เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1475 ลอบสังหาร
ตอนที่ 1,475 ลอบสังหาร
“เอ่อ…”
หลินเป่ยเฉินมองไปยังกลุ่มคนที่เดินเข้ามาและอธิบายว่า “ไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิดนะ ระหว่างข้ากับนางไม่มีอะไรทั้งนั้น”
หลิงฉือปากกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินค่อนข้างประหลาดใจ
เดิมที พวกนางคิดว่าตนเองรีดเค้นพลังของนายท่านออกมาจนหมดถึงหยดสุดท้ายแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่านายท่านกลับยังเหลือพลังไว้ใช้กับผู้อื่นอีก
ดูเหมือนครั้งต่อไปพวกนางคงต้องจัดหนักจัดเต็มให้มากกว่านี้เสียแล้ว
สองสาวรับใช้กวาดสายตาสำรวจมองเรื่องร่างของเด็กสาวผู้มีรอยสักมังกร คล้ายกับว่าต้องการจะสำรวจดูว่านางมีคุณสมบัติดีพอที่จะอยู่ข้างกายนายท่านหรือไม่
เยว่หงเซียงชะงักไปเล็กน้อย แต่สีหน้าก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางยื่นส่งบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวนพร้อมกับถามว่า “สงบสติอารมณ์หน่อยดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินรับบุหรี่มาดีดนิ้ว แล้วเปลวไฟก็สว่างวูบ ท่วงท่าของเขายังคงสง่างามเสมอ
เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าสวมใส่แผ่นเกราะหน้าอกกลับคืนที่เดิมอีกครั้งพลางกล่าวว่า “คำสัญญาของข้ายังมีผลเสมอ ตราบใดที่ท่านช่วยเหลือองค์ชายฟื้นฟูจักรวรรดิของพวกเรา ข้าจะมีลูกกับท่านเอง”
กล่าวจบ นางก็เดินออกไปหน้าตาเฉย
ควับ! ควับ!
ทุกสายตาหันกลับมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน
หลิงฉือเดินกลับเข้ามาในกระโจมอีกครั้ง
เฉียนเจินมีสีหน้าใช้ความคิด
เฉียนเหมยร้องตะโกนออกมาว่า “หากนายท่านอยากมีลูก ข้ามีลูกให้นายท่านก็ได้”
เยว่หงเซียงจุดบุหรี่สูบเพื่อสงบสติอารมณ์
หลินเป่ยเฉินพ่นควันออกมาเป็นรูปวงแหวนและถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย “โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม เหตุไฉนถึงต้องทำให้บุรุษผู้งดงามอย่างข้าถูกเข้าใจผิดเช่นนี้ด้วย”
นี่แทบไม่เรียกว่าเป็นคำอธิบายด้วยซ้ำ
เพราะอธิบายอะไรออกไปก็คงไม่มีผู้ใดเชื่ออีกแล้ว
“เอาเถอะ พวกเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า…”
หลินเป่ยเฉินพูดเมื่อสูบบุหรี่หมดมวน
ทุกคนกลับสู่ความสงบกันอีกครั้ง
เพราะพวกเขารู้ดีว่าภารกิจสังหารเว่ยหมิงเฉินในครั้งนี้คือเรื่องที่อันตรายมาก หากผิดพลาดเพียงนิดเดียว หลินเป่ยเฉินก็อาจถึงตายได้โดยทันที
“ข้าวางแผนทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกให้ทุกคนเดินมารวมตัวกัน “หน้าที่ของแต่ละคนมีดังต่อไปนี้”
เมื่อคณะผู้นำกองทัพสัมพันธมิตรได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็รู้ดีว่าที่หลินเป่ยเฉินเตรียมการเอาไว้เช่นนี้ ก็เพราะป้องกันไม่ให้มีผู้ใดสามารถโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจได้อีก
หน่วยลาดตระเวนยังคงนำข่าวต่าง ๆ มารายงานอยู่ตลอด
แต่ไม่มีวี่แววถึงตำแหน่งที่อยู่ของเว่ยหมิงเฉิน
“วางใจเถอะ ข้ารู้ดีว่าเขาอยู่ที่ไหน”
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยความมั่นใจอย่างประหลาด
…
จักรวรรดิเจิ้งหลง
มหานครเจิ้งหลง
ในตัวเมืองเต็มไปด้วยเสียงร้องโหยหวน
เมืองเจิ้งหลงคือมหานครที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากที่สุดในแผ่นดินตงเต้า ที่นี่มีอาณาเขตกว้างใหญ่หลายร้อยลี้ รูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ของเทพพงไพรตั้งตระหง่าน วิหารเทพพงไพรกระจายตัวอยู่ทั่วทุกหนแห่ง วิหารหลายแห่งเป็นวิหารขึ้นชื่อประจำแผ่นดินตงเต้า เรียกได้ว่าเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของจักรวรรดิเจิ้งหลงมาช้านาน
กำแพงเมืองสูงเสียดฟ้า แข็งแกร่งราวกับหลอมด้วยทองคำ
ราชวงศ์ผู้ครองบัลลังก์ในจักรวรรดิเจิ้งหลงเป็นตระกูลที่สืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์มังกร เดิมทีจึงถูกเรียกขานว่าเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมังกรมาแต่ไหนแต่ไร
และจักรวรรดิแห่งนี้ก็ขึ้นชื่อในเรื่องสถานศึกษาหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาสำหรับผู้ใช้ค่ายอาคม สถานศึกษาสำหรับผู้เล่นแร่แปรธาตุ สถานศึกษาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ สถานศึกษาสำหรับผู้วางกลยุทธ์ทำสงคราม ดังนั้นจักรวรรดิเจิ้งหลงจึงมีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานหลายพันปี
เมื่อหลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึงนครหลวง เขาก็ไม่แปลกใจเลยที่จะได้พบเห็นหุ่นเหล็กมฤตยู
นครหลวงของจักรวรรดิเจิ้งหลงมีหุ่นเหล็กมฤตยูอยู่ด้วยกันทั้งหมดแปดตัว
แต่ครั้งนี้ พวกมันเพียงทำหน้าที่เฝ้าเวรยามและไม่ได้ฆ่าผู้ใดอีก
นครหลวงแห่งนี้มีจำนวนประชากรเยอะผิดปกติ
บรรยากาศตกอยู่ในความวุ่นวายโกลาหล
หลินเป่ยเฉินใช้แอปเมจิก คาเมร่าเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตา และใช้พลังปราณธาตุน้ำจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณปรับเปลี่ยนกลิ่นอายพลังลมปราณของตนเอง เพื่อให้สามารถเดินทางเข้าสู่ในตัวมหานครได้อย่างกลมกลืนกับผู้คนทั่วไป
หลังจากนั้นหนึ่งก้านธูป
“คารวะท่านใต้เท้า”
ในห้องพักชั้นบนของโรงเตี๊ยมข้างทางแห่งหนึ่ง เทพอสูรผู้รับใช้วิหารเทพพงไพรผู้หนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพเป็นอย่างสูง
คนผู้นี้มีนามว่าอันเจ๋อ
ในอดีต อันเจ๋อเคยเป็นสาวกของเผ่าเทพพงไพร แต่เมื่อได้รับลูกแก้วบรรจุตำแหน่งเทพเจ้าจากมือหลินเป่ยเฉิน อันเจ๋อจึงกลายเป็นสาวกคนใหม่ของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
แน่นอนว่าตำแหน่งเทพเจ้าที่อันเจ๋อรับไปนั้นมีค่าความซื่อสัตย์หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม แล้วเขาจะทอดทิ้งหลินเป่ยเฉินได้อย่างไร?
ปรากฏว่านี่เป็นปฏิบัติการส่งสายลับเข้าถิ่นศัตรู
สมาชิกปัจจุบันของกองทัพเทพอสูร ที่หลินเป่ยเฉินส่งเข้ามาแฝงตัวมีจำนวนไม่น้อย
และนี่เองจึงทำให้หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองจะสามารถสังหารเว่ยหมิงเฉินได้สำเร็จ
“องค์ราชันย์อยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“อยู่ในวังหลวงของจักรวรรดิเจิ้งหลงขอรับ เขาเก็บตัวหลอมรวมพลังตั้งแต่สามวันที่แล้ว”
อันเจ๋อตอบด้วยความเคารพ “หลังจากที่ข้าน้อยได้ข่าวจากใต้เท้า ข้าน้อยจึงให้ผู้คนลอบสังเกตการณ์หน่วยลาดตระเวน และด้วยความร่วมมือของพวกเขา ข้าน้อยจึงรู้เวลาที่จะสามารถนำพาใต้เท้าแฝงตัวเข้าสู่วังหลวงได้แล้วขอรับ”
อันเจ๋อยินดีช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินอย่างสุดความสามารถ
“เจ้าไม่ต้องพาข้าไปหรอก ข้าไปของข้าเองได้ แค่บอกรายละเอียดมาก็พอ”
หลินเป่ยเฉินกล่าว
…
หนึ่งชั่วยามให้หลัง
อันเจ๋อก็สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬ เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าตรงไปยังวังหลวง
ขณะนี้ กองทัพเทพอสูรเรืองอำนาจ ไม่มีผู้ใดกล้าขวางทางอันเจ๋อ
แน่นอนว่าอันเจ๋อผู้นี้ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉินปลอมตัวมา
แอปเมจิก คาเมร่าและการทำงานของพลังปราณธาตุน้ำ สามารถทำให้เขาสามารถปลอมตัวเป็นผู้ใดก็ได้ในนครหลวงแห่งนี้ตามใจปรารถนา
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่วังหลวงได้โดยไม่มีอุปสรรค
ดูเหมือนว่าเว่ยหมิงเฉินจะให้ความสำคัญกับการเก็บตัวหลอมรวมพลังครั้งนี้มากทีเดียว เพราะตลอดเส้นทางภายในวังหลวง มีการวางขุมกำลังเวรยามรักษาความปลอดภัยแน่นหนายิ่งกว่าถ้ำเสือวังมังกร
หลินเป่ยเฉินคว้าตัวเทพอสูรระดับสูงมาได้หนึ่งคน ก็จัดการเปลี่ยนโฉมปลอมตัวอีกครั้งโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น หลังจากนั้น เขาก็สามารถเดินเข้าสู่พื้นที่ชั้นในของวังหลวงได้อย่างราบรื่น
เว่ยหมิงเฉินเก็บตัวอยู่ที่ตำหนักชั้นในของวังหลวงแห่งนี้
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินปลอมตัวเป็นเวรยามที่รักษาการณ์อยู่ในวังหลวง
ระหว่างการผลัดเปลี่ยนเวรยาม เขาก็แอบเล็ดลอดเข้าไปสู่อาณาเขตของตำหนักชั้นใน
แสงไฟในตำหนักมืดสลัว
ความมืดมิดปกคลุมรอบบริเวณ
ระยะสายตาสามารถมองเห็นได้เพียงสิบวาเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นได้ลาง ๆ ว่ามีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่เหนือพื้นหินประมาณเจ็ดเซียะ และพลังศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างปั่นป่วน
เว่ยหมิงเฉิน?
เนื่องจากในตำหนักมีแต่ความมืด หลินเป่ยเฉินจึงมองเห็นเป็นเพียงโครงร่างมนุษย์ผู้หนึ่งเท่านั้น
แต่ไม่สามารถระบุตัวตนได้
หลินเป่ยเฉินซ่อนเร้นพลังลมปราณของตนเอง ย่องเข้าไปราวกับเป็นแมวที่ต้องการจะขโมยปลาย่าง ไม่เปิดเผยการมีอยู่ของตนเองให้อีกฝ่ายรับรู้
เขาเข้าไปถึงข้างกายบุคคลปริศนาอย่างรวดเร็ว
ยื่นมือออกมาข้างหน้าเล็กน้อย
กระบี่เงินพลันปรากฏขึ้นในมือของหลินเป่ยเฉิน
ปลายกระบี่ที่แหลมคมพุ่งใส่หน้าผากของคนที่กำลังหลอมรวมพลังในความมืดไม่ต่างจากเข็มแหลมแห่งความตาย
แต่ลมหายใจต่อมา เด็กหนุ่มกลับพบว่าตนเองเผชิญปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว…
“หลินเป่ยเฉิน พวกเราได้พบกันอีกแล้วนะ”
ในตำหนักพลันมีแสงไฟสว่างวูบและใบหน้าที่แท้จริงของบุคคลผู้นั่งขัดสมาธิก็ปรากฏขึ้นในสายตาของหลินเป่ยเฉิน
ไม่ใช่เว่ยหมิงเฉิน
ใบหน้าของหลินเป่ยเฉินแข็งค้างไปทันที!