เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1453 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 1,453 เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินเลียริมฝีปาก
ลำคอแห้งผาก
เฉียนเหมยเดินเข้ามาเชยคางหลินเป่ยเฉิน พูดด้วยน้ำเสียงยั่วเย้าว่า “นายท่าน ข้ารู้สึกว่านายท่านดูจะเกร็ง ๆ ไปนะเจ้าคะ”
“เหลวไหลน่า”
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธทันควัน “คนเสเพลอย่างข้าจะไปมีอาการเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“แต่นายท่านคงไม่เคยพบเจอสาวงามอย่างพวกเรามาก่อนกระมัง?”
เฉียนเหมยยังคงหยอกเย้าต่อไป
โบราณว่าคนเราเมื่ออยู่ใกล้ชิดสิ่งใดก็จะกลายเป็นสิ่งนั้นไปโดยไม่รู้ตัว เฉียนเหมยรับใช้ใกล้ชิดหลินเป่ยเฉินมานาน นางจึงติดนิสัยทะลึ่งทะเล้นของเขาไปเสียแล้ว
“ช่างน่าขำ ข้าจะไปตะลึงกับความงามของสาวรับใช้ได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินพยายามแค่นหัวเราะกลบเกลื่อนอาการของตนเอง “พวกเจ้าทำให้จิตใจของข้าหวั่นไหวไม่ได้หรอก”
“งั้นแม่ทัพหญิงผู้นี้จะจัดการนายท่านเอง”
เฉียนเหมยพูดพร้อมกับแยกเขี้ยวกางกรงเล็บกระโดดเข้ามา
ในไม่ช้า สาวรับใช้ทั้งสองคนก็มาอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน
ร่างของพวกนางสั่นเทาเล็กน้อย
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินรู้สึกประหม่าและคาดหวัง ถึงที่ผ่านมาพวกนางจะมีความรู้ด้านทฤษฎีเต็มเปี่ยม แต่การเรียนรู้ภาคทฤษฎีอย่างไรก็สู้การเรียนรู้จากภาคปฏิบัติไม่ได้ เมื่อได้อยู่ใกล้ชิดกับบุคคลที่พวกนางหลงรัก ทั้งเฉียนเหมยกับเฉียนเจินจึงเกิดอาการประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว…
“พวกเรา…”
หลินเป่ยเฉินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่ลมหายใจร้อนอุ่นก็เป่ารดใบหูของเขาทั้งสองข้าง
ไม่ต่างจากมีแมวน้อยสองตัวกำลังเลียใบหูของเขาอย่างแผ่วเบา
หลังจากนั้น
มือนุ่มนิ่มขาวเนียนก็เริ่มลูบไล้ลงไป…
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง
รู้สึกคล้ายกับถูกไฟฟ้าช็อต สัญชาตญาณแห่งความปรารถนาพุ่งทะลุจุดเดือด
นี่คือความสุขทวีคูณ
“นายท่าน อย่าขยับสิเจ้าคะ”
สองสาวรับใช้ผลักไหล่ของหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินล้มลงไปบนเตียงนอนหลังใหญ่
เด็กหนุ่มหลับตาลงและเริ่มต้นดื่มด่ำไปกับความสุขสม
เขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวอีกแล้ว เพราะพวกนางทำหน้าที่นั้นแทนทั้งหมด
นี่แตกต่างจากประสบการณ์เริงรักกับเทพีกระบี่ เพราะระหว่างพวกเขาต่างมุ่งเน้นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางด้านพลังของกันและกันเท่านั้น ผลประโยชน์จึงมาก่อนเป็นลำดับแรก ความดื่มด่ำนุ่มนวลจึงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย
และยังแตกต่างจากประสบการณ์เริงรักกับชิงเล่ย… ชิงเล่ยเป็นหญิงสาวอ่อนหวานขี้อาย บ่อยครั้งที่นางมักจะยอมให้หลินเป่ยเฉินทำตามใจปรารถนา แม้หลายกระบวนท่าชิงเล่ยจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ แต่นางก็ยินดีทำเพื่อให้หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกพึงพอใจมากที่สุด
ส่วนเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน พวกนางยอมตามใจหลินเป่ยเฉินไม่แพ้ชิงเล่ย แต่สาวรับใช้ทั้งสองกลับมีทักษะที่แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน… ดังนั้น นี่จึงเป็นการหลอมรวมกันระหว่างการฝึกวิชาทางกายภาพและความรัก เกิดเป็นความดื่มด่ำตามธรรมชาติ
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสุขสมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จนกระทั่ง…
“ย่ะ! ย่ะ!”
เฉียนเหมยมีกิริยาท่าทางเหมือนกับกำลังควบอยู่บนหลังม้ายามออกรบ
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความพิศวงเล็กน้อย
อย่าบอกนะว่า…
นางกำลังเห็นเขาเป็นม้าตัวหนึ่ง?
แม้ท่วงท่าจะเหมือนการขี่ม้าทุกประการ แต่ทำไมถึงต้องทำเสียงเหมือนกำลังขี่ม้าออกรบด้วยเล่า?
ทว่า ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ความรู้สึกสุขสมก็ล้นปรี่จนหลินเป่ยเฉินไม่ได้คิดใส่ใจสิ่งใดอีก ใบหน้าที่งดงามของเฉียนเหมยบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดที่มีความสุข ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงกล้ำกลืนถ้อยคำสบถทั้งหมดกลับลงคอไปอีกครั้ง…
กาลเวลาผ่านไป
สายลมแผ่วเบาโชยพัดใบไม้ปลิวว่อนในอากาศ
ค่ำคืนแสนสั้น รุ่งอรุณมาเยือนโดยไม่รู้ตัว
บ่ายวันต่อมา หลินเป่ยเฉินยังไม่ได้ออกมาจากห้องนอน
แน่นอนว่าสองสาวรับใช้ก็ยังไม่ได้ออกมาเช่นกัน
พ่อบ้านหวังจงนำเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมาตั้งนั่งอยู่หน้าทางเข้าตำหนักไม้ไผ่และแทะเมล็ดแตงโมอย่างมีความสุข บางครั้งเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างลอยเข้ามากระทบหู ชายชราก็ต้องยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก
ในห้องนอน
อากาศเย็นสบาย
สองสาวรับใช้ยังคงหลับใหล
หลินเป่ยเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เพื่อปรับระดับพลังลมปราณของตนเอง
เมื่อคืนนี้ เขาก็ใช้วิชาการจับคู่เพิ่มพลังเช่นกัน
เพราะนี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน
แต่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยก็คือ พวกนางกลับมีร่างกายแข็งแรงและมีพลังลมปราณแกร่งกล้า จึงกลายเป็นฝ่ายเขาเสียเองที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการฝึกวิชาจับคู่ในครั้งนี้
“ร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นแล้ว น่าจะดูดซับพลังเทพเจ้าได้อีกสักตำแหน่ง”
หลินเป่ยเฉินคิดอย่างมีความสุข
ขณะนี้ เขาปลดผนึกพลังปราณธาตุได้สามชนิดแล้ว
และจากประสบการณ์ที่ผ่านมา หากหลินเป่ยเฉินต้องการปลดผนึกพลังปราณธาตุอีกสองชนิดที่เหลืออยู่ เขาก็ต้องดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าอีกสองใบ
ซึ่งการจะดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าเหล่านั้น ร่างกายก็ต้องอยู่ในสภาวะที่สมบูรณ์พร้อมมากที่สุด
แต่จากการเริงรักกับสองสาวรับใช้เมื่อคืนนี้ หลินเป่ยเฉินจึงกลับมามีร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง ขณะนี้ เขาสามารถดูดซับพลังจากลูกแก้วเทพเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหา
ก่อนหน้านี้ เทพีกระบี่ช่วยให้เขาปลดผนึกพลังปราณธาตุไฟได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ การมอบตำแหน่งเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างจากใต้เท้ากั้ว ช่วยทำให้เขาปลดผนึกพลังปราณธาตุน้ำได้สำเร็จ
ก่อนหน้านี้ การดูดซับพลังจากตำแหน่งใต้เท้าฉาง ช่วยทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถปลดผนึกพลังปราณธาตุทองคำได้สำเร็จ
หลังจากนี้ เขาก็แค่ต้องเลือกตำแหน่งเทพเจ้าที่มีพลังปราณธาตุไม้กับพลังปราณธาตุดินเท่านั้น
แต่เขาจะเลือกลูกแก้วเทพเจ้าใบไหนดีนะ?
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์มือถือออกมาดู
น่าเสียดายที่โทรศัพท์ยังอัปเดตระบบไม่เสร็จ
“ไม่เป็นไร พลังในร่างกายเราคงไม่เสื่อมถอยลงง่าย ๆ หรอก รอไปอีกหน่อยก็ได้…”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสบายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาค่อย ๆ ปรับระดับลมหายใจและหันหน้าไปชื่นชมกับ ‘ความงาม’ ที่อยู่รอบตัว
แสงตะวันส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาบนเตียงนอน เฉียนเจินยังคงนอนหลับตาพริ้ม สีหน้ายิ้มแย้ม แตกต่างจากเฉียนเหมยที่นอนน้ำลายไหลเยิ้มและดูเหมือนนางจะพึมพำละเมออะไรบางอย่าง ราวกับว่าตนเองกำลังต่อสู้อยู่ในสนามรบอย่างไรอย่างนั้น
สาวรับใช้ทั้งสองคนยังคงงดงามไม่เปลี่ยนแปลง
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
นับตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ใบนี้ หลินเป่ยเฉินไม่เคยเกิดความรู้สึกผูกพันลึกซึ้ง ตลอดเวลาเขาเพียงอยากกลับสู่โลกมนุษย์ใบเก่าที่ตนเองจากมา แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนรอบตัวก็เกิดการใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในขณะนี้ หลายคนกลายเป็นคนสำคัญในชีวิตของหลินเป่ยเฉินไปแล้ว
แต่ในกลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังแยกย่อยได้อีกหลายประเภท
บางคนต่อให้ไม่มีเขา ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้
แต่กับบางคนหากไม่มีหลินเป่ยเฉิน ชีวิตก็จะสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็คือหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้นเอง
พวกนางพัฒนาความสัมพันธ์จากบ่าวรับใช้กลายมาเป็นสหายสนิท
จนกระทั่งเป็นครอบครัว
ไม่ต่างจากผู้ที่มาจากสายเลือดเดียวกัน
แต่ในวันนี้ เฉียนเหมยกับเฉียนเจินได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอีกระดับ พวกนางยอมพลีกายให้หลินเป่ยเฉินเชยชม นี่คือสิ่งที่บ่งบอกว่าสาวรับใช้ทั้งสองยินดีร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขาชั่วชีวิต
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังผ่านประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้…
“นับจากนี้ไป ข้าจะดูแลพวกเจ้าเอง”
หลินเป่ยเฉินดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างให้แก่สองสาวผู้หลับใหล ก่อนที่ตนเองจะลุกขึ้นเดินออกมาจากห้องนอน
เขาเตรียมน้ำร้อนและทำอาหาร… นี่คือการทำอาหารอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ นี่คือสิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่คุ้นเคยและเขาก็ไม่ได้อยากทำ เพียงแต่โทรศัพท์มือถือยังอัปเดตไม่เสร็จ เขาจึงซื้ออาหารมารับประทานไม่ได้
…
กาลเวลาผ่านไป
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปได้สองวันแล้ว
ตลอดสองวันนี้ หลินเป่ยเฉินพยายามไปขอเข้าพบนักพรตหญิงชินที่วิหารประจำเมืองอีกครั้ง
แต่ผลปรากฏว่านักพรตหญิงชินยังคงปฏิเสธด้วยคำเดิมคือ “ไม่มีเวลา”
ส่วนสถานการณ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรดำเนินไปอย่างราบรื่น
สหายเก่าของหลินเป่ยเฉินแวะเวียนมาเยี่ยมเขาไม่ขาดสาย
หลินเป่ยเฉินสั่งให้พ่อบ้านหวังจงส่งเทียบเชิญออกไปเรียกหาสหายเก่าให้มารวมตัวกันที่ตำหนักไม้ไผ่ รวมถึงเยว่หงเซียง
เขาเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าอีกไม่นานตนเองอาจจะต้องออกจากแผ่นดินตงเต้า เพื่อไปยังดินแดนอันไกลโพ้นที่ไหนสักแห่ง
ในเมื่อยังมีเวลาสามารถพบหาสหายได้อยู่ ก็จงใช้เวลานี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพราะไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้เลยว่าอีกนานหรือไม่กว่าที่หลินเป่ยเฉินจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง