินก็นึกไม่ออกว่าความรู้สึกนี้คืออะไรกันแน่
มันเหมือนกับว่าเขาและจุ่ยถููเคยรู้จักกันมาก่อน
แต่ที่สำคัญก็คือจุ่ยถููสามารถวัดพลังจากหอคอยผู้พิชิตได้ถึงหกสิบห้าคะแนน หลินเป่ยเฉินจึงคิดว่าคนบาปผู้นี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างกระมัง?
ดังนั้น ครั้งนี้หลินเป่ยเฉินจึงอยากจะพิจารณารูปแบบการต่อสู้ของจุ่ยถููให้ละเอียดมากกว่าเดิม
บนสะพานหินโบราณ
การต่อสู้เปิดฉากขึ้น
จุ่ยถููยกสองแขนขนาดใหญ่ยักษ์ใช้กำปั้นทุบลงไปบนหน้าอกของตนเอง
คลื่นพลังที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายไปรอบบริเวณ
อีกด้านหนึ่ง หนูหลานก็กำลังรวบรวมพลังอยู่เช่นกัน
ร่างของเขาเรืองรองด้วยแสงสีทอง อักขระโบราณปรากฏขึ้นตามมัดกล้ามเนื้อบนผิวกาย และร่างกายของเขาก็ขยายขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น หนูหลานก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่สูงมากกว่าเดิมถึงสามเท่า
เสื้อผ้าฉีกกระชากขาดออกจากกัน
ตลอดทั้งร่างกายเหลือเพียงกางเกงหนังสีแดงตัวใหญ่เท่านั้น
กล้ามเนื้อปูดโปนไม่ต่างไปจากสัตว์ประหลาด
“ได้ข่าวว่าแขนของเจ้ามีความแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถขุดแร่ได้ด้วยมือเปล่า และความสามารถนี้ก็ทำให้ท่านเทพแห่งเหมืองแร่พึงพอใจในตัวเจ้ายิ่งนัก”
หนูหลานค่อย ๆ เดินเข้าหาจุ่ยถููอย่างแช่มช้า
ด้วยร่างกายอันใหญ่ยักษ์ ทุกครั้งที่ก้าวเท้าออกมาข้างหน้า ทางด้านหลังก็จะปรากฏรอยเท้าสีทองคำขนาดใหญ่ฝังลึกลงบนพื้นสะพานหิน
ต่อให้เป็นการรับชมผ่านม่านพลังถ่ายทอดสด แต่ฉากนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้สีหน้าของทุกคนแปรเปลี่ยนไป ร่างทองคำของหนูหลานแผ่พลังกดดันคุกคาม ชวนให้ผู้คนรู้สึกเวียนหัวตาลายคล้ายกับจะหายใจไม่ออก
จุ่ยถููไม่พูดคำใด
เขาเพียงกำมือเป็นหมัดและต่อยหมัดออกมาข้างหน้า
เปรี้ยง!
มวลอากาศระเบิดตัวเสียงดังปานฟ้าคำราม
กำปั้นทมิฬพุ่งแหวกอากาศราวกับพญามังกรผู้โกรธแค้น
หนูหลานไม่ทันได้ตั้งตัว
พลั่ก!
กำปั้นกระแทกเข้าใส่หน้าอกของเขาเข้าอย่างจัง เกิดเป็นเสียงดังกังวานไม่ต่างจากมีผู้คนตีระฆังทองเหลือง
“พลังหมัดเพียงเท่านี้ยังต่ำต้อยเกินไป”
หนูหลานยกมือโบกสะบัดปัดป้อง
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! ผึ่ง!
เหล่าพืชไม้ที่ขึ้นอยู่ตามสะพานหินแตกหักด้วยพลังของหนูหลานและพวกมันก็กลายเป็นเศษไม้แหลมคมพุ่งเข้าไปหาจุ่ยถูู
จุ่ยถููยกสองมือขึ้นทุบหน้าอกตนเองอีกครั้ง
ครืน!
คลื่นพลังถูกปลดปล่อยออกมา
บรรดาเศษไม้อันแหลมคมที่พุ่งเข้ามานั้นพลันแตกสลายหายไปในพริบตา
“ตายซะเถอะ!”
หนูหลานดีดตัวสูงขึ้นไปในอากาศพร้อมกับหมุนวนฝ่ามือ
คิดโจมตีลงมาจากด้านบน
จุ่ยถููยังคงยืนอยู่ที่เดิม แต่เสยหมัดต่อยกลับขึ้นไปจากด้านล่าง
ทั้งต่อยทั้งเตะ
ครืน!
สะพานหินโบราณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ศูนย์กลางของคลื่นแรงสั่นสะเทือนนั้นมาจากจุดที่คู่ต่อสู้ทั้งสองกำลังปะทะฝีมือกัน พืชไม้เถาวัลย์ที่ขึ้นอยู่บนสะพานแตกสลายกระจัดกระจายไปทุกทิศทุกทาง…
จุ่ยถููยังคงยืนหยัดอยู่ที่เดิม
ในขณะที่หนูหลานต้องลอยกระเด็นกลับออกไป และเมื่อทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนพื้นสะพานหิน เขาก็ต้องเซถอยหลังไปถึงหกก้าวกว่าจะตั้งหลักได้อย่างมั่นคง
และทุกก้าวที่เซถอยหลังไปนั้นเกิดเป็นรอยเท้าจมลึกถึงระดับข้อเท้า
“เจ้าควรภูมิใจที่สู้กับข้าได้ถึงเพียงนี้”
หนูหลานระเบิดลำแสงทองคำออกจากร่างกายอีกครั้ง อักขระโบราณตามร่างกายเริ่มไหลเวียนไม่หยุดนิ่ง…
จุ่ยถููยังคงเงียบงัน แต่สองหมัดสาวกำปั้นต่อยออกมารัว ๆ เกิดเป็นเงาหมัดทมิฬปกคลุมในอากาศ
หนูหลานระเบิดเสียงหัวเราะและเผชิญหน้ากับเงาหมัดทมิฬเหล่านั้น
นี่คือการต่อสู้ที่ดุเดือดของจริง
หลายคนรับชมด้วยความตื่นเต้นหายใจหายคอแทบไม่ทัน
ณ สวนหย่อมด้านหน้าคฤหาสน์บนภูเขาเซียวฝู
เฉียนหลงกล่าวว่า “เผ่าเทพภูผามักจะฝึกให้คนของตนเองเปลี่ยนร่างเป็นอาวุธขอรับ หนูหลานผู้นี้ใช้กล้ามเนื้อของตนเองเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งต่อสู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่านั้น ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับเรียกขานเขาเป็นหนูหลานผู้ไร้เทียมทาน”
มู่หลินเซินกับลู่ปิงเหวินรู้สึกประทับใจไม่น้อย
พวกเขาเคยได้ยินเรื่องการฝึกปรือพลังพิสดารของเผ่าเทพภูผามาแล้ว
ในดินแดนทวยเทพ ทุกคนทราบดีว่าเผ่าเทพภูผาเป็นผู้ที่มีจิตใจมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว จึงไม่มีผู้ใดอยากจะมีเรื่องกับคนจากเผ่านี้
เพราะบรรดาผู้ที่เป็นสาวกเผ่าเทพภูผามักจะมีกล้ามเนื้อมากกว่าสมอง พวกเขาถนัดการใช้กำลังมากกว่าใช้ความคิด เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้ง ก็มักจะใช้วิธีแก้ปัญหาด้วยความรุนแรงเสมอ
“โชคดีนะที่พวกเรารู้ตัวก่อน จึงได้ถอนตัวออกมาจากการแข่งขันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่งั้นมีหวังคงได้ถูกอสุรกายอย่างเจ้าหมอนี่ฆ่าตายแน่”
กวนรั่วเฟยชื่นชมความฉลาดเฉลียวของตนเอง
มู่หลินเซินกวาดสายตามองรอบตัวและสบโอกาสส่งเสียงพูดขึ้นมาบ้าง “แต่คงไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งมากกว่านายท่านของพวกเราอีกแล้ว เฮอะ พวกเจ้าไม่เคยได้ยินวีรกรรมของนายท่านในงานเลี้ยงเบิกฟ้าหรืออย่างไร? ทันทีที่มีผู้เข้าแข่งขันได้รับทราบถึงความแข็งแกร่งของนายท่าน พวกเขาก็ถอนตัวออกไปจากการแข่งขันรอบที่สี่กว่าหนึ่งร้อยคน ทำให้ในขณะนี้มีผู้เข้าแข่งขันเหลืออยู่เพียงสี่สิบคนเท่านั้น”
“ข้าเองก็ได้รับทราบข่าวนั้นมาเช่นกัน หลายคนไม่อยากจะพบเจอกับนายท่านของเรา เพราะว่านายท่านของเราคือผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
“นายท่านของเราคือผู้ไร้เทียมทาน”
“ทุกคนต่างก็หวาดกลัวนายท่านกันหมดเลยขอรับ”
“ใช่แล้วขอรับ ข้าน้อยก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ซือเกินตั๋งเป็นผู้กล่าวประโยคปิดท้ายได้อย่างสวยงาม
ลู่ปิงเหวินถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ในการต่อสู้รอบนี้ เจ้าว่าระหว่างจุ่ยถููกับหนูหลาน ใครจะเป็นผู้ชนะ?”
เฉียนหลงตอบกลับไปด้วยความมั่นใจ “ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นหนูหลานอยู่แล้ว เหล่าเทพภูผามีความแข็งแกร่งมากเกินไป นอกจากมีฝีมือการต่อสู้น่ากลัว ร่างกายยังแข็งแกร่งมีความทนทานมากกว่าผู้คนปกติอีกด้วย”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ลู่ปิงเหวินพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูกต้อง ถูกต้อง ข้าเองก็คิดไม่ต่างจากพวกเจ้า…” ซือเกินตั๋งแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา
“แต่ข้าคิดว่าจุ่ยถููจะเป็นผู้ชนะ”
หลินเป่ยเฉินพลันส่งเสียงแทรกขึ้น
ซือเกินตั๋งรีบต่อเติมคำพูดของตนเองทันที “…แต่ถึงอย่างนั้น ข้าก็เห็นด้วยกับนายท่านมากกว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ จุ่ยถููต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน”
ลู่ปิงเหวินกะพริบตาปริบ ๆ “ข้าลองมาคิดทบทวนดูแล้ว จุ่ยถููผู้นี้มีที่มาที่ไปเป็นปริศนา บางทีอาจจะมีไพ่เด็ดซ่อนอยู่ในมือก็เป็นได้ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าว่าเขานี่แหละที่จะเป็นผู้ชนะ”
กวนรั่วเฟยกับมู่หลินเซินพูดออกมาอย่างไร้ยางอายว่า “ข้าเองก็เชื่อมั่นในตัวของจุ่ยถููเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินไม่ทราบว่าตนเองสมควรหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน
“พวกเจ้านี่มันขี้ประจบเกินไปแล้ว ข้าก็แค่แสดงความคิดเห็นของตนเองเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องสนใจหรอก เหตุไฉนถึงต้องพูดจาประจบเอาใจข้าด้วย? เราเป็นพี่น้องกันนะ ทุกคนมีสิทธิ์พูดได้อย่างเสรีและสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเท่าเทียมกันเสมอ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นใจ
มู่หลินเซิน กวนรั่วเฟยและคนอื่น ๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก พวกเขาทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่แล้วหลินเป่ยเฉินกลับหันหน้าไปตบศีรษะเฉียนหลงเสียงดังสนั่น ก่อนกล่าวว่า “ส่วนเจ้าน่ะตาบอดหรือไง คิดอะไรอยู่ถึงบอกว่าหนูหลานจะเป็นผู้ชนะ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งใด ก็อย่าได้พูดออกมาเลย พวกเราเปลี่ยนไปรับชมการแข่งขันที่หอสุราเหมียวเหมียวหง่าวดีกว่า บัดนี้ เสี่ยวชิงต้องมาวุ่นวายทำอาหารเลี้ยงดูพวกเจ้า ข้าทนไม่ไหวแล้ว…”
เฉียนหลงยกมือกุมศีรษะด้วยความอับอาย
มู่หลินเซิน กวนรั่วเฟย ลู่ปิงเหวินและซือเกินตั๋งหันมองหน้ากันด้วยความมึนงง ก่อนจะรีบกล้ำกลืนสิ่งที่ตนเองกำลังจะพูดออกมากลับลงสู่ลำคอ เพราะไม่ต้องการที่จะแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรีอีกแล้ว
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงขณะนี้ การต่อสู้บนสะพานหินข้ามหุบเหวโหยหวนก็ปรากฏผลแพ้ชนะในที่สุด
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืน จ้องมองไปที่ม่านพลังถ่ายทอดสด ร่างกายสั่นเทา สีหน้าตกตะลึง