เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 134 หลินเป่ยเฉินถูกดักเล่นงาน
บทที่ 134 หลินเป่ยเฉินถูกดักเล่นงาน
วันต่อมา
แสงแดดสดใส
เมื่ออากาศมีความร้อนอบอ้าวมากขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าที่ผู้คนสวมใส่ก็เบาบางมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
โลกจอมยุทธ์แห่งนี้ค่อนข้างเปิดเผยไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะบรรดาเด็กสาว ที่เครื่องแต่งกายสำหรับฤดูร้อนมีความเจริญหูเจริญตาสำหรับบุรุษนัก ตามท้องถนนไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะเห็นแต่ผิวขาวนวลเนียนอยู่เต็มไปหมด ยิ่งเติมแต่งให้วิวทิวทัศน์น่าชื่นชมมากยิ่งขึ้น
วันนี้หลินเป่ยเฉินตัดสินใจโดดเรียนออกมาเดินอยู่ข้างถนน
แต่เขาไม่ได้ออกมาเพื่อชมวิว
เด็กหนุ่มลงทุนโดดเรียนเพื่อมาเก็บหนี้ค่าประมูลเข็มกลัดดารา ซึ่งตกค้างจากเมื่อวันก่อน
พรุ่งนี้ก็จะถึงการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองรอบ 20 คนสุดท้ายแล้ว
หลินเป่ยเฉิน ไป๋ชินหยุน เยว่หงเซียง และฮันปู้ฟู่เป็นตัวแทนสถานศึกษากระบี่ที่สามเข้าร่วมการแข่งขัน
เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินต้องรีบเก็บหนี้ให้เสร็จในวันนี้
“แต่ระหว่างทางก็ขอชมเรียวขางามๆ สักหน่อยเถอะ ถือว่าเป็นกำไรชีวิตก็แล้วกัน”
ครั้งสุดท้ายที่เขาออกมาเก็บหนี้ หลินเป่ยเฉินพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางการวิวาทระหว่างสำนักยุทธ์อิสระ จึงทำให้เกิดความล่าช้า แต่วันนี้ บรรดาลูกหนี้ของเขาทุกคนต่างก็ยินดีจ่ายเงินด้วยความสุภาพอ่อนน้อม ราวกับว่าเขาเป็นบรรพบุรุษมาเยี่ยมบ้านก็ไม่ปาน หลินเป่ยเฉินไม่ต้องเอ่ยปากพูดคำใด เหรียญทองคำจำนวนเท่ากับในสัญญากู้ยืมก็ถูกส่งมาให้เขา บางคนถึงกับจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติมโดยที่หลินเป่ยเฉินไม่ต้องร้องขอด้วยซ้ำ
ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานประลองกระบี่เมื่อคืนนี้ ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
เมื่อถึงตอนบ่าย หลินเป่ยเฉินก็เก็บหนี้ได้ครบหมดทุกคน
รู้ตัวอีกทีเขาก็มายืนอยู่หน้าโรงเตี๊ยมชิงฝูแล้ว
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหมายสั่งอาหารมารับประทาน
“ยินดีต้อนรับขอรับ นายท่าน! เชิญด้านในเลยขอรับ! ไม่ทราบว่านายท่านต้องการรับประทานอาหารหรือหาที่พักแรมขอรับ?”
บริกรร่างอ้วนเดินยิ้มแย้มออกมาต้อนรับ
“ข้ามารับประทานอาหาร จัดอาหารและเครื่องดื่มให้เต็มโต๊ะได้เลย”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะตัวเดิมกับที่เคยนั่งเมื่อครั้งที่แล้ว เขาสั่งอาหารพร้อมด้วยเครื่องดื่มมาจนเต็มโต๊ะ บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมขณะนี้คึกคักด้วยแขกจำนวนมาก
“เครื่องดื่มมาแล้วขอรับ นายท่าน”
บริกรร่างอ้วนนำเครื่องดื่มมาวางไว้บนโต๊ะ
“เสี่ยวเอ้อร์ เจ้าเด็กที่ชื่อเยว่หงเสว่หายไปไหนแล้วล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาด้วยความสงสัย
ทันใดนั้น สีหน้าของหนุ่มร่างอ้วนก็เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขารีบส่ายหน้าตอบว่า “ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ”
หลังจากนั้น บริกรร่างอ้วนก็รีบหมุนตัวเดินจ้ำอ้าวก้าวออกไปไปเหมือนกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
มีอะไรหรือเปล่า?
สีหน้าแบบนั้นต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
หรือว่าเยว่หงเสว่จะเกิดเรื่อง?
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกให้บริกรร่างอ้วนกลับมา พร้อมกันนั้นเขาก็ควักเหรียญทองแดงออกมา 10 เหรียญ แล้วพูดว่า “บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยว่หงเสว่ แล้วเหรียญทองแดงทั้งหมดนี้จะเป็นของเจ้า”
หนุ่มร่างอ้วนมีสีหน้าร้อนใจ และยังคงส่ายศีรษะตอบดังเดิม “ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ นายท่านอย่าถามอะไรข้าน้อยอีกเลย”
ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินพยายามคาดคั้นเท่าไหร่ บริกรคนนี้ก็ไม่ยอมปริปากสักคำเดียว
หลินเป่ยเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย
ยิ่งคิดก็ยิ่งมั่นใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเยว่หงเสว่แน่นอน
จะเกี่ยวกับเรื่องความบาดหมางระหว่างสำนักยุทธ์อิสระหรือเปล่านะ?
น่าสงสารจริงๆ
เด็กคนนั้นเป็นเด็กดี แยกแยะได้ว่าอะไรคือความดีความชั่ว ที่เกิดเรื่องครั้งนี้ คงต้องเป็นเพราะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเพื่อนของตนเองแน่นอน หลินเป่ยเฉินนับถือจิตใจของเด็กชายคนนี้มาก ทำให้อดนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตรอกแคบเมื่อคราวก่อนไม่ได้ เยว่หงเสว่อุตส่าห์ย้อนกลับมาช่วยเหลือเขา แม้มันจะทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกอยู่ในอันตรายก็ตาม
แต่ทว่าเด็กชายอนาคตไกลคนนี้ กลับต้องเข้าร่วมสำนักยุทธ์อิสระ
หลินเป่ยเฉินพลันรู้สึกหงุดหงิดจนรับประทานอาหารไม่ลง จึงสั่งให้หนุ่มร่างอ้วนเก็บอาหารทั้งหมดห่อใส่กล่อง หลังจากนั้น เขาก็สั่งเครื่องดื่มมาอีกหนึ่งขวดน้ำเต้า เมื่อเรียบร้อยดีแล้วก็จึงเดินหิ้วของทั้งหมดออกมาจากโรงเตี๊ยมชิงฝู
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินก้าวพ้นประตูโรงเตี๊ยมออกมา ก็เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นทันที
เขารู้สึกเหมือนถูกสะกดรอยตาม
ความรู้สึกนี้นับเป็นประสาทสัมผัสพิเศษก็ว่าได้ มันเริ่มเกิดขึ้นเมื่อเขาฝึกการใช้พลังจิตอย่างสม่ำเสมอ
หากแต่เด็กหนุ่มเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ตัว และเดินนำผู้ติดตามเข้าไปในตรอกแคบ
มันเป็นตรอกเดียวกับที่เขาเคยมาช่วยเหลือคนครั้งที่แล้ว
ตรอกแคบนี้มีความยาวเกือบ 1 ลี้ กำแพงทั้งสองฝั่งสูง 1 จั้ง ถ้าไม่มีฝีมือแข็งแกร่งจริงๆ ก็เป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีได้สำเร็จ
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินเข้ามาถึงใจกลางตรอก ก็มีกลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำพร้อมดาบในมือปรากฏตัวขึ้นอย่างที่คาดคิดเอาไว้จริงๆ คมดาบในมือพวกมันเป็นประกายสว่างไสวในขณะที่พากันเดินเข้ามาโอบล้อมเขาจากทั้งสองฝั่ง
หลินเป่ยเฉินหยุดยืนอยู่กับที่
“พวกเจ้าเป็นใคร?” เด็กหนุ่มถาม แกล้งทำน้ำเสียงตื่นกลัว
ไม่มีใครตอบ
“จับตัวมันมาให้ได้”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ออกคำสั่งเสียงแหบต่ำ
แล้วชายฉกรรจ์ชุดดำจำนวน 5 คนก็พากันพริ้วกายเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
“แบบนี้มันหมาหมู่นี่หว่า”
หลินเป่ยเฉินรีบคิดหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเร็วไว
“เสี่ยวจี้ ดาวน์โหลดมีดเจิ้งอี้มาให้หน่อย” เขาออกคำสั่งอยู่ในใจ
แสงสว่างวูบวาบแวววาว
แล้วมีดซึ่งอยู่ในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ ก็มาปรากฏอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินวินาทีต่อมา
พั่บ พั่บ พั่บ
หลินเป่ยเฉินพริ้วกายว่องไวราววิหค เขากระโดดหนึ่งครั้งมีความสูง 1 จั้ง สามารถลอยตัวไปได้ไกล 5 วาเศษ ดังนั้นจึงหลุดออกจากวงล้อมของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างง่ายดาย และเมื่อปลายเท้าของเขาสัมผัสพื้น ตัวคนก็ดีดขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินเพียงตีลังกาไม่กี่ครั้ง ก็ทิ้งตัวลงมาอยู่เบื้องหน้าชายฉกรรจ์ที่ขวางทางออกของตรอกแคบ ก่อนที่มีดในมือของเขาจะพุ่งแทงออกไปข้างหน้า
คมมีดสาดประกายเต็มแผ่นฟ้า
เป็นประกายที่เย็นเยียบนัก
“เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง! เคล้ง!”
เสียงโลหะปะทะกันดังขึ้นพร้อมด้วยประกายไฟที่สาดกระจาย แล้วเศษดาบที่แตกหักก็ลอยกระเด็นออกไปรอบทิศทาง
กลุ่มชายฉกรรจ์ชุดดำจำนวน 6 ถึง 7 คนล้มกลิ้งลงไปนอนอยู่บนพื้นดินหมดสิ้น
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็นำมีดไปจ่อคอชายฉกรรจ์ผู้ที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่ม
“บอกมาว่าพวกเจ้าเป็นใคร?” หลินเป่ยเฉินคำรามน้ำเสียงดุดัน
เขารู้สึกสังหรณ์ใจว่าคนพวกนี้ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเยว่หงเสว่แน่นอน
“อย่าทำอะไรวู่วามนะ สหาย ใจเย็นก่อน…”
หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ตัวสั่นเทา ตอบรับกลับมาด้วยเสียงผะแผ่ว
เมื่อชายฉกรรจ์คนอื่นๆ พบว่าหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งมากกว่าที่คิด และตระหนักชัดว่าสถานการณ์เกินการควบคุมของพวกตนเองไปแล้ว ดังนั้นใครคนหนึ่งก็พลันส่งเสียงผิวปากขึ้นมาเป็นสัญญาณให้บางส่วนหลบหนี ในขณะที่ชายฉกรรจ์อีกส่วนหนึ่งก็พริ้วกายเข้ามาประชิดตัวล้อมรอบหลินเป่ยเฉินและหัวหน้ากลุ่มของตนเองเอาไว้
“บอกมาเดี๋ยวนี้ พวกเจ้ามาขวางทางข้าทำไม?”
หลินเป่ยเฉินเพิ่มแรงกดไปที่คมมีด ทำให้ลำคอของหัวหน้ากลุ่มเกิดเป็นขีดสีแดงเล็กๆ ขึ้นมาแล้ว
“อย่านะ อย่าทำอะไรข้าเลย…พวกเราดักเล่นงานผิดคน เรานึกว่าท่านเป็นคนของสำนักวายุสะเทือนฟ้า พวกเราผิดไปแล้ว พวกเราจะรีบไปทันที ได้โปรดอย่าทำอะไรข้าเลย…” ชายฉกรรจ์หัวหน้ากลุ่มพูดเสียงสั่นเครือ
ร่างกายของมันอ่อนปวกเปียกไปหมด
“พวกเจ้าเป็นคนของหอการค้าสามพันโยชน์ใช่หรือไม่?” หลินเป่ยเฉินถาม
“มะ ไม่ใช่ พวกเรามาจากสำนักคลื่นเขียว” หัวหน้าชายฉกรรจ์รีบตอบละล่ำละลัก
“สำนักคลื่นเขียว?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วสีหน้าฉงน
เขาไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน
“เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเยว่หงเสว่ถูกจับตัวไปที่ไหน?” เด็กหนุ่มเค้นเสียงพูด น้ำเสียงเย็นยะเยียบ “ไม่ต้องกลัว ขอให้ตอบตามความจริง ไม่งั้นมีดเล่มนี้จะปักคอเจ้าแน่”
“ตอบแล้วขอรับ ข้าน้อยตอบแล้ว ท่านหมายถึงเจ้าเด็กบริกรจากโรงเตี๊ยมชิงฝูใช่ไหมขอรับ?” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี “เขาถูกคนของหอการค้าสามพันโยชน์จับตัวไปขอรับ ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาล้วนถูกจับตัวไปทั้งสิ้น นายท่านอย่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของเยว่หงเสว่จะดีกว่านะขอรับ ไม่งั้นนายท่านจะเดือดร้อนด้วยเช่นกัน”
“แล้วคนของหอการค้าสามพันโยชน์จะจับตัวเขาไปเพื่ออะไร?” หลินเป่ยเฉินถามด้วยความไม่เข้าใจ
“เป็นเพราะว่าพวกเขาอยากจับตัวคนของสำนักวายุสะเทือนฟ้าที่มีนามว่าฟางเสี่ยวไป่ขอรับ และได้ข่าวว่านางกับเยว่หงเสว่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก ดังนั้นหอการค้าสามพันโยชน์จึงจับตัวเยว่หงเสว่ไป เพื่อหวังให้ฟางเสี่ยวไป่ตามไปติดกับดักที่พวกเขาวางเอาไว้…” หัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์กล่าวตอบ