เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1456 ความเปลี่ยนแปลงของเยว่หงเซียง
ตอนที่ 1,456 ความเปลี่ยนแปลงของเยว่หงเซียง
ร่างของเยว่หงเซียงมีรัศมีสีเขียวมรกตระเบิดประกายเจิดจ้าออกมา
พลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายไหลเวียนไปตามอวัยวะทุกส่วนและเส้นประสาททุกเส้น ไม่ต่างจากกระแสน้ำเเชี่ยวกรากที่โถมทะลักครั้งแล้วครั้งเล่า…
พลังวิญญาณแข็งแกร่งขึ้น
มวลพลังในร่างกายเพิ่มมากขึ้น
กระบวนการรับพลังในครั้งนี้ มีผลเสมือนการเลาะเส้นเอ็นเปลี่ยนกระดูก
มวลพลังสีดำจำนวนมากไหลทะลักออกมาจากรูขุมขนบนผิวหนังเยว่หงเซียง
หลังจากนั้น ผิวสีขาวราวหิมะของนางก็ยิ่งเป็นประกายระยิบระยับสว่างไสวราวกับผลึกแก้วล้ำค่า คล้ายกับว่าผิวหนังได้เกิดการลอกคราบและสร้างชั้นผิวหนังขึ้นมาใหม่
เป็นไปตามที่หลินเป่ยเฉินคิดเอาไว้ รอยแผลเป็นบนใบหน้าเยว่หงเซียงเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
มวลพลังสีดำยังคงไหลทะลักออกมาจากรูขุมขนไม่หยุดยั้ง และรอยแผลเป็นที่เหมือนตะขาบตัวใหญ่ก็เริ่มหลุดออกมาจากใบหน้าของนาง
พื้นที่ซึ่งเคยมีรอยแผลเป็นถูกแทนที่ด้วยผิวหนังเรียบเนียน
ไม่เหลือร่องรอยของรอยแผลเป็นอีกแล้ว
สุดท้าย ใบหน้าที่งดงามของเยว่หงเซียงก็ฟื้นฟูกลับมาโดยสมบูรณ์
ใบหน้ามีสีขาวอมชมพู จมูกโด่ง แก้มป่องเรียบเนียน หน้าผากโหนกนูน งดงามราวกับรูปสลัก ดวงตาเป็นประกายลึกซึ้งอย่างผู้ที่หมั่นศึกษาวิชาในตำราเรียน สามารถจำกัดความได้ว่านี่คือความงามที่สมบูรณ์แบบชนิดหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เมื่อพบว่าสรรพคุณของโอสถหัวใจพฤกษาสามารถรักษาใบหน้าที่เสียโฉมได้จริง ๆ
หัวใจของเขากลับมาเต้นอย่างเป็นปกติอีกครั้ง
ในอดีต เยว่หงเซียงต้องเสียโฉมเพราะช่วยเหลือเขา นั่นคือความรู้สึกผิดบาปที่คอยกัดกินจิตใจหลินเป่ยเฉินตลอดมา
แม้เยว่หงเซียงจะทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้และไม่แสดงออกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของหลินเป่ยเฉิน แต่ด้วยความรู้สึกผิดที่กัดกินจิตใจ หลินเป่ยเฉินจึงพยายามหาหนทางรักษาใบหน้าของนางมาโดยตลอด
วันนี้ สิ่งที่เขาเคยได้ให้คำสัญญาเอาไว้กลายเป็นจริงแล้ว
อีกครึ่งชั่วยามผ่านพ้นไป
เยว่หงเซียงค่อย ๆ ลืมตากลับขึ้นมา
ดวงตาของนางเป็นประกายระยิบระยับ บรรยากาศในห้องฝึกวิชาคล้ายกับเกิดกระแสไฟฟ้าสถิต
“ข้า…”
เยว่หงเซียงรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดบนใบหน้าตนเอง จึงรีบยกมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าแผ่วเบา
เรียบเนียนปราศจากตำหนิราวกับเป็นผิวของตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
นี่คือสัมผัสที่แตกต่างไปจากรอยแผลเป็นหยาบกร้านซึ่งเคยอยู่บนแก้มอย่างสิ้นเชิง
หัวใจของเด็กสาวเต้นรัวเร็วอย่างควบคุมไม่ได้
หลินเป่ยเฉินไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือไป รีบยื่นส่งกระจกบานเล็กให้แก่เยว่หงเซียง
เด็กสาวมือสั่นเทา รับกระจกไปส่องดูใบหน้าของตนเอง
ทันใดนั้น หยดน้ำตาใส ๆ ก็ไหลลงมาจากดวงตา หยดน้ำตาไหลกลิ้งลงมาบนใบหน้า
ใบหน้าที่สะท้อนอยู่ในกระจกขณะนี้ มีความงดงามสมบูรณ์แบบมากเสียยิ่งกว่าใบหน้าเดิมก่อนที่เยว่หงเซียงจะเสียโฉมอีก
เยว่หงเซียงร้องไห้ออกมาแผ่วเบา ไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นความจริง
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร
เขาเข้าใจความรู้สึกของนางดี
ไม่ว่าจะเป็นในโลกใบไหน ไม่เคยมีสตรีใดที่ไม่รักสวยรักงาม
การกลับมามีใบหน้าที่สวยงามอีกครั้ง ย่อมดีกว่าการยอมรับในความอัปลักษณ์ของโชคชะตา
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เยว่หงเซียงจะตื่นเต้นตื้นตันใจจนร้องไห้ออกมาด้วยความปลาบปลื้ม
แต่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินประหลาดใจก็คือ เยว่หงเซียงสามารถกลับมารักษาท่าทีสงบสุขุมได้รวดเร็วกว่าที่คิด
เพียงสิบลมหายใจเท่านั้น นางก็กลับมาเป็นปกติ
“พี่เป่ยเฉิน ข้าคิดว่าตนเองยังติดค้างคำขอบคุณท่าน”
เยว่หงเซียงมีสีหน้าจริงจังและจริงใจขณะกล่าว “ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่เรียกว่าโอสถหัวใจพฤกษานั้น นอกจากจะช่วยรักษาใบหน้าเสียโฉมของข้าแล้ว มันยังทำให้พลังในร่างกายข้าแข็งแกร่งมากขึ้นอีกด้วย หากข้าเข้าใจไม่ผิด ของสิ่งนี้คงมีมูลค่ามากกว่าศิลาบูชาไม่กี่ก้อนแล้วกระมัง?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มตอบกลับไป “ไม่ว่ามันจะมีค่าเท่าไหร่ สุดท้ายก็มีค่าสู้เจ้าไม่ได้หรอก เสี่ยวเซียงเซียง”
สองแก้มของเยว่หงเซียงพลันแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย นางรีบเปลี่ยนเรื่องโดยทันที “ก่อนหน้านี้ ท่านบอกว่าต้องการความช่วยเหลือจากข้าใช่หรือไม่? ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องราวใดกัน?”
อิอิ ข้าอยากให้เจ้าช่วยปลดผนึกพลังปราณธาตุไม้ให้หน่อยน่ะสิ
หลินเป่ยเฉินคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา เสแสร้งแกล้งกล่าวด้วยเสียงจริงจังว่า “อย่าเพิ่งพูดเรื่องความช่วยเหลืออะไรนั่นเลย ข้ายังมีของขวัญเตรียมเอาไว้ให้เจ้าอีกหนึ่งชิ้น…”
เยว่หงเซียงก้มหน้าลงเล็กน้อย กระซิบว่า “แต่ท่านให้ข้ามาเยอะแล้ว”
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น นางคงปฏิเสธโดยไม่ลังเล
เพราะเยว่หงเซียงไม่อยากติดหนี้บุญคุณผู้ใด
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหน้านางในขณะนี้คือหลินเป่ยเฉิน นางจึงไม่อยากขัดความตั้งใจของหลินเป่ยเฉินและนางก็ไม่อยากทำให้เขาผิดหวัง
โชคดีที่หลินเป่ยเฉินรู้จักนิสัยของเยว่หงเซียงเป็นอย่างดี เขาจึงได้เตรียมข้อแก้ตัวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้นางคิดปฏิเสธก็ไม่มีผลอันใด “เจ้ากับข้ายังต้องเกรงใจอะไรกันอีก? แต่ที่สำคัญนะ การที่เจ้ายอมรับของขวัญชิ้นต่อไปนี้ ก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือข้าไปในตัว นอกจากนี้ มันยังเป็นการช่วยเหลือกลุ่มสัมพันธมิตรในการปกป้องจักรวรรดิเป่ยไห่และแผ่นดินตงเต้าอีกด้วย…”
“เป็นของขวัญอะไรหรือเจ้าคะ?”
เยว่หงเซียงอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
หลินเป่ยเฉินนำลูกแก้วเทพเจ้าออกมาใบหนึ่ง “นี่คือของขวัญเล็กน้อย เอาไว้ใช้ดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ เจ้าชำนาญเรื่องการสร้างค่ายอาคมไม่ใช่หรือ? ลูกแก้วใบนี้มีพลังที่ส่งผลดีต่อนักสร้างค่ายอาคมโดยเฉพาะ นับว่าเหมาะสมกับเจ้าเป็นอย่างยิ่ง”
นี่คือลูกแก้วเทพเจ้าประจำตำแหน่งเทพีบรรณารักษ์
ภาพมายาที่อยู่ในลูกแก้วเป็นภาพของสตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางชั้นวางหนังสือสูงเสียดฟ้า รอบกายเรืองแสงด้วยอักขระอาคมจำนวนมาก
นี่คือตำแหน่งเทพเจ้าระดับสูง เป็นของขวัญที่หลินเป่ยเฉินคัดเลือกเอาไว้ให้เยว่หงเซียงนับตั้งแต่ตอนที่เขายังอยู่บนดินแดนทวยเทพ
เยว่หงเซียงคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย แต่แล้วก็ยอมรับของขวัญแต่โดยดี
และภายใต้การแนะนำของหลินเป่ยเฉิน การหลอมรวมตำแหน่งเทพเจ้าก็เริ่มขึ้น
การหลอมรวมตำแหน่งเทพเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย นับว่ามีความซับซ้อนมากกว่าการดูดซับพลังจากโอสถหัวใจพฤกษา
แต่โชคดีที่เยว่หงเซียงดูดซับพลังจากโอสถหัวใจพฤกษาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ร่างกายของนางจึงพร้อมรับตำแหน่งเทพเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหา
เดิมที หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าเยว่หงเซียงต้องใช้เวลาในการหลอมรวมตำแหน่งประมาณสิบวัน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวผู้ยากจนจากเมืองหยุนเมิ่งจะได้ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องตกตะลึงเป็นครั้งที่สองในค่ำคืนนี้ เนื่องจากนางสามารถหลอมรวมตำแหน่งเทพีบรรณารักษ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
“เฮ้ย นี่มัน…”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เยว่หงเซียงทำเวลาได้รวดเร็วยิ่งกว่าตอนที่ดูดซับพลังจากโอสถหัวใจพฤกษาเสียอีก
นางคงไม่ได้มีความลับสำคัญปิดบังเขาอยู่หรอกนะ?
“เจ้าทำได้อย่างไร?”
เด็กหนุ่มถามออกมาด้วยความสงสัยไม่รู้ตัว
“ง่ายมากเลยเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามคำแนะนำของท่าน เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว” เยว่หงเซียงตอบรับกลับมาด้วยสีหน้าเป็นปกติ “ไม่ทราบว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”
เพราะไม่อยากทำให้ความภาคภูมิใจของเยว่หงเซียงต้องสูญสลายลงไป หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้ตอบคำใด นอกจากเปลี่ยนเรื่องถามไปว่า “บัดนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
เยว่หงเซียงตอบกลับมาว่า “รู้สึกดีเจ้าค่ะ”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ช่างเป็นคำตอบที่เรียบง่ายดีแท้
หลินเป่ยเฉินแอบถอนหายใจและเปลี่ยนเรื่องพูดอีกครั้ง “นี่ เจ้าบอกว่าอยากจะช่วยเหลือข้าไม่ใช่หรือ? บัดนี้ได้เวลาแล้ว ข้ามีของลับบางอย่างอยากจะให้เจ้าดูเป็นการส่วนตัว”
เมื่อเยว่หงเซียงได้ยินคำนั้น ใบหน้าที่สวยงามก็ร้อนผ่าวราวกับมีเปลวไฟแผดเผา
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือออกไปจับมือนางไว้พร้อมกับกล่าวว่า “นี่ยังไม่ดึกมากเกินไป พวกเรายังมีเวลา เจ้าตามข้ามาเถอะ เราไปหาที่เงียบ ๆ อยู่กันตามลำพัง ข้าจะนำของลับออกมาให้เจ้าดูเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
หัวใจของเยว่หงเซียงยิ่งเต้นระรัวมากกว่าเดิม
นางคิดว่านี่ออกจะเป็นเรื่องที่เร็วเกินไปสักหน่อย
ไม่ใช่ว่าเยว่หงเซียงไม่ยินยอม แต่มันกระทันหันมากเกินไป
ถึงกระนั้น รู้ตัวอีกทีนางก็จับมือหลินเป่ยเฉินแนบแน่นแล้ว ก่อนที่สภาพแวดล้อมรอบกายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ
ทั้งสองก็มาปรากฏตัวอยู่บนเกาะร้างกลางทะเลนอกชายฝั่งเมืองหยุนเมิ่ง
ตึง!
หลินเป่ยเฉินนำหุ่นเหล็กมฤตยูออกมา
หุ่นเหล็กมีความสูงเท่ากับภูเขาลูกยักษ์ พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากใจกลางหุ่นเหล็กทำให้ต้นไม้โดยรอบหักโค่นลงทันที
“นี่มัน…”
เยว่หงเซียงเข้าใจทุกอย่างแล้ว ปรากฏว่าหุ่นเหล็กตัวนี้เองเป็นของลับที่หลินเป่ยเฉินอยากจะให้นางดู
หลินเป่ยเฉินบอกเล่าข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นเหล็กเทพเจ้าอย่างคร่าว ๆ และกล่าวต่อ “หุ่นตัวนี้ลงค่ายอาคมเอาไว้จำนวนมาก น่าจะเป็นค่ายอาคมระดับสูง พวกเราจะสลายค่ายอาคมเหล่านั้นได้หรือไม่ล้วนก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เสี่ยวเซียงเซียง”