เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 147 นักพรตหญิงชิน
บทที่ 147 นักพรตหญิงชิน
ชุดเสื้อคลุมที่นางสวมใส่ได้รับการตัดเย็บมาอย่างประณีต ช่วยส่งเสริมให้เด็กสาวดูงดงามมากยิ่งขึ้น
ตรงไหนที่ควรโค้งก็โค้ง ตรงไหนที่ควรเว้าก็เว้า
ไม่ว่ามองจากมุมไหน มู่ซินเยว่ก็ยังคงเป็นเด็กสาวที่ให้ความรู้สึกเร่าร้อนมากสุดตั้งแต่หลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาอยู่ที่นี่ นางมีส่วนผสมระหว่างความไร้เดียงสากับความเย้ายวนชวนหลงใหล ทุกคนต่างดูออกว่ามู่ซินเยว่เป็นเสมือนดอกไม้แรกแย้ม ที่ยิ่งมีแต่ความเปล่งปลั่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้นยามนางเติบโตมากกว่านี้
แม้ไม่สามารถผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ความนิยมของมู่ซินเยว่ภายในสถานศึกษากระบี่ที่ 3 ก็ไม่ได้ลดลงเลยสักนิดเดียว
แต่ถึงเด็กสาวจะอุตส่าห์มายืนรอขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงก็ไม่ตอบรับคำใดแม้แต่น้อย พวกเขาเดินผ่านไปโดยไม่ได้มองหน้ามู่ซินเยว่สักแวบด้วยซ้ำ ราวกับว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอากาศธาตุก็ไม่ปาน
รอยยิ้มของมู่ซินเยว่แข็งค้างอยู่บนใบหน้า
นางก้มหน้าต่ำ ยืนจมอยู่ในห้วงภวังค์เล็กน้อย สุดท้ายก็ถอนหายใจ หมุนตัวเดินกลับไปสู่ห้องเรียนของตนเอง
หลินเป่ยเฉินกับเยว่หงเซียงแยกกันไปเข้าเรียนห้องใครห้องมัน
แต่เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินมาถึงประตูห้อง 9 เขาก็เห็นเด็กสาวจากชั้นเรียนปี 1 ที่ชื่อไป๋ชินหยุนมายืนรออยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่นางเห็นหน้าเขา เด็กสาวก็ตะโกนลั่น “หลินเป่ยเฉิน ในที่สุดท่านก็มาถึงเสียที รีบไปเป็นคู่ซ้อมกระบี่ให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ขอผ่านก็แล้วกัน” หลินเป่ยเฉินตอบกลับอย่างเกียจคร้าน
“วันมะรืนนี้ก็จะมีการฝึกพิเศษแล้วนะ แต่ข้ายังใช้งานวิชากระบี่ทลายภูผาได้ไม่คล่องแคล่วเลย ท่านช่วยแนะนำข้าหน่อยสิ” ไป๋ชินหยุนพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เดี๋ยวข้าจะจ่ายให้รอบละ 20 เหรียญเงิน ท่านว่าดีไหม?”
“20 เหรียญเงินต่อรอบ…” หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ยกมือกอดอก แล้วถามว่า “ต่อรอบอะไร?”
ไป๋ชินหยุนตอบกลับโดยเร็วว่า “หากท่านเอาชนะข้าได้หนึ่งรอบ ก็จะได้รับไปเลย 20 เหรียญเงิน”
“เฮอะ! แล้วก็ไม่บอกให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ว่าแต่ทำไมวันนี้ยัยเด็กนี่ใจป้ำจังเลยวะ?”
หลินเป่ยเฉินคิด แล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ใช่คนหิวเงินขนาดนั้น เจ้าหาคนอื่นไปเป็นคู่ซ้อมเถอะ”
“ท่านเนี่ยนะไม่เห็นแก่เงิน? ฮึ! เชอะ!”
เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินปฏิเสธโดยไม่ลังเล ไป๋ชินหยุนก็เดินย่ำเท้าตึงตังออกไปจากหน้าประตูห้อง 9 กลับห้องเรียนของตนเองพร้อมกับความผิดหวัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศก็คึกคักขึ้นมาทันที
เด็กสาวจำนวนไม่น้อยวิ่งเข้ามาห้อมล้อมเขา ทำเป็นสอบถามว่าหลินเป่ยเฉินมีเคล็ดลับในการฝึกวิชาอย่างไรบ้าง ลักษณะเหมือนเขินอาย แต่ที่แท้เป็นการเสแสร้งแกล้งดัดทุกประการ
หลินเป่ยเฉินต้องคอยย้ำเตือนตัวเองว่าเขาจะปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเด็กสาวเหล่านี้ไม่ได้เด็ดขาด
แต่ในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินจอมเสเพลคนเดิมเอาไว้ เด็กหนุ่มจึงไม่มีทางเลือกนอกจากไหลตามน้ำ เขาจับไม้จับมือเด็กสาวเหล่านั้นขณะบอกเล่าเรื่องราววีรกรรมระหว่างการแข่งขันที่ผ่านมา รวมถึงสอนให้พวกนางรู้ด้วยว่า ‘เส้นชีวิต’ ‘เส้นการงาน’ และ ‘เส้นความรัก’ บนลายมือของพวกนางนั้นอยู่ตรงไหนบ้าง
หลินเป่ยเฉินมีสาวๆ ล้อมกาย ใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข แต่จังหวะนั้นเอง มีเสียงเรียกชื่อดังขึ้นจากด้านนอก หลินเป่ยเฉินตะโกนตอบกลับไปโดยไม่ได้เหลียวมอง “เจ้าจะเรียกทำไม ข้ายุ่งอยู่ไม่เห็นหรือไง…”
แต่กลุ่มเด็กสาวที่ยืนล้อมกายเขาอยู่กลับแตกฮือ แยกย้ายกันไปคนละทิศละทางเมื่อบุคคลผู้นั้นเดินเข้ามา
“อ้าว? พวกเจ้าจะไปไหนกัน…มีอะไรงั้นหรือ?”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเหลียวมองกลับไปข้างหลัง ก็ต้องสบสายตาเข้ากับฉู่เหิน หัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปี ซึ่งกำลังจ้องมองมาด้วยแววตาอำมหิต
หลินเป่ยเฉินเดินปั้นยิ้มเข้าไปคำนับฉู่เหินอย่างไม่สะทกสะท้าน “อรุณสวัสดิ์ขอรับ อาจารย์ฉู่…เมื่อสักครู่ ข้าเพียงพยายามปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมห้องเท่านั้น”
“ไปวิหารเดี๋ยวนี้” ฉู่เหินออกคำสั่ง ไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
…
2 เค่อต่อมา…
จัตุรัสซางเกาอยู่ใจกลางเมืองหยุนเมิ่ง
วิหารเทพกระบี่ตั้งอยู่ที่นี่
เทพเจ้าที่ชาวจักรวรรดิเป่ยไห่กราบไหว้บูชา ก็คือเทพแห่งกระบี่
เช่นเดียวกับมือกระบี่เกือบทุกคนในโลกใบนี้
จักรวรรดิเป่ยไห่มีฉายานามว่าจักรวรรดิแห่งกระบี่ เนื่องจากสามารถก่อร่างสร้างจักรวรรดิขึ้นมาได้ ก็เพราะมีฝีมือกระบี่เป็นเลิศ
เทพแห่งกระบี่ก็เหมือนกับเทพเจ้าทั่วไป มีวิหารมากมายตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ ของจักรวรรดิ เพื่อให้ชาวบ้านได้มีโอกาสเข้าไปกราบไหว้บูชาและขอพร
เมืองหยุนเมิ่งมีฐานะต่ำต้อยที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของจำนวนประชากรหรือขนาดเมือง ดังนั้น ที่นี่จึงมีวิหารเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ส่วนเมืองอื่นๆ ในมณฑลเฟิงอวี่ อย่างน้อยแต่ละเมืองก็ต้องมี 10 แห่งขึ้นไปทั้งสิ้น
“หากเราไปถึงแล้ว รบกวนเจ้าช่วยสงบปากสงบคำด้วย อย่าพูดจาอะไรเหลวไหลอีก จะได้ไม่เป็นการไปดูหมิ่นท่านเทพโดยไม่รู้ตัว” ฉู่เหินย้ำเตือนประโยคนี้กับเด็กหนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่าระหว่างที่โดยสารอยู่บนรถม้า
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงักตอบรับกลับไป
อย่าว่าแต่จะให้สงบปากสงบคำเลย เขายินดีแกล้งตายด้วยซ้ำ ถ้ามันจะทำให้ท่านเทพอะไรนั่นไม่มาสนใจเขาได้
หลินเป่ยเฉินไม่สนสักนิดว่าจะสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุของตนเองสำเร็จหรือไม่
เมื่อลงจากรถม้าแล้ว สองศิษย์อาจารย์ก็เดินขึ้นบันไดไปยังตัววิหาร
ที่นี่มีสาวกรวมตัวกันอยู่หลายร้อยคน มีทั้งหญิงทั้งชาย มีทั้งเด็กและแก่ชรา บางส่วนกำลังนั่งหลับตาคุกเข่าประนมมืออยู่หน้าแท่นหิน ปากพึมพำเหมือนบริกรรมคาถา หรืออาจจะกำลังขอพรอยู่ก็เป็นได้
สีหน้าของกลุ่มคนเหล่านั้นบอกถึงความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างแท้จริง
ฉู่เหินเดินนำหลินเป่ยเฉินผ่านจัตุรัสกว้างมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าวิหาร
“ท่านคงเป็นอาจารย์ฉู่?”
เสียงสดใสของโฉมสะคราญนางหนึ่งดังขึ้น
นางเป็นนักพรตหญิงผู้สวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์ บัดนี้ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวิหาร กำลังเดินออกมาต้อนรับอาคันตุกะ
แม้ใบหน้าจะมีผ้าคลุมปิดเอาไว้ แต่เมื่อพินิจดูจากทรวดทรงองค์เอว ก็พอคาดเดาได้ว่าน่าจะเป็นหญิงงามคนหนึ่งทีเดียว
นักพรตหญิงท่านนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เสมือนมีรัศมีสีขาวสว่างเรืองรองแผ่ออกมาตลอดเวลา ชวนให้ผู้ที่จ้องมองรู้สึกเคารพเลื่อมใสและอยากจะกราบไหว้ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ท่านนักพรตหญิงชินอุตส่าห์ออกมาต้อนรับข้าด้วยตัวเองเช่นนี้ ต้องขออภัยที่รบกวนแล้ว”
ฉู่เหินรีบประสานมือคำนับหญิงสาวทันที กิริยาท่าทางของเขา บอกถึงความเคารพเป็นอย่างสูง
หลินเป่ยเฉินทำตามผู้เป็นอาจารย์ทุกอย่าง
“อาจารย์ฉู่ไม่ต้องเกรงใจ”
หญิงสาวผู้ถูกเรียกว่านักพรตหญิงชินเปิดผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าที่สุดแสนจะงามงด
นางเป็นสตรีอายุประมาณ 25 ถึง 26 ปี ใบหน้าสะสวยสมบูรณ์แบบ แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังต้องอ้าปากค้าง โดยเฉพาะผมยาวสลวยสีเงินยวงกับคิ้วโค้งโก่งเรียวเหนือดวงตาคู่นั้น ถ้าบอกว่านางเป็นเทพีที่หลุดออกมาจากนิทานปรัมปราของดินแดนตะวันตก หลินเป่ยเฉินก็ยินดีเชื่อหมดหัวใจ
แต่สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสะดุดใจเล็กน้อย ก็คือนางทำให้เขานึกถึงใครบางคน
นักพรตหญิงชินมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับ…
หลิงเฉิน?
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้นสูง
นางเหมือนหลิงเฉินในแบบฉบับที่มีอายุมากกว่ากัน 10 ปีและย้อมผมเป็นสีเงิน เพื่อแต่งคอสเพลย์เป็นนางฟ้าจากในนิทานต่างประเทศ
ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนชะมัด!
“ท่านทั้งสองโปรดตามข้ามา”
นักพรตหญิงชินกวาดสายตาประเมินหลินเป่ยเฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนหมุนตัวแล้วเดินนำทางเข้าไปในวิหาร
โดยปกติแล้ว ผู้ที่มากราบไหว้ขอพรจะต้องอยู่เพียงบริเวณลานจัตุรัสด้านหน้าเท่านั้น
ผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปสวดภาวนาหรือกราบไหว้ขอพรในตัววิหาร ถ้าไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย ก็ต้องเป็นพวกขุนนางสูงศักดิ์
แต่ดูเหมือนฉู่เหินจะจัดเตรียมเรื่องพิธีเปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุของหลินเป่ยเฉินไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น หัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 จึงไม่ต้องรออยู่ด้านนอก
มีเส้นสายมันก็ดีแบบนี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินเดินตามอาจารย์และนักพรตหญิงไปอย่างว่าง่าย
ตัววิหารถูกก่อสร้างแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด หลังคาทรงโดมครอบคลุมอยู่ด้านบน เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาแล้ว ก็จะพบว่าอีกฝั่งหนึ่งเปิดโล่งไม่มีผนัง
รูปปั้นของเทพกระบี่หลายสิบรูปตั้งเรียงรายอยู่ด้านใน มีตัวหนึ่งหลินเป่ยเฉินจำได้ว่าเห็นมันตั้งอยู่ที่ลานจัตุรัสด้านนอกด้วยเช่นกัน
พื้นหยกขาวที่อยู่ใต้เท้าเขาขณะนี้ แกะสลักเป็นรูปมือกระบี่กำลังต่อสู้กัน
วิหารเทพกระบี่มีการสร้างค่ายอาคมเอาไว้ทั้งด้านในนด้านนอก เมื่อเดินเข้ามา ก็จะมีสายลมอ่อนๆ โชยพัดมาแตะต้องผิวกายช่วยทำความสะอาด คอยรักษาให้ตัววิหารปราศจากสิ่งสกปรก
ส่วนเรื่องของการตกแต่งนั้น ก็เหมือนกับวิหารบูชาเทพเจ้าทั่วๆ ไป
บัดนี้ มีเด็กสาวหน้าตาสดใสอายุประมาณ 15 ถึง 16 ปีจำนวนหนึ่งกำลังจัดการงานภายในวิหารตามหน้าที่ พวกนางสวมใส่ชุดเสื้อคลุมนักพรตสีขาวบริสุทธิ์ กระบี่ยาวเหน็บอยู่ข้างเอว บางครั้งก็จะหันมามองที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว ก่อนจะหันกลับไปกระซิบกระซาบกันด้วยความตื่นเต้น
“อย่าบอกนะว่าสาวๆ เหล่านี้กำลังแอบกระซิบกันเรื่องความหล่อของเราเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินคิดแล้วก็ยิ้มกับตัวเอง “เฮ้อ ดูสิ ขนาดนักพรตหญิงฝึกหัดในวิหารเทพกระบี่ ยังต้านทานอานุภาพความหล่อเหลาของเราไม่ได้ เป็นคนหล่อมันช่างน่าเหนื่อยใจจริงๆ”
คนหล่อจะย่างเท้าไปที่ไหน ก็มักได้รับความสนใจเสมอ
และมักดึงดูดสตรีที่หน้าตางดงามได้เสมอเช่นกัน
แต่หลินเป่ยเฉินก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่า ในวิหารเทพกระบี่มีแต่นักพรตสาวเต็มไปหมด ไม่มีผู้ชายอยู่เลยสักคนเดียว
มิหนำซ้ำ แต่ละคนล้วนยังอายุน้อยและมีหน้าตางดงามทั้งสิ้น
“หรือว่าไอ้เทพกระบี่อะไรนี่ จะเป็นพวกบ้ากามตัณหากลับหว่า?”
ตอนที่หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย นักพรตหญิงชินก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “เรามาถึงแล้ว เจ้าต้องสวดภาวนาทำความเคารพต่อรูปปั้นท่านเทพกระบี่ จากนั้นจึงนำของสักการะไปมอบให้แก่ท่าน”
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขาขณะนี้คือรูปปั้นเทพกระบี่
เมื่อหลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองก็ได้แต่พิศวงอยู่ในใจ
เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าเทพกระบี่จะเป็นผู้หญิง
รูปปั้นเทพกระบี่จัดทำขึ้นจากแก้วใส เป็นรูปปั้นของหญิงสาวที่มีทรวดทรงเย้ายวนใจบุรุษ นางสวมใส่ชุดเกราะออกรบ สะโพกผายกลมกลึง ท่อนแขนและท่อนขาเรียวยาว สองเท้าใส่รองเท้าบูททหารยาวขึ้นมาถึงหัวเข่า ช่วงเอวโค้งเว้า ใบหน้าแกะสลักลงรายละเอียดถึงความงามได้ครบถ้วน เส้นผมที่ยาวสลวยนั้นก็ถูกแกะสลักให้มีระดับความยาวถึงน่องขาเลยทีเดียว
ปลายกระบี่ที่อยู่ในมือนางชี้เฉียงลงพื้น
ด้วยลักษณะทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวถึงนี้ รูปปั้นเทพกระบี่หญิงทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงเจ้าหญิงไดอาน่าแห่งเผ่าอเมซอนจากภาพยนตร์เรื่องวันเดอร์วูแมนบนโลกมนุษย์ขึ้นมาทันที เพราะพวกนางต่างก็สวมใส่ชุดนักรบคล้ายๆ กัน แถมมีเสน่ห์ดึงดูดใจชายหนุ่มกลัดมันเหมือนๆ กันอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจว่าเทพกระบี่เป็นผู้ชายมาตลอด
“เจ้ายังมัวรออะไรอยู่อีก?”
ฉู่เหินคุกเข่าลงไปก่อนเป็นคนแรก
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือกนอกจากคุกเข่าตามอาจารย์
“หลับตาลงแล้วสำรวมจิตใจ ระหว่างนั้นก็สำนึกบุญคุณที่ท่านเทพกระบี่ช่วยปกป้องมือกระบี่ทุกคนในจักรวรรดิเป่ยไห่ อย่าคิดทำอะไรพิเรนท์เด็ดขาด ตราบใดที่เจ้าศรัทธาหมดหัวใจ ก็จะสัมผัสได้ถึงพลังของท่านเทพเอง” ฉู่เหินพูด
หลินเป่ยเฉินหลับตาลงตามที่อาจารย์ฉู่บอกแต่โดยดี
ทว่า ในหัวใจเด็กหนุ่มไม่ได้กำลังสำนึกขอบคุณหรือสวดภาวนาใดๆ ต่อเทพกระบี่เลย
ที่มายังวิหารเทพกระบี่ในครั้งนี้ ก็เพราะมันเป็นหน้าที่ซึ่งเขาหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความปรารถนาเดียวที่หลินเป่ยเฉินมี คืออย่าให้เทพกระบี่มาสนใจคนเช่นเขาเลย
การสวดภาวนาดำเนินไปเป็นเวลากว่า 2 เค่อ
แล้วทุกอย่างก็จบสิ้นลง
เมื่อสวดภาวนาเสร็จแล้ว ฉู่เหินก็หันหน้ากลับมาสอบถามเด็กหนุ่มว่า “เจ้ารู้สึกอะไรบ้างไหม?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าดิก
ความเปลี่ยนแปลงเดียวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือหลินเป่ยเฉินสังเกตพบว่า นักพรตหญิงชินผู้มีเส้นผมสีเงินยวงได้หายตัวไปจากด้านในวิหารเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอนำของสักการะไปกราบไหว้ เราค่อยมาลองกันใหม่อีกครั้ง”
ระหว่างที่อาจารย์ฉู่ให้กำลังใจ เขาก็ล้วงก้อนหินแก้วใสสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่ากำปั้นมือคนออกมาจากด้านในอกเสื้อ และวางมันไว้บนถาดสำหรับวางสิ่งของสักการบูชาเบื้องหน้ารูปปั้นเทพกระบี่
ก่อนเริ่มพิธี ผู้เป็นหัวหน้าอาจารย์ประจำชั้นปีที่ 2 มั่นใจเป็นนักหนาว่าหลินเป่ยเฉินจะสามารถเปิดจุดก่อกำเนิดปราณธาตุได้โดยไม่ต้องใช้ของสักการะสักชิ้นเดียว แต่ดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่เป็นอย่างที่คิดเสียแล้ว ฉู่เหินจึงไม่มีทางเลือกนอกจากปฏิบัติตามขั้นตอนดำเนินพิธีปกติ
เมื่อวางก้อนหินสีน้ำเงินนั้นเรียบร้อย ฉู่เหินก็เหลียวหน้ามองมาที่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินมองตอบกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ เสียเวลาคิดอยู่เล็กน้อย จึงได้รู้ว่าอาจารย์ฉู่เหินอยากให้เขานำของไปสักการะเทพกระบี่ด้วยเช่นกันนั่นเอง
“แต่ก่อนหน้านี้ไม่เห็นบอกให้เตรียมของอะไรมาเลยนี่นา”
ถึงจะสงสัยใคร่รู้ว่าต้องใช้ของอะไรบ้าง แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่กล้าสอบถามออกมาตรงๆ
มือกระบี่ทุกคนที่มายังวิหารเทพกระบี่ จะต้องเตรียมสิ่งของมาสักการะท่านเทพอยู่แล้วหรือเปล่านะ?
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ อาจทำให้ความลับของตนเองถูกเปิดเผยก็เป็นได้
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรก นั่งลังเลอยู่อีกครู่ใหญ่ ก็หยิบเหรียญทองออกมาโยนเล่นในมือเป็นจำนวน 10 เหรียญ ก่อนที่จะเก็บเข้ากระเป๋าไป 7 เหรียญ และนำอีก 3 เหรียญที่เหลือไปวางไว้บนถาดหน้ารูปปั้นเทพกระบี่ แต่จังหวะที่กำลังจะหมุนตัวคลานกลับออกมานั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็เกิดเปลี่ยนใจ เอื้อมมือกลับไปหยิบคืนมาอีก 2 เหรียญ
ฉู่เหินได้แต่อ้าปากค้างให้กับพฤติกรรมของศิษย์เอกประจำสถาบัน
เจ้านี่ตั้งใจจะสักการะท่านเทพเพียงเหรียญเดียวเองหรือ?
ตอนแรกที่หยิบออกมา 10 เหรียญและเก็บคืนกลับไป 7 เหรียญก็ยังพอทำเนา
แต่การวางเหรียญไปบนถาดแล้ว 3 เหรียญ ก่อนหยิบคืนมา 2 เหรียญ นี่หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะกวนประสาทเทพกระบี่หรืออย่างไร? หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้คิดรนหาที่ตายอีกแล้ว?
“วางเหรียญคืนไปเดี๋ยวนี้” ฉู่เหินคำรามเสียงเหี้ยม
หลินเป่ยเฉินจึงต้องวางเหรียญทองทั้ง 2 เหรียญนั้นกลับคืนลงไปบนถาดอย่างไม่เต็มใจนัก
“นี่คงเป็นครั้งแรกในโลกเลยกระมังที่มือกระบี่นำเหรียญทองมาสักการะท่านเทพ” ฉู่เหินมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาจริงจัง และพยายามสั่งสอนต่อไปว่า “จงตั้งสมาธิให้ดี ขืนเจ้าลบหลู่ท่านเทพอีก หนทางการฝึกวิชาของเจ้าคงจบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังอีกครั้ง
แต่ในหัวใจกำลังคร่ำครวญด้วยความเสียดายว่า
“แม่ง 3 เหรียญเชียวนะโว้ย!”
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินตั้งใจจะใช้เงินทุกเหรียญให้คุ้มค่ามากที่สุด เพราะอย่างน้อย เขาต้องเสียเหรียญทองคำจำนวน 5 เหรียญทุกวันเพื่อชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็ม นั่นหมายความว่าในหนึ่งเดือน เขาจะต้องเสียค่าชาร์จโทรศัพท์ทั้งหมด 150 เหรียญทองคำ และด้วยจำนวนเหรียญทองที่เขามีขณะนี้ ถ้าไม่นำเงินจำนวนนั้นออกมาใช้ซื้ออาหารหรือใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เขาก็จะสามารถชาร์จโทรศัพท์ได้ทุกวัน เป็นเวลาสองปีกับอีกหลายเดือน
แต่ถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิดให้ต้องเสียเงินเช่นนี้อีกเรื่อยๆ เกรงว่าคงมีเหลือให้ชาร์จแบตอีกไม่ถึงสองปีแน่ๆ
“อาจารย์ฉู่ขอรับ ก้อนหินที่ท่านนำไปสักการะมันคืออะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องโดยเร็ว
“มันเรียกว่าศิลาปราณธาตุ เป็นหินแก้วใสชนิดหนึ่งที่รวบรวมพลังปราณธาตุจากดินฟ้าอากาศเอาไว้ นอกจากหายากแล้วยังมีราคาแพงอีกด้วย เป็นอาจารย์ติงของเจ้านั่นแหละที่จัดเตรียมไว้ให้ เขาหวังว่าเจ้าจะทำให้ท่านเทพกระบี่ประทับใจ และช่วยให้เจ้าเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุได้อย่างราบรื่น” ฉู่เหินอธิบาย
“อาจารย์ติงช่างดีกับเราเหลือเกิน ถึงขนาดจัดเตรียมของสักการะให้เลยหรือนี่” หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความซาบซึ้งใจ
นับตั้งแต่ที่วิญญาณของเขาทะลุมิติมาอยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ ติงซานฉือก็นับเป็นหนึ่งในคนที่มีบุญคุณกับหลินเป่ยเฉินมากที่สุด
“แต่น่าเสียดายที่เราไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับเทพกระบี่เลยสักนิด”
หลินเป่ยเฉินพึมพำอยู่ในใจด้วยความเศร้า
“เอาล่ะ เจ้ากลับมาสวดภาวนาต่อได้แล้ว”
หลังจากหันมาออกคำสั่งใส่เด็กหนุ่ม ฉู่เหินก็หลับตาลงทำสมาธิและเริ่มต้นสวดภาวนาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นสวดมนต์ เชื่อฟังเป็นอย่างดี
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มก็เริ่มทนไม่ไหว
เขาคุกเข่าจนรู้สึกปวดขาไปหมด
หลินเป่ยเฉินแอบลืมตาขึ้นมา แล้วก็ได้พบกับภาพอันแปลกประหลาด…
รูปปั้นหินใสของเทพกระบี่ปรากฏลำแสงเรืองรองออกมาเล็กน้อย เช่นเดียวกับศิลาปราณธาตุซึ่งวางอยู่บนถาดเบื้องหน้า บัดนี้ก้อนหินใสก้อนนั้นเหมือนมีละอองน้ำระเหยขึ้นไปหารูปปั้นเทพกระบี่อยู่ตลอดเวลา
“หรือว่าเทพกระบี่…กำลังรับของสักการะอยู่?” หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตกตะลึง
งั้นที่วิหารแห่งนี้ก็มีเทพกระบี่สถิตอยู่จริงๆ น่ะสิ?
จังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินขนลุกเกรียวไปทั่วร่างกาย
หัวใจกระตุกวูบ ได้แต่ร่ำร้องบอกตัวเองว่าแย่แล้ว
เกิดเทพกระบี่ปรากฏตัวขึ้นมาจริงๆ ความลับเรื่องที่เขาเป็นวิญญาณทะลุมิติมาจากโลกอื่น คงต้องถูกเปิดโปงเป็นแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ได้ข่าวว่าเทพเจ้าเหล่านี้มีพลังมหาศาลเสียด้วย
สัญชาตญาณร้องสั่งให้หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งหนีออกไปจากวิหารเทพกระบี่เดี๋ยวนี้
แต่ขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง…
ติ๊ง!
เสียงการแจ้งเตือนจากแอปวีแชทก็ดังขึ้น
“นายท่านเจ้าคะ มีคนแอดเฟรนด์มาในวีแชทเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงอันอ่อนหวานของเสี่ยวจี้รายงาน
พร้อมกันนั้น ภาพโฮโลแกรมของหน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และมันก็เป็นหน้าต่างของแอปพลิเคชั่นวีแชท
ขณะนี้ โทรศัพท์กำลังแจ้งเตือนว่าเด็กหนุ่มมีข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน
โชคดีที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นการฉายภาพจากโทรศัพท์มือถือของเขาได้ นอกจากจะใช้งานแอปจำลองภาพ 4 มิติเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินกดเข้าไปดูข้อความใหม่โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
ปรากฏว่าเป็นการแจ้งเตือน มีคนแอดเพื่อนเข้ามา
ดูจากบัญชีผู้ใช้งานแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้หญิง ใช้ชื่อว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นาม
นางใช้ภาพท่อนขาขาวยาวเรียวคู่หนึ่งเป็นรูปโปรไฟล์
“ขาสวยจัง”
หลินเป่ยเฉินคิดโดยไม่รู้ตัวขณะกดตอบรับเป็นเพื่อน
เขารอไม่ไหวแล้วที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่
เมื่อชื่อของนางปรากฏอยู่ในรายชื่อเพื่อนเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็กดเข้าไปดูวีแชท โมเมนต์ของอีกฝ่ายทันที
แต่ดูเหมือนระบบจะตั้งค่าเอาไว้ให้แสดงโมเมนต์ช่วง 3 วันหลังสุดเท่านั้น
และบุคคลที่แอดเพื่อนมานี้ ก็ไม่ได้โพสต์อะไรเลยตลอด 3 วันที่ผ่านมา
หลินเป่ยเฉินรีบทักแชทไปหาทันทีว่า…
“สวัสดี เจ้าเป็นใคร?”
พริบตาต่อมา ใต้ข้อความของเขาก็ปรากฏการแจ้งเตือนว่าส่งข้อความสำเร็จ
แต่รออยู่นานสองนาน ผู้ที่ใช้นามแฝงว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นามก็ยังไม่ตอบ
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกร้อนใจ
ฉู่เหินยังคงคุกเข่าสวดภาวนาต่อไป ไม่รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นรอบกาย
แต่อันที่จริงมันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งนั้น
ดูเหมือนรูปปั้นเทพกระบี่ที่กำลังเปล่งรัศมีเรืองรองอยู่นี้ จะไม่สามารถตรวจจับการมีอยู่ของโทรศัพท์มือถือได้เลย
“งั้นหมายความว่าตอนนี้เรายังปลอดภัยอยู่สินะ?”
หลินเป่ยเฉินเริ่มเบาใจได้บ้างเล็กน้อย
แต่ในจังหวะนั้น หลินเป่ยเฉินก็เห็นการแจ้งเตือนว่ามีคนมาคอมเมนต์ในวีแชท โมเมนต์ที่เขาโพสต์ทิ้งเอาไว้
“หืม?”
เด็กหนุ่มรีบกดเข้าไปดูโดยเร็ว
แล้วเขาก็พบว่ารูปเซลฟี่ที่โพสต์ไปเมื่อวานนี้ เพื่อนใหม่ที่ชื่อเทพีกระบี่หิมะไร้นามได้มาพิมพ์คอมเมนต์เอาไว้ว่า
“โอ้โห ทำไมถึงได้หล่อเหลาอย่างนี้ เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่าจ๊ะ? จุ๊บจุ๊บ”
หลินเป่ยเฉินถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?”
เขาพิมพ์ตอบกลับไปใต้คอมเมนต์นั้นว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าคือเทพีฝึกหัดที่ทำงานหนักที่สุด อ่อนหวานที่สุด งดงามที่สุด และน่ารักที่สุดในดินแดนแห่งเทพเจ้า มีนามว่าเทพีกระบี่หิมะไร้นาม”
อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาเร็วไว
“เทพีฝึกหัดเนี่ยนะ?” หลินเป่ยเฉินพิมพ์ถามกลับไปด้วยความสงสัย
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาว่า “เราอย่าคุยเรื่องรายละเอียดงานกันเลยดีกว่า ว่าแต่เจ้าเถอะ สังกัดอยู่เขตแดนไหนกัน?”
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจว่า “ลักษณะยัยนี่ต้องเป็นพวกสวยแต่โง่แหงๆ”
คงไม่มีทางที่นางจะเป็นเทพกระบี่ตัวจริงหรอกกระมัง?
หลินเป่ยเฉินเริ่มคาดคะเนไปต่างๆ นานาอีกครั้ง