เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1443 รีบพาข้าไปพบนางเถอะ
ตอนที่ 1,443 รีบพาข้าไปพบนางเถอะ
นักพรตหญิงชินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ
เยว่เว่ยหยางกับฮันปู้ฮุยก็ไม่ทราบเลยว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมานั้นเป็นเนื้อเพลงจากชาติภพที่แล้วของเขา
แต่พวกนางต่างคุ้นเคยกับปัญหาทางสมองของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเขามักจะพูดจาเหลวไหลไร้สาระเป็นประจำอยู่แล้ว
“พี่หลิน ท่านสิ้นสุดการหลอมรวมพลังแล้วใช่หรือไม่?”
ฮันปู้ฮุยมีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ รีบวิ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น “บัดนี้ ท่านเป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานแล้ว”
นางกำลังหมายถึงเหตุการณ์ที่หลินเป่ยเฉินสามารถสังหารเว่ยหมิงเฉินกับบริวารได้หมดสิ้น…
ช่างน่าประทับใจ
ส่วนคำพูดที่เขากล่าวออกมาก่อนหน้านี้ เด็กสาวไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
หลินเป่ยเฉินลูบหัวฮันปู้ฮุยด้วยความอ่อนโยน “ไม่เจอกันนาน ตัวสูงขึ้นเยอะเลยนะเจ้าเนี่ย”
ฮันปู้ฮุยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
นางไม่ใช่สาวงามตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม เพราะด้วยความที่มีโครงร่างสูงจึงมีลักษณะแข็งแรง ไม่ได้บอบบางนุ่มนิ่มเหมือนสตรีทั่วไป แต่ถึงกระนั้น ฮันปู้ฮุยก็ภูมิใจในเอกลักษณ์ของตนเองเสมอมา
“เหตุไฉนเจ้าถึงมาที่เมืองหยุนเมิ่งเล่า?”
นักพรตหญิงชินเดินเข้ามาหาอย่างแช่มช้า “เจ้าสมควรไปช่วยเหลือนครเจาฮุยก่อนไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเอง ขณะพิจารณาสีหน้าของนักพรตหญิงชิน เมื่อเห็นว่านางไม่ได้มีท่าทีโกรธเคือง เขาจึงยิ้มตอบกลับไปว่า “ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเทพอสูรจากที่นี่ นึกเป็นห่วงท่าน จึงรีบมาดูที่นี่ก่อนน่ะขอรับ”
นักพรตหญิงชินยังคงมีสีหน้าเย็นชาไม่เปลี่ยนแปลง
“บุคคลที่เจ้าเพิ่งฆ่าไปเป็นเพียงร่างแยกของเว่ยหมิงเฉิน ส่วนร่างกำเนิดตัวจริงของเขาอยู่ในมหานครของจักรวรรดิเจิ้งหลง ซึ่งขณะนี้ได้รับการขนานนามให้เป็นเมืองหลวงแห่งเทพเจ้า หลังจากนี้ เจ้ารีบหาโอกาสไปสังหารบุคคลผู้นี้ซะ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
ดวงตาของนางจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเชื่อมั่น
“แล้วเว่ยหมิงเฉินกลายเป็นองค์ราชันย์แห่งเทพเจ้าได้อย่างไรขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย “เขาก็ถือกำเนิดเกิดบนแผ่นดินตงเต้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมบรรดาเทพเจ้าเหล่านั้นถึงยกย่องเขาเป็นองค์ราชันย์ ระดับพลังของเขาไม่น่าจะเอาชนะเทพเจ้าเหล่านั้นได้นะขอรับ”
นี่คือเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุด
กวาดตาดูในโลกใบนี้ หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดแล้ว
เพราะเขามีโทรศัพท์มือถือคอยช่วยเหลือ
แต่กลับกลายเป็นว่าเว่ยหมิงเฉินมีความแข็งแกร่งมากกว่าเขาได้อย่างไร?
ใครกันแน่ที่เป็นพระเอกในนวนิยายเรื่องนี้?
หรือว่าไอ้หมอนั่นมันก็ทะลุมิติมาจากโลกอื่นเหมือนกัน?
นักพรตหญิงชินตอบว่า “เพราะวิญญาณต้นกำเนิดของเขากลับคืนเข้าร่างแล้วน่ะสิ วิญญาณต้นกำเนิดของเว่ยหมิงเฉินมีสถานะสูงส่งในดินแดนทวยเทพ เขาสร้างร่างของเด็กหนุ่มขึ้นมาเพื่อรอเวลาที่วิญญาณจะลงมาประทับ และบัดนี้ เวลานั้นก็ได้มาถึงแล้ว ส่วนเหตุผลก็เป็นเพราะว่า…”
นักพรตหญิงชินพูดยังไม่ทันจบ
หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจได้ทันทีว่าวิญญาณที่เข้าร่างต้นกำเนิดเว่ยหมิงเฉินในขณะนี้ น่าจะเป็นเทพเจ้าระดับสูงในดินแดนทวยเทพแล้วกระมัง?
แต่จะมีตำแหน่งสูงไปมากกว่าเขาได้อย่างไร?
หลินเป่ยเฉินเชิดหน้าขึ้นสี่สิบห้าองศา ยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ ก่อนกล่าวว่า “มีสถานะสูงส่งถึงขั้นไหนเชียว? ไม่ทราบว่าสูงมากกว่าข้าหรือไม่? ข้าจะบอกให้ท่านทราบ บัดนี้ ข้ามีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้าเชียวนะขอรับ”
ดวงตาของนักพรตหญิงชินพลันเป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมาเหมือนคมกระบี่
เยว่เว่ยหยางอาศัยโอกาสนี้ขัดจังหวะแทรกขึ้นว่า “แล้วพี่หลินพอทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่าคำพูดที่เขาเอ่ยกับข้าก่อนหน้านี้ มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”
นางกำลังเอ่ยถึงสิ่งที่เว่ยหมิงเฉินพูดออกมาก่อนหน้านี้
นักบวชสาวคิดว่าหลินเป่ยเฉินต้องเข้าใจ
“บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับร่างกายของเจ้าก็เป็นได้”
เมื่อหลินเป่ยเฉินรับฟังจบ หัวใจก็กระตุกวูบ
ในร่างกายของเยว่เว่ยหยางยังคงมีพลังเทพเจ้าหลับใหลอยู่จริง ๆ
ร่างกายของนางไม่ใช่ร่างของมนุษย์ธรรมดา ดังนั้นสายตาของเว่ยหมิงเฉินจึงมองออกใช่หรือไม่?
นี่คือคำอธิบายเดียวเท่านั้น
นักพรตหญิงชินกล่าวขึ้นมาอีกครั้งว่า “แต่บัดนี้ การต่อสู้ในนครเจาฮุยเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุด เจ้ารีบไปช่วยเหลือพวกเขาเถอะ”
นางพยายามเร่งเร้าให้หลินเป่ยเฉินออกเดินทาง
เด็กหนุ่มจำได้ดีถึงคำสาปของนักพรตหญิงชิน
นางถูกกำหนดให้โดดเดี่ยวไปตลอดกาล
หากหลินเป่ยเฉินใกล้ชิดกับนาง เขาก็จะตกอยู่ในอันตราย
ด้วยเหตุนี้เอง นักพรตหญิงชินจึงพยายามขับไล่ไสส่งเขาไปที่อื่นสินะ?
เพราะว่านางเป็นห่วงเขา
แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นถึงหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่แห่งสภาเทพเจ้า แล้วเขายังจะต้องกลัวอะไรกับคำสาปบ้าบอเหล่านั้นอีก?
“ความจริงแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่นักพรตหญิงชินก็ขัดจังหวะขึ้นเสียก่อนว่า “เจ้ารีบไปช่วยเหลือนครเจาฮุยก่อน หลังจากนั้นค่อยกลับมาพูดคุยกับข้าก็ยังไม่สาย ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่หลังวิหาร”
กล่าวจบ ร่างของนางก็หายวับไปในอากาศ
หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
นัดพบ
นี่คือจุดเริ่มต้นของการนัดพบ
ใช่แล้ว อิอิ
ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลินเป่ยเฉินก็จับมือเยว่เว่ยหยางด้วยความตื่นเต้น ลูบหลังมือของนางเบา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า “จงฟังคำสั่งของข้าให้ดี… เจ้ารีบไปเรียกรวมพลทุกคนมาที่วิหาร… เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ก็ให้ทุกคนออกเดินทางไปช่วยเหลือนครเจาฮุยทันที”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นทางด้านหลังว่า
“หลินเป่ยเฉิน”
น้ำเสียงบอกถึงความโกรธแค้นอยู่ไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินย่อมจำได้ว่าเจ้าของเสียงนี้เป็นผู้ใด เขาลอบสบถอยู่ในใจ ก่อนจะหันมาเผชิญหน้ากับอดีตว่าที่แม่ยายของตนเอง
เด็กหนุ่มรีบปล่อยมือเยว่เว่ยหยาง เสแสร้งแกล้งทำสีหน้าเคร่งเครียด “ท่านป้าชิน? มีอะไรหรือขอรับ? เมื่อสักครู่นี้ ข้าเพิ่งสังหารเว่ยหมิงเฉินไปเองกับมือ… หรือว่าท่านจะมาเรียกร้องขอความยุติธรรมแทนเว่ยหมิงเฉิน? ขออภัยด้วยขอรับ แต่ว่าเป็นทางเขานั้นหาเรื่องก่อน”
นี่คือประโยคไล่แขกอย่างชัดเจน
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่แท้จริงของชินหลันซู หลินเป่ยเฉินก็ต้องตกตะลึงไม่น้อยและความฉุนเฉียวของเขาก็สลายหายไป
หญิงผู้นี้ต่อต้านความสัมพันธ์ระหว่างหลินเป่ยเฉินกับบุตรสาวของนางตลอดมา มิหนำซ้ำ นางยังสนับสนุนให้บุตรสาวแต่งงานกับเว่ยหมิงเฉิน และบัดนี้ หากชินหลันซูยังโทษว่าทุกอย่างเป็นความผิดของหลินเป่ยเฉินอีก นี่ก็ออกจะเป็นการไร้เหตุผลเกินไปแล้ว
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาผู้นั้น”
ชินหลันซูสงบจิตใจลงและตอบว่า “เฉินเอ๋อร์อยากพบเจ้า”
หลินเป่ยเฉินใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “ข้าน้อยก็อยากไปพบหลิงเฉินขอรับ เพียงแต่ขณะนี้ นครเจาฮุยกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต ขอให้ข้าไปจัดการศัตรูก่อนนะขอรับ เสร็จศึกกลับมาแล้ว ข้าจะรีบไปหานางโดยทันทีดีหรือไม่?”
แม้หลินเป่ยเฉินจะมีสถานะเป็นถึงหนึ่งในห้าใต้เท้าใหญ่ แต่เขาจะไม่ไว้หน้าชินหลันซูเลยได้อย่างไร?
ถึงอย่างไรก็ต้องพูดคุยให้รู้เรื่องเสียก่อน
ชินหลันซูรีบส่ายศีรษะปฏิเสธ “เฉินเอ๋อร์ไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว ก่อนจากไป นางอยากพบเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
ว่าไงนะ?
หลิงเฉินกำลังจะตายอย่างนั้นหรือ?
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อหูของตนเอง จึงถามกลับไปเสียงสั่นว่า “เกิดอะไรขึ้น… ไปเถอะขอรับ รีบพาข้าไปพบนาง”
ชินหลันซูเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนของหลินเป่ยเฉิน หัวใจก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
ดูเหมือนเด็กหนุ่มผู้นี้จะห่วงใยบุตรสาวของนางจริง ๆ
แม้โชคชะตารักระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะเปรียบดั่งเส้นขนานที่ไม่อาจบรรจบพบกันได้ ในขณะที่ชินหลันซูคิดมาตลอดว่าบุตรสาวของนางหลงรักหลินเป่ยเฉินแต่เพียงฝ่ายเดียว ทว่าการกระทำของหลินเป่ยเฉินในขณะนี้ ก็ช่วยยืนยันแล้วว่าบุตรสาวของนางไม่ได้คิดไปเอง
ทั้งสองคนรีบมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลหลิง
เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูจวน
รถม้าสีขาวจอดอยู่หน้าประตูในความเงียบ คล้ายกับว่าไม่มีความข้องเกี่ยวใด ๆ กับสภาพแวดล้อมรอบตัว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินจึงสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่คุ้นเคยแผ่ออกมาจากรถม้าคันนั้น
แต่เขารีบร้อนเข้าไปเจอหลิงเฉินจึงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนี้อีก
เมื่อขึ้นไปถึงห้องใต้หลังคาของจวนตระกูลหลิงและเห็นใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของหลิงเฉิน หลินเป่ยเฉินก็แทบจะล้มทั้งยืนอยู่ตรงนั้น เพราะเขาแทบจดจำเจ้าของร่างที่ผอมหนังหุ้มกระดูกซึ่งนอนอยู่บนเตียงเบื้องหน้าคนนี้ไม่ได้เลย นางเป็นคนเดียวกับบุตรสาวคนเล็กผู้อ่อนหวาน ดื้อรั้นและแข็งแกร่งของอดีตท่านเจ้าเมืองจริง ๆ หรือ?
“มาแล้วหรือ?”
หลิงเฉินพลันลืมตาขึ้นมาทันทีราวกับมีญาณทิพย์ ใบหน้าซีดขาวของนางเผยรอยยิ้มกว้าง มือที่อ่อนแรงค่อย ๆ ยกขึ้น
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายเพียงวูบเดียวก็ไปยืนอยู่ชิดขอบเตียงนาง เขายื่นมือแปะลงไปบนหน้าผากอันเย็นเฉียบของหลิงเฉิน เพราะอยากจะตรวจดูว่านางได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด
“อย่านะ”
ชินหลันซูร่ำร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
จบสิ้นกัน
หลินเป่ยเฉินกำลังจะถูกมวลพลังกลืนกินกลายเป็นหุ่นน้ำแข็ง
ชินหลันซูรู้สึกเหมือนตนเองคล้ายจะเป็นลม