เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1333 ต้นสายปลายเหตุ
ตอนที่ 1,333 ต้นสายปลายเหตุ
“พวกเราถูกจับตัวมา”
ฉู่เหินกล่าว “หลังจากที่พวกเราส่งองค์ชายเจ็ดถึงมหานครเรียบร้อย เราก็ไปตามหาของฝากที่ขึ้นชื่อประจำมหานคร แน่นอนว่าเราไปฝังตัวอยู่ตามหอนางโลมชื่อดังจำนวนมาก… เพื่อที่ภายหลังเจ้ามาที่มหานคร พวกข้าจะได้รู้ว่าควรจะพาเจ้าไปเที่ยวที่ใดบ้าง นั่นเป็นการสำรวจข้อมูลเพื่อเจ้าโดยแท้…”
“หืม…”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วหน้ายุ่ง “พวกท่านไปเที่ยวกันเองก็ยอมรับมาเถอะ ไม่ได้ทำเพื่อข้าสักหน่อย”
ฉู่เหินเสแสร้งแกล้งทำเหมือนไม่ได้ยินและกล่าวต่อไป
“หลังจากนั้น เราก็เดินทางออกจากมหานครและมุ่งหน้ากลับสู่เมืองเจาฮุย…”
“ช่วงแรกการเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น”
“แต่วันหนึ่ง เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงเมืองหลิวตง ซึ่งอยู่ห่างจากมหานครสองพันลี้ เป็นช่วงเย็นมากแล้ว พวกเราจึงเข้าพักที่โรงเตี๊ยมข้างทาง และไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นในคืนนั้นเอง…”
“กลางดึกสงัด ปรากฏมือยักษ์สีแดงข้างหนึ่งพุ่งลงมาจากท้องฟ้าโดยปราศจากสัญญาณเตือน มือยักษ์ข้างนั้นจับตัวชาวเมืองหลิวตงไปกว่าแปดแสนคน ทั้งหมดต่างก็ถูกโอบอุ้มอยู่ในมือเพียงข้างเดียว…”
“ข้าไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต…”
“มือยักษ์สีแดงข้างนั้น เพียงนิ้วมือเดียวก็มีขนาดใหญ่โตมโหฬารเท่ากับเทือกเขาขนาดใหญ่ แทบจะใหญ่โตกว่าพื้นที่ในเมืองหลิวตงทั้งหมดแล้ว…”
ฉู่เหินพูดมาถึงตรงนี้ ภาพเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญก็ผุดย้อนขึ้นมาในสมองอีกครั้ง แม้มันจะเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว แต่เสียงของเขายังบอกชัดถึงความตกตะลึงไม่เสื่อมคลาย
หลินเป่ยเฉินจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของอาจารย์ฉู่และเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้
นี่มันฉากในตำนานไซอิ๋วไม่ใช่หรือไง?
แต่ชัดเจนว่าปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เทพเจ้าทั่วไปอย่างหลินเป่ยเฉินจะสามารถกระทำได้
แม้แต่เทพเจ้าระดับสูงอย่างใต้เท้าหมิงรั่วก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างน้อยก็ต้องเป็นเทพเจ้าชนชั้น…
ระดับเจ้าชีวิต?
ระดับใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า?
หรือว่าในสภาเทพเจ้าจะยังมีเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายแฝงตัวอยู่?
“แล้วหลังจากนั้นล่ะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามต่อไป
“หลังจากนั้น…”
ฉู่เหินถอนหายใจออกมา “พวกเราและชาวเมืองหลิวตงกว่าแปดแสนคนก็ถูกนำตัวออกมาจากจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเราถูกนำตัวมาอยู่ในสถานที่อันแปลกประหลาด มีเวรยามในชุดเกราะสีดำเฝ้าคุมตัว พวกเขาทำกับพวกเราเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงปศุสัตว์ ทุกวันจะมีชาวบ้านหนึ่งหมื่นคนถูกนำตัวออกไปโดยไม่รู้ว่าจะไปที่ใด แต่คงไม่ใช่สถานที่ๆ ดีแน่นอน เพราะบุคคลที่ถูกนำตัวไปเหล่านั้นไม่เคยกลับมาอีกเลย…”
เล่ามาถึงตรงนี้ สีหน้าของฉู่เหินก็แสดงออกถึงความเกลียดชังโดยไม่รู้ตัว “ไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่หรือสตรีมีครรภ์ ทุกคนต่างก็ถูกกระทำไม่ต่างจากหมูในเล้าสกปรก…”
“บ่อยครั้งที่พวกเราพยายามต่อต้านขัดขืน แต่มันก็ไร้ประโยชน์ ความแข็งแกร่งระหว่างพวกเรากับพวกมันแตกต่างกันมากเกินไป ผู้คนจำนวนนับพันต้องเสียชีวิต ซากศพถูกนำไปใช้เป็นวัตถุดิบทางการเกษตร…”
“หลังจากนั้น พวกเราก็ใช้ชีวิตอย่างหมดหวัง ไม่ต่างจากซากศพเดินได้…”
“กลุ่มของพวกเราทั้งสิบคนนั้นมีหกคนถูกแยกตัวไป ไม่ทราบชะตากรรมจนถึงวันนี้”
“จนกระทั่งเจ็ดสิบวันต่อมา ชาวเมืองหลิวตงเหลืออยู่เพียงสามหมื่นคน พวกมันก็หยุดพาตัวพวกเราออกไป…”
“คนแก่และเด็กรวมถึงตัวข้าและเหล่าไต้ ซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้รอดชีวิตถูกขับไล่มาอยู่ในเหมืองใต้ดินแห่งนี้ พวกเราต่างก็ต้องเข้าไปทำงานในพื้นที่ที่อันตรายที่สุด เว้นแต่คนแก่ สตรีมีครรภ์และเด็กน้อยเท่านั้นที่ถูกแยกตัวออกไป แต่ชะตากรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร ข้าเองก็ไม่ทราบ…”
ฉู่เหินกล่าว
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนี้ก็อดตกตะลึงไม่ได้
“เดี๋ยวก่อนนะขอรับ อาจารย์ฉู่หมายความว่าอาจารย์ถูกมือยักษ์ข้างนั้น จับตัวมาอยู่ที่ดินแดนทวยเทพแห่งนี้หรือ?”
เด็กหนุ่มเบิกตาโต
“ใช่แล้ว พวกเราถูกจับตัวมาที่นี่ด้วยมือยักษ์ข้างนั้น”
ฉู่เหินกัดฟันกรอดและกล่าวต่อ “หากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าของมือยักษ์ข้างนั้นก็น่าจะเป็นเทพเจ้าระดับสูงในดินแดนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน… เพราะมีแต่เทพเจ้าระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถกระทำกับมนุษย์ได้อย่างโหดร้ายเช่นนี้… ข้าเคยสาบานกับตนเองไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งจะต้องสังหารเทพเจ้าผู้นั้นให้ได้”
ในสมองของหลินเป่ยเฉินเกิดความคิดวุ่นวายนับไม่ถ้วน
สมองของเขาไม่ต่างจากเครื่องพ่นฟองน้ำ ทุกครั้งที่คิดว่าน่าจะได้คำตอบที่ต้องการ ฟองน้ำเหล่านั้นกลับระเบิดแตก ‘โผละ’ ไปเสียก่อน
ทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของเทพเจ้า!
เทพเจ้าระดับสูงในสภา…
ต้องเป็นเทพเจ้าที่มีจิตใจชั่วร้ายขนาดไหนกันนะ?
“ข้าน้อยว่ามันแปลก ๆ นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “หลังจากพวกท่านหายตัวไป ข้าก็พยายามตามหาทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่พบเบาะแสของพวกท่านแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเมืองหลิวตงข้าก็ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ถึงมันจะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่การหายตัวไปของชาวเมืองกว่าแปดแสนชีวิตย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ถึงอย่างไร ทางราชสำนักก็น่าจะรู้เรื่องนี้บ้างไม่มากก็น้อย…”
“เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา”
ฉู่เหินตอบ “แต่คิดดูง่าย ๆ ก็รู้ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ทางราชสำนักจะไม่ทราบเรื่องนี้…. ฟังจากที่เจ้าพูดมา ดูเหมือนพวกเขาตั้งใจที่จะลืมเลือนเมืองหลิวตงเสียแล้ว”
ตั้งใจที่จะลืมเลือน?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
แต่เขาก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้อีก หลังจากเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เด็กหนุ่มก็กล่าวต่อ “หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นขอรับ? แล้วผู้คนที่ต้องมาทำงานขุดเหมืองกับอาจารย์หายไปไหนกันหมด?”
ฉู่เหินชำเลืองมองไปที่ไต้จือฉุนและกล่าวอย่างแช่มช้า
“พวกเขาตายกันหมดแล้ว ชายฉกรรจ์ผู้มีร่างกายแข็งแรงกำยำนับหมื่นคนถูกไล่ต้อนเข้าไปยังส่วนลึกซึ่งเป็นจุดที่อันตรายที่สุดของเหมืองใต้ดิน และพวกเขาก็ถูกไฟบาดาลเผาไหม้ตายทั้งเป็น หรือใครที่สามารถรอดชีวิตจากไฟบาดาลมาได้ ก็ต้องถูกสัตว์อสูรใต้พิภพจับกินอยู่ดี บางคนพลัดตกลงไปในหุบเหวร่องลึก และบางคนก็ถูกหน่วยผู้คุมกฎทุบตีจนตาย…”
“เหล่าไต้กับข้าเช่นเดียวกับมือกระบี่คนอื่นๆ พยายามช่วยเหลือกันและกันอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ไร้ประโยชน์… บัดนี้ ผู้คนจากเมืองหลิวตงหลายหมื่นชีวิต หลงเหลือเพียงข้ากับเหล่าไต้เท่านั้น”
“พูดถึงเรื่องนี้ ก็ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยสร้างแขนเทียมให้ข้า หากไม่มีแขนเทียมคู่นี้ ข้ากับเหล่าไต้ก็คงตายไปนานแล้ว”
ฉู่เหินยกแขนให้ดู
แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือมีความเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด
มันมีความหนาและใหญ่มากขึ้น
ทรงพลังมากขึ้น
ตรงส่วนที่เป็นเนื้อโลหะก็มีผิวหนังปกคลุมขึ้นมา
“ไม่นานหลังจากที่ข้ามาถึงดินแดนทวยเทพ ข้าก็ค้นพบความเปลี่ยนแปลงของแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ หลังจากนั้น แขนกลคู่นี้ก็มีพลังมากขึ้น และปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง เมื่อข้าต้องเข้ามาทำงานในเหมืองใต้ดิน ข้าก็ค้นพบว่าแขนกลคู่นี้สามารถดูดซับพลังจากแร่หินรอบกายได้โดยที่ข้าไม่ต้องทำอะไรเลย และนั่นก็ทำให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง ข้ากับเหล่าไต้จึงสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้…”
ฉู่เหินกล่าว
หลินเป่ยเฉินพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วเช่นกัน
เพราะองครักษ์ของเขาอย่างกงกง ซึ่งติดตั้งแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือก็เกิดความเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับอาจารย์ฉู่
และความเปลี่ยนแปลงของกงกงก็เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่ตอนอยู่ที่จักรวรรดิเป่ยไห่แล้วด้วยซ้ำ
ก่อนหน้านี้ การมีตัวตนอยู่ของกงกงเริ่มลบเลือนไปจากจิตใจของผู้คนรอบตัว หลายคนถึงกับลืมไปแล้วว่าตนเองเคยรู้จักกงกงมาก่อน
ภายหลังหลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ว่านี่เป็นผลจากการฝึกวิชาลับ
และบัดนี้ กงกงก็สามารถแฝงตัวอยู่ในเงาของเขา แม้แต่ผู้คนบนดินแดนทวยเทพก็ไม่สามารถตรวจจับได้
มีเพียงตอนหลินเป่ยเฉินเดินทางมายังดินแดนทวยเทพเท่านั้น ที่แอปแท็กซี่ตี๋น้อยสามารถตรวจพบการมีอยู่ของกงกง
ทว่า ความเปลี่ยนแปลงในแขนกลของกงกง แตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงในแขนกลของอาจารย์ฉู่
หรือว่าแต่ละคนจะมีผลลัพธ์ความเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน?
ขึ้นอยู่กับสถานะ สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตและเป้าหมายในจิตใจผู้เป็นเจ้าของแขนกลใช่หรือไม่?
น่ามหัศจรรย์จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดด้วยความสงสัย
และเขาก็เริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่า แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือเหล่านี้ อาจจะเป็นวัตถุสิ่งของบนดินแดนทวยเทพก็เป็นได้
มิเช่นนั้น แขนกลที่ถูกสร้างบนโลกมนุษย์เหล่านี้คงไม่เกิดวิวัฒนาการอย่างก้าวกระโดดเมื่อขึ้นมาอยู่บนดินแดนทวยเทพเช่นนี้หรอก
แต่ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงไม่เคยเห็นเทพเจ้าคนไหนใช้แขนเทียมพวกนี้เลยล่ะ?
กงกงกับอาจารย์ฉู่มีพลังในการต่อสู้แข็งแกร่งมากขึ้นก็เพราะแขนกลคู่นี้
หากสามารถสร้างกองทัพที่มีนายทหารใช้แขนกลเทพเจ้าดาวเหนือเป็นอาวุธ พวกเขาก็สามารถครอบครองเมืองเยี่ยเฉิงได้อย่างง่ายดายแล้วกระมัง?
แต่ผู้คนบนดินแดนทวยเทพจะโง่เขลาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าอาจมีบางอย่างที่เขายังไม่รู้
“แล้วพี่ใหญ่ไต้รับบาดเจ็บได้อย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
“ข้าถูกทำร้ายน่ะ…”
ไต้จือฉุนตอบก่อนจะไอออกมาเล็กน้อย เขาพยายามสูดหายใจลึกและกล่าวต่ออย่างช้า ๆ “เหล่าฉู่มีความสามารถในการขุดเหมืองไม่แพ้ผู้ใด จึงได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาขุดพบเจอแร่หายาก เขาก็ตกเป็นจุดสนใจของบุคคลกลุ่มหนึ่ง คนกลุ่มนี้ไม่ได้มีอำนาจอะไรมากมาย เหล่าฉู่จึงสามารถปฏิเสธได้ไม่ยาก จนกระทั่งในภายหลัง มีตระกูลเทพเจ้าระดับสูงอยากจะมาขอซื้อตัวเหล่าฉู่ แต่ขุนนางอวิ๋นอิงจะยินยอมได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
สถานการณ์เป็นไปอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ
คนบาปผู้มีสถานะต่ำต้อยไม่สามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้เลย
ไต้จือฉุนไอออกมาอีกหลายครั้ง หลังจากพักหายใจอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็เล่าต่อ “ขุนนางอวิ๋นอิงไม่สามารถเจรจากับเทพเจ้าระดับสูงเหล่านั้น ดังนั้น เขาจึงหันมาบังคับให้เหล่าฉู่ปฏิเสธ ตอนแรกข้าและเหล่าฉู่ก็ไม่เห็นด้วย พวกเรารู้สึกว่าตนเองสมควรเปลี่ยนเจ้านาย อย่างน้อยก็จะได้เห็นเดือนเห็นตะวันบ้าง และบางที เราอาจจะได้พบเจอกับเจ้านายที่จิตใจดีมากกว่านี้…”
พูดมาถึงตรงนี้ ไต้จือฉุนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“แต่เราคิดไม่ถึงเลยว่าเทพเจ้าพวกนี้จะมีจิตใจชั่วร้ายยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก…”
“ขุนนางอวิ๋นอิงเห็นว่าพวกเรามีเจตนาคิดเปลี่ยนเจ้านาย เขาก็หาทางใส่ร้ายข้า หาว่าข้าขโมยแร่ศิลาเทวะจากในเหมือง และทำร้ายร่างกายจนข้าได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาใช้ข้าเป็นเครื่องมือฉุดรั้งเหล่าฉู่ไม่ให้เขาหลบหนีไปที่ไหนได้อีก… เหล่าฉู่ไม่มีทางเลือกนอกจากตอบตกลง…. และหลังจากนั้น ข้าก็กลายเป็นภาระของเขาเรื่อยมา”
“ข้าเคยเกลี้ยกล่อมให้เหล่าฉู่หนีไปตามลำพัง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาย่อมเอาตัวรอดได้แน่นอน อย่างน้อยก็จะได้รับอิสระ… แต่ข้ากลายเป็นคนที่คอยฉุดรั้งเขาเอาไว้”
ไต้จือฉุนกล่าวด้วยความรู้สึกผิด
ฉู่เหินโพล่งขึ้นมาเสียงดังว่า “เหล่าไต้ เจ้าพูดอะไรของเจ้า? พวกเราพี่น้องเหลือกันเพียงสองชีวิต วันนี้เจ้าลูกเต่าหลินเป่ยเฉินได้มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้ว หากข้าทิ้งเจ้าไปในวันนั้น แล้วข้าจะสู้หน้าเขาได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “ขุนนางอวิ๋นอิงผู้นี้ ข้าบรรจุชื่อลงในบัญชีแค้นเรียบร้อย รับรองว่ามันหนีไม่รอดแน่… แต่อาจารย์ฉู่ขอรับ ที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก่อนหน้านี้เป็นเรื่องราวอะไรกันหรือ?”
ไต้จือฉุนเป็นคนตอบคำถามแทนว่า “มันเป็นกฎที่ขุนนางอวิ๋นอิงตั้งขึ้นมาเองตามใจชอบ ทุกวันเหล่าฉู่จะต้องถูกเฆี่ยนตีสามเวลา วันละหนึ่งร้อยครั้ง เพื่อเป็นการย้ำเตือนถึงชีวิตของคนบาป เพื่อเป็นการย้ำเตือนไม่ให้คิดหลบหนีออกจากสถานะคนบาป… แต่ในความเป็นจริงนั้น นี่คือการทรมานเหล่าฉู่เพื่อให้อับอายผู้คนต่างหาก”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น “พวกมันเฆี่ยนอาจารย์ฉู่ไปเท่าไหร่? ข้าจะทำให้พวกมันต้องชดใช้คืนเป็นสิบเท่า”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน
บัญชีแค้นครั้งนี้ต่อให้เอาคะแนนศรัทธามาแลกเป็นหมื่นแสนล้านแต้มก็ไม่มีทางชดใช้ได้
ฉู่เหินกับไต้จือฉุนมองสีหน้าที่โกรธแค้นของหลินเป่ยเฉิน แต่พวกเขาก็ไม่ได้กล่าวสนับสนุน
แม้ว่าพวกเขาอยากจะสนับสนุนมากก็ตาม
แต่แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่สมควรกระทำ
แม้ว่าขุนนางอวิ๋นอิงจะเป็นเทพเจ้าระดับสามัญ แต่นายเหนือหัวของเขาคือเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพสงครามแห่งสภาเทพเจ้า
เป็นเทพเจ้ายักษ์ใหญ่ผู้มีอำนาจล้นฟ้า
แม้แต่ตัวตนเจี๋ยนเซียวเหยาของหลินเป่ยเฉินก็ยังไม่อาจรับมือได้
“วันนี้ข้าจะพาพวกท่านออกไปเอง”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ รอให้ข้าแข่งขันจบเมื่อไหร่ ข้าจะรีบเดินทางกลับเป่ยไห่ทันที”
ฉู่เหินว่า “ข้ายังไม่รู้เลยว่าเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร เจ้าแน่ใจนะว่าจะสามารถหาทางกลับได้?”
“ต้องกลับได้แน่นอนสิขอรับ ข้ามาที่นี่เพื่อทำธุระเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
หลินเป่ยเฉินบอกให้ผู้อาวุโสทั้งสองท่านได้รับทราบว่าเทพีกระบี่เชิญเขามาเป็นแขกคนพิเศษและได้จัดเตรียมการเดินทางขากลับเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ฉู่เหินไม่ได้พูดอะไรอีก
ไต้จือฉุนมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง “ข้าป่วยเป็นโรคบุปผามรณะระยะสุดท้าย หากข้าได้กลับไป อย่างน้อยได้พบเจอภรรยากับบุตรสาวก่อนตายก็ยังดี”
“อย่ากังวลเลยขอรับ ท่านไม่ตายหรอก”
หลินเป่ยเฉินว่า “จริงด้วยสิ เราอย่าเพิ่งคุยเรื่องนี้กันเลย พี่ใหญ่ไปหาทางรักษาอาการบาดเจ็บของตนเองให้เร็วที่สุดก่อนเถอะ… หลังจากนั้นก็รับประทานอาหารให้มากเข้าไว้ อย่าได้ใช้เรี่ยวแรงเยอะเกินไป”
หลินเป่ยเฉินนำผลกวนเจี๋ยออกมาให้ไต้จือฉุนรับประทาน
ขณะนี้ ไต้จือฉุนมีร่างกายอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถรับประทานยาวิเศษของเด็กหนุ่มได้
สิ่งสำคัญเร่งด่วนคือต้องพาตัวไต้จือฉุนออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และตามหาหมอยาฝีมือดีเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บตามร่างกายเสียก่อน
น่าเสียดายที่พลังปราณธาตุในตัวหลินเป่ยเฉินถูกปิดผนึก เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่สามารถใช้พลังปราณธาตุน้ำรักษาอาการบาดเจ็บของไต้จือฉุนได้
พวกเขาทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ไต้จือฉุนรับประทานผลกวนเจี๋ย ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความเศร้าโศกจางหายไป สภาพจิตใจกลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง กำลังวังชาฟื้นคืนขึ้นมาเล็กน้อย ในหัวใจเริ่มรับรู้ถึงความหวังที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้นบริเวณปากถ้ำว่า
“จุ่ยถูู เจ้าทาสรับใช้โสโครก กล้าปฏิเสธการลงโทษได้อย่างไร ยังไม่รีบไสหัวออกมาอีก…”
คลื่นเสียงดังกังวานราวกับฟ้าคำราม
พลังกดดันคุกคามแผ่เข้ามาภายในถ้ำใต้ดิน
“นี่คือขุนนางอวิ๋นอิง”
ฉู่เหินมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เขาถึงกับมาที่นี่ด้วยตนเองแล้ว”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “มาหาเองถึงที่เช่นนี้ ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะเลย… เดี๋ยวข้าจะออกไปรับหน้าเขาเอง”