เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1507 ไม่ลังเล
ตอนที่ 1,507 ไม่ลังเล
“ฮ่า ๆๆ …น่าสนใจดีนี่นา”
เมื่อเห็นดังนั้น ใบหน้าอัปลักษณ์ของโอรสสวรรค์ก็แสยะยิ้มด้วยความชอบใจ “เห็นได้ชัดว่าเจ้ามีจิตใจกล้าหาญกว่าสุนัขรับใช้ทั้งสองตัวนั้นของข้า แต่เจ้าอยากจะทำตัวเป็นวีรบุรุษผู้กล้าอีกแล้วหรือ? ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เจ้ามดปลวกผู้ต่ำต้อยเอ๋ย”
เขาหมุนข้อมือของตนเองอีกครั้ง
ทันใดนั้น พลังลมดูดจากฝ่ามือก็เพิ่มมากขึ้น นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินสูญเสียการทรงตัว และฝ่ามือของโอรสสวรรค์ก็แทบจะกระทบถูกหน้าผากของเด็กหนุ่มแล้ว…
เด็กหนุ่มอัปลักษณ์ต้องการระเบิดศีรษะของหลินเป่ยเฉินเช่นเดียวกับที่ระเบิดศีรษะเฒ่าอสูร
นี่คือวิธีการฆ่าศัตรูที่เขาชื่นชอบมากที่สุด
ปลายนิ้วของโอรสสวรรค์กำลังจะสัมผัสหน้าผากของหลินเป่ยเฉินแล้ว
แต่ในจังหวะนั้นเอง…
“ตอนนี้ล่ะโว้ย!”
หลินเป่ยเฉินยกมือซ้ายของตนเองขึ้นมา
ผงสีขาวปลิวกระจายในอากาศ
“นี่มันอะไรกัน?”
โอรสสวรรค์ไม่ทันระวังตัว รู้สึกเพียงแต่ว่าดวงตาของตนเองพร่าเลือน สองคิ้วเลิกขึ้นสูงด้วยความตกตะลึง ผงสีขาวลอยเข้าตาและปาก ให้รสชาติที่ขมฝาด ดวงตาสูญเสียความสามารถในการมองเห็นไปชั่วขณะ…
สำเร็จ!
‘ผงวิเศษ’ ที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยให้เขามานั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ได้จริง ๆ
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
พลังลมดูดสลายตัวไป
เมื่อสามารถควบคุมสมดุลร่างกายได้อีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ไปปรากฏตัวขึ้นทางซ้ายมือของโอรสสวรรค์ กระบี่เงินลุกโชนด้วยพลังอัคคีเทวะ ก่อนที่คมกระบี่จะแทงใส่เด็กหนุ่มอัปลักษณ์โดยตรง…
วูบ!
โอรสสวรรค์คำรามออกมาด้วยความเดือดดาลใจ “นี่มันผงหยกขาวไม่ใช่หรือ?”
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอย่างหลินเป่ยเฉินจะมีของวิเศษเช่นผงหยกขาวอยู่ในการครอบครอง ดังนั้นโอรสสวรรค์จึงไม่ทันระวังตัว
แต่เขาก็ตอบรับอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงลมปราณกระบี่ที่พุ่งเข้ามา มือขวาของโอรสสวรรค์ก็สอดเข้าไปใต้ช่องแขนข้างซ้ายและยกสองนิ้วขึ้นมาคีบจับปลายกระบี่ไว้ได้ทันเวลา…
เดี๋ยวก่อนนะ?
หลินเป่ยเฉินรู้สึกไม่ต่างจากกระบี่ในมือของตนเองถูกคีมเหล็กเทพเจ้าบีบรัด ทำให้ไม่สามารถที่ทิ่มแทงออกไปข้างหน้าได้อีก
เชี่ย ทำไมไอ้หมอนี่ถึงเก่งขนาดนี้วะ!
หลินเป่ยเฉินเห็นท่าว่าไม่ดีแล้ว จึงพยายามจะดึงกระบี่กลับมา
“ฝันไปเถอะ”
โอรสสวรรค์ระเบิดเสียงคำรามเย็นชาและสะบัดข้อมือเล็กน้อย
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงกระดูกข้อมือข้างขวา ซึ่งเป็นมือข้างที่ตนเองใช้ถือกระบี่แตกหักดังกร๊อบ คลื่นพลังมหาศาลส่งผ่านเข้ามาด้วยพลังทำลายล้าง…
ความเจ็บปวดแล่นพล่าน
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าความเจ็บปวดคืออันตราย
หลินเป่ยเฉินไม่มีเวลาให้ลังเลอีก เขารีบปล่อยมือออกจากด้ามจับกระบี่เงินและล่าถอยออกมาทันที
พลัน โลหิตไหลทะลักออกมาจากดวงตาของโอรสสวรรค์
เขากำลังใช้วิชาโลหิตสลาตัน คลื่นพลังระเบิดออกมาจากร่างกาย แล้วผงขาวที่เกาะติดอยู่ตามดวงตาและลำตัวก็ถูกสลัดทิ้งไป
ในเวลาเดียวกันนี้ โอรสสวรรค์ยกมือขึ้นโบกสะบัด
นิ้วมือทั้งสิบขยับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กระบี่เงินที่ถืออยู่ในมือเกิดแสงสว่างวูบวาบ และเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น กระบี่ซึ่งมีความคมกริบมากที่สุดในดินแดนทวยเทพก็ถูกบดขยี้กลายเป็นก้อนกลมสีเงินก้อนหนึ่ง…
กระบี่ของข้า! กระบี่สุดที่รักของข้า!!
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
เจ้าคนอัปลักษณ์ผู้นี้แข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว
นี่ไม่ใช่พลังของคนที่อยู่ในโลกนี้แน่ ๆ
‘ติ๊ง… ไม่สามารถสแกนข้อมูลได้เจ้าค่ะ ฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีการบันทึกอยู่ในฐานข้อมูล กรุณาอยู่ห่างจากคนผู้นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…’
เสียงร้องเตือนจากโทรศัพท์ดังขึ้นในหัวของหลินเป่ยเฉิน
ในที่สุด การสแกนร่างกายโอรสสวรรค์ด้วยโทรศัพท์มือถือก็เสร็จสิ้นลง และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเครื่องหมายตกใจสีแดงขนาดใหญ่บนหน้าจอ
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วสิ
ครั้งสุดท้ายที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ก็ต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่หลินเป่ยเฉินสั่งให้โทรศัพท์มือถือสแกนร่างกายเหลียงหยวนเตา ซึ่งนั่นเป็นตอนก่อนที่โทรศัพท์จะได้รับการอัปเกรด
เนื่องจากโทรศัพท์ในขณะนั้นยังไม่ได้รับการอัปเกรด มันจึงไม่มีข้อมูลของเหลียงหยวนเตาซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตจากเผ่ามารโลหิตอยู่ในฐานข้อมูล ทำให้หลินเป่ยเฉินไม่ทราบว่าท่านเจ้าเมืองผู้วิปริตผู้นั้นสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากบ่อโลหิตได้นับครั้งไม่ถ้วน และเกือบจะทำให้หลินเป่ยเฉินต้องพ่ายแพ้…
แต่เมื่อโทรศัพท์ได้รับการอัปเกรดเรียบร้อยแล้ว ปัญหานี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย
จนกระทั่งมาเจอกับเจ้าหน้าปลาบู่ผู้นี้นี่แหละ
เอายังไงดี?
หนีตอนนี้ยังทันไหมเนี่ย?
สัญชาตญาณแจ้งเตือนให้หลินเป่ยเฉินรีบหลบหนีไป
คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งระดับนี้ ต่อให้ลากตัวเข้าไปในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์ หลินเป่ยเฉินก็ไม่แน่ใจว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้
แต่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็กำลังกำชับหลินเป่ยเฉินว่า เขาจะหลบหนีไม่ได้เด็ดขาดและเขาต้องหาทางเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้
หากหลบหนีไปในตอนนี้ แผ่นดินตงเต้าก็จะถูกทำลาย คนบริสุทธิ์มากมายต้องเสียชีวิต รวมไปถึงบรรดาเพื่อนสนิทของเขาทุกคนก็จะไม่รอดเช่นกัน… และนี่จะเป็นความตายที่ไม่อาจหวนคืนอีกด้วย…
เพราะฉะนั้น หากเลือกที่จะอยู่สู้ต่อไป อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสที่จะชนะได้ไม่ใช่หรือ?
กาลเวลาคล้ายกับหยุดนิ่ง
หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดมากมายอยู่ในหัวสมอง จิตสำนึกฝ่ายดีและฝ่ายเลวกำลังโต้เถียงกันอย่างหนัก ด้านหนึ่งบอกให้เขาอยู่ต่อ อีกด้านหนึ่งบอกให้เขารีบหลบหนี…
ผ่านไปหลายลมหายใจ ในที่สุด เสียงโต้เถียงเหล่านั้นก็ยุติลง
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้แล้ว!
“ที่รักจ๋า รีบหนีไป”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามองกลับไปที่นักพรตหญิงชิน
“บอกทุกคนว่าไม่ต้องมาตามหาข้า… ให้ทุกคนรีบหนีไปที่ดินแดนทวยเทพซะ”
หากเขาตายที่นี่ ก็คงไม่มีผู้ใดสู้กับเด็กหนุ่มอัปลักษณ์ได้อีกแล้ว หนทางรอดเดียวของคนอื่นๆ คือการหลบหนีไปที่ดินแดนทวยเทพเท่านั้น
แล้วกลุ่มเทพเจ้าที่เขาเพิ่งส่งรถบรรทุกไปรับมาจากดินแดนทวยเทพนั่นล่ะ?
ขอโทษที ผิดคิวไปหน่อย
คงได้แต่ขอให้โชคดีก็แล้วกัน
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมากระโจนเข้าหาโอรสสวรรค์โดยไม่ลังเล
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
และมันก็เป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
บัดนี้ เขาไม่เหลือความรู้สึกของการอยากกลับสู่โลกมนุษย์ใบเดิมอีกแล้ว หลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองผูกพันกับดินแดนแปลกหน้าที่เรียกว่าแผ่นดินตงเต้าในชนิดที่คิดว่านี่คือบ้านของตนเอง
มีหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่คนเราไม่เคยเห็นคุณค่ามันมาก่อน
แต่เมื่อเกือบจะเสียมันไปแล้วนั่นเอง ผู้คนจึงได้ตระหนักรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมีค่าต่อตนเองมากเพียงใด
เช่นเดียวกับความรัก
เช่นเดียวกับมิตรภาพ
เช่นเดียวกับเรื่องราวในชีวิต
หลินเป่ยเฉินพบว่าแผ่นดินตงเต้ามีความสำคัญต่อเขามากจนสามารถสละชีวิตเพื่อมันได้โดยไม่เสียดาย
หลินเป่ยเฉินเข้าไปประชิดตัวและลากโอรสสวรรค์เข้าไปสู้กันต่อในอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์
แสงสว่างวูบ
แล้วเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็อันตรธานหายไปในเวลาเดียวกัน
“หลินเป่ยเฉิน!”
ทันใดนั้น นักพรตหญิงชินผู้มีใบหน้าซีดขาวก็ไม่สามารถรักษาอากัปกิริยาของเจ้าหญิงเย็นชาได้อีกต่อไป นางรีบลอยตัวเข้ามาอุทานด้วยความตื่นตระหนก
แต่ก็ไม่พบร่องรอยของหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
เส้นผมสีเงินปลิวไสว ดวงตาคู่งามเป็นประกายตื่นตระหนกและกระวนกระวายใจชัดเจน
ในฐานะเทพธิดาผู้โดดเดี่ยว อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของนักพรตหญิงชินถูกปิดผนึกปิดตาย แต่ขณะนี้ อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นได้ระเบิดตัวออกมาราวกับดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า
นักพรตหญิงชินกวาดสายตามองรอบตัว
แต่ก็มองไม่เห็นหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว
กลุ่มเทพอสูรเริ่มปรากฏตัวเข้ามาห้อมล้อม
นักพรตหญิงชินนำกระบี่ลำแสงออกมาถืออีกครั้ง
เพียงตวัดกระบี่ฟันเป็นแนวขวาง เทพอสูรก็ล้มตายดั่งใบไม้ร่วง
นางไม่ได้หลบหนีไปตามที่หลินเป่ยเฉินร้องสั่ง
เพราะนักพรตหญิงชินรู้ดีว่าเหตุผลของหลินเป่ยเฉินที่ให้นางไปแจ้งเตือนผู้อื่นนั้น เป็นเพียงข้ออ้างของเขาที่จะส่งตัวนางออกไปจากที่นี่เท่านั้น หลินเป่ยเฉินไม่อยากให้นางตกอยู่ในอันตราย เพราะเขาคิดที่จะทำลายล้างที่นี่ด้วยตนเองเพียงลำพัง…
หลินเป่ยเฉินยินดีที่จะเสียสละชีวิตของเขา
ขณะนี้ พวกเขาไม่มีเวลาเหลืออยู่อีกแล้ว การหลบหนีจึงไม่ใช่ทางเลือก
และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินไม่หลบหนีไป แต่เขาเลือกที่จะพุ่งเข้าหาโอรสสวรรค์ไม่ต่างจากแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
นักพรตหญิงชินควงกระบี่สังหารกลุ่มเทพอสูร ก่อนจะพุ่งตัวลงตรงไปยังแท่นบูชาเก้าชั้น ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์
ลำแสงกระบี่ทะลวงผ่านท้องฟ้า
นี่คือการโจมตีด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของนักพรตหญิงชิน
นางไม่ลังเล
เช่นเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินลงมือโดยไม่ลังเลก่อนหน้านี้
ตราบใดที่สามารถทำลายแท่นบูชาแห่งนี้ได้สำเร็จ ทุกอย่างก็ยังคงมีโอกาสฟื้นคืนกลับมา
ลำแสงกระบี่เงินพุ่งผ่านอากาศ ไม่มีผู้ใดจะสามารถหยุดยั้งมันได้อีก…
นอกจากเด็กสาวหน้าอกโตในชุดมือกระบี่สีขาวผู้หนึ่ง นางควงหอกขึ้นสนิมที่ถืออยู่ในมืออย่างคล่องแคล่วและสามารถปัดป้องลำแสงกระบี่ได้อย่างง่ายดาย!