เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1518 สตรีผมสีเงินผู้งดงาม
ตอนที่ 1,518 สตรีผมสีเงินผู้งดงาม
เปลวไฟปรากฏขึ้นบนเส้นขอบฟ้า เผาไหม้ค่ายอาคมอย่างอำมหิต
เปลวไฟลามเลียร่างกายใต้เท้าซินผู้งดงาม เกิดเป็นความเจ็บปวดสุดบรรยาย
นางได้ยินเสียงหัวเราะเยาะชะตาชีวิตของใต้เท้าเหลียน และได้ยินเสียงร้องขอความเมตตาของใต้เท้ากั้ว เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่และเทพอัคคี ก่อนที่การขอร้องอ้อนวอนนั้นจะเปลี่ยนไปกลายเป็นการสาปแช่งในท้ายที่สุด
แต่ใต้เท้าซินไม่ส่งเสียงออกมาเลยสักคำ
ฮือ!
หัวใจของนางแตกสลายลงไปเรียบร้อยแล้ว
คำหวานจากท่านมหาเทพล้วนแต่เป็นคำโกหก
นางคิดไม่ถึงเลยว่าบุรุษผู้ที่ตนเองสามารถทุ่มเทความรักและทุกสิ่งทุกอย่างมอบให้ สุดท้าย เขากลับหักหลังนางเช่นนี้
ฮือ
ใต้เท้าซินไม่ได้ต้องการอะไรจากท่านมหาเทพเลย
สิ่งที่นางต้องการมีเพียงอย่างเดียวคืออย่าโกหกกันก็พอแล้ว
ถึงท่านมหาเทพจะอยากให้นางตาย ขอให้มาบอกกันดี ๆ นางก็พร้อมจะสละชีวิตมอบให้
เพราะฉะนั้น ใต้เท้าซินจึงเจ็บปวดหัวใจเหลือเกินที่พบว่า พวกของตนเองถูกหลอกให้เข้ามาอยู่ในเสาลำแสงเหล่านี้เพื่อรอคอยการเปิดประตูมิติ แต่ในท้ายที่สุด มันกลับเป็นกับดักที่หลอกให้ทุกคนเข้ามาตาย
และที่น่าเจ็บใจมากไปกว่านั้นก็คือนี่เป็นค่ายอาคมที่ใต้เท้าซินสร้างขึ้นมาเองกับมือ
สิ่งที่นางร้องขอมันมากเกินไปหรือ?
นางไม่ได้ต้องการความรักตอบแทน
ไม่ต้องการเลย
อย่างน้อยถึงไม่รักกัน ก็ไม่สมควรหลอกลวงกันเช่นนี้
ขอแค่ท่านมหาเทพเดินเข้ามาบอกนางว่า ‘ข้าอยากดูดพลังชีวิตของเจ้าทั้งหมด เพื่อทำให้ข้าแข็งแกร่งมากขึ้น’ ใต้เท้าซินก็จะยินดีเดินเข้าสู่ค่ายอาคมโดยไม่ลังเล
แต่ท่านมหาเทพกลับไม่เมตตานางแม้แต่น้อย
“สุดท้าย เราก็รักคนผิดจริง ๆ สินะ…”
สีหน้าของใต้เท้าซินเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
นางไม่ได้ต่อต้านขัดขืนใด ๆ ทว่ากลับปล่อยให้เปลวไฟแผดเผาร่างกาย ในขณะที่เพื่อนร่วมชะตากรรมทั้งสี่ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน ใต้เท้าซินกลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาเลยสักคำ
นางยืนอยู่ในความเงียบ ปล่อยให้เปลวไฟเผาไหม้ร่างกาย ทำลายล้างดวงวิญญาณและหัวใจที่แตกสลายของนางให้เป็นผุยผง
หากนี่คือสิ่งที่ท่านมหาเทพต้องการ นางก็จะทำให้เขาสมหวัง
เปลวไฟเผาไหม้เลือดเนื้อ
หยดน้ำตาที่ร้อนระอุไหลรินลงมาอย่างช้า ๆ
…
ในสนามพลัง
ไม่มีความเปลี่ยนแปลงบนสีหน้าของเว่ยหมิงเฉิน
สมาธิของเขาจดจ่ออยู่กับการหลอมรวมพลังจากโอสถวิเศษ
เหตุผลที่สภาเทพเจ้าต้องมีใต้เท้าใหญ่ห้าคนนั้นเป็นเพราะท่านมหาเทพวางตัวพวกเขาเอาไว้ เพื่อใช้เสริมสร้างพลังในการหลอมรวมพลังจากโอสถทั้งสามเม็ดนี้เอง
โชคร้ายที่ใต้เท้าใหญ่สองในห้าคนต้องเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้
แต่โชคดีที่เว่ยหมิงเฉินยังมีตัวสำรอง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาเลี้ยงดูเทพเจ้าเหล่านี้เป็นอย่างดี ให้ปกครองดินแดนทั่วประเทศอย่างมีอิสระเสรี และนี่ก็ถึงเวลาที่ทุกคนต้องชดใช้แล้ว
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างไม่เคยมีสิ่งใดได้มาโดยไม่ต้องสูญเสีย
เว่ยหมิงเฉินลอยตัวนิ่ง ๆ อยู่กลางอากาศ
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างออกมา
คลายตัวแล้ว
ในที่สุด เชือกสีเงินที่พันธนาการร่างกายของเขาก็เริ่มคลายตัวออกแล้ว
แม้ว่าเด็กหนุ่มจะยังคงรู้สึกเจ็บปวดอยู่ไม่น้อย แต่นั่นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินรีบโคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของตนเอง
ผึ่ง!
ได้ยินเสียงการขาดสะบั้นดังขึ้น
เชือกที่รัดพันร่างกายของเขาขาดออกจากกัน
“เดี๋ยวข้าช่วยท่านเอง…”
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปยังทิศทางที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถูกพันธนาการลอยตัวอยู่ในอากาศก่อนหน้านี้ แต่ก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่านางหายตัวไปเสียแล้ว
อ้าว?
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ปลดเชือกได้เหมือนกันหรือ?
นางหายไปที่ไหนกันนะ?
อย่าบอกนะว่าแอบหนีไปแล้ว?
ไว้ใจไม่ได้เลยจริง ๆ!
ตัวเองปลดเชือกได้ก่อนหน้าเขาแท้ ๆ อย่างน้อยก็สมควรมาช่วยแก้มัดให้เขาก่อนสิ!!
หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบอยู่ในใจ
แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกำลังถือไม้เท้าทมิฬ แอบย่องไปทางด้านหลังของเว่ยหมิงเฉินซึ่งกำลังหลอมรวมพลังจากโอสถวิเศษทั้งสามเม็ด นางเข้าไปอยู่ทางด้านหลังจนได้ระยะโจมตี ไม้เท้าในมือเงื้อขึ้นสูงฟาดเปรี้ยงลงไป…
ให้ตายเถอะ
สมควรแล้วที่เป็นยัยเทพีตัวแสบ
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
ตูู้ม!
เสียงระเบิดดังกังวาน
ปรากฏว่าด้านหลังศีรษะของเว่ยหมิงเฉินระเบิดคลื่นพลังกระแทกออกมารุนแรง ร่างของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถึงกับลอยกระเด็นออกไปทันที
“อะเฮือก…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ตัวคนตกกระแทกพื้นไถลไปไกลหลายสิบวา
มุมปากของเว่ยหมิงเฉินยกตัวเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“โง่เง่า คิดหรือว่าข้าจะหลอมรวมพลังต่อหน้าพวกเจ้าโดยไม่ระมัดระวังตัวรึ?”
เขาหัวเราะเยาะ สายตามองไปยังเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ก่อนจะหันมาพูดกับหลินเป่ยเฉินว่า “พลังที่บรรจุอยู่ในโอสถทั้งสามเม็ดนี้คือพลังที่ไร้ขอบเขต มันคือพลังที่พวกเจ้าไม่อาจเข้าใจได้ ขอเพียงรับประทานไปเม็ดเดียว ข้าก็จะกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานโดยทันที แต่นี่ข้ารับประทานเข้าไปถึงสามเม็ด เจ้าคิดว่าข้าจะแข็งแกร่งอยู่ในระดับใด?”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
นี่คือท่านมหาเทพที่ปกครองดินแดนทวยเทพมานานนับพันปีไม่ใช่หรือ?
มิน่าเล่าถึงได้วางแผนการอย่างร้ายกาจยิ่งนัก
เมื่อเผชิญหน้ากับเว่ยหมิงเฉิน คู่ต่อสู้ก็ไม่มีโอกาสจะเอาชนะเขาได้จริง ๆ หรือ?
หลินเป่ยเฉินปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
เขาไม่เชื่อ
เขาอยากจะลองพยายาม
ดวงตาของเด็กหนุ่มเป็นประกายร้อนแรงด้วยเปลวไฟแห่งจิตวิญญาณนักสู้
หลินเป่ยเฉินรวบรวมพลังนำโทรศัพท์มือถือออกมาถือในมือ
หลังจากนั้น เขาก็เล็งเป้าและเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือออกไป
โทรศัพท์มือถือพุ่งเป็นเส้นตรงในอากาศ หลินเป่ยเฉินสามารถมองเห็นมันได้แต่เพียงผู้เดียว โทรศัพท์มือถือพุ่งตรงเข้าไปที่ศีรษะของเว่ยหมิงเฉิน…
นี่คือไพ่ตายใบสุดท้ายของหลินเป่ยเฉิน
ในเมื่ออาวุธทุกชนิดใช้ไม่ได้ผล
ก็มีแต่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอาวุธเท่านั้น
นี่คือหลักการที่เรียบง่าย
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินทำได้แต่เพียงหวังว่าโทรศัพท์มือถือจะสามารถโจมตีได้สำเร็จ
ขอให้สำเร็จเถอะ
ต่อให้โทรศัพท์มือถือได้รับความเสียหายมันก็คุ้มค่า
เพราะถึงอย่างไรผู้คนทั่วแผ่นดินตงเต้าก็ล้มตายไปหมดสิ้น หากไม่สามารถแก้แค้นให้แก่เพื่อนพ้องที่เสียชีวิตไปได้ หลินเป่ยเฉินก็คิดว่าตนเองสมควรตายไปพร้อมกับเว่ยหมิงเฉินแล้ว
นี่คือการเดิมพันครั้งสุดท้ายของหลินเป่ยเฉิน
เขาจะไม่มีทางหลบหนีเด็ดขาด
พลั่ก!
โทรศัพท์มือถือกระแทกเข้าใส่หน้าผากของเว่ยหมิงเฉิน
ก่อนจะกระเด็นกลับออกมา
ได้ผลแฮะ
หลินเป่ยเฉินยิ้มด้วยความดีใจ
เขารีบกระโดดเข้าไปรับโทรศัพท์และกำลังจะเขวี้ยงออกไปอีกครั้ง
แต่เมื่อโทรศัพท์มือถือกลับมาอยู่ในมือ มันก็หายวับเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาทันที ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินพยายามใช้พลังจิตอันเชิญมันออกมาสักเท่าไหร่ โทรศัพท์มือถือก็ไม่ยอมปรากฏออกมาอีกแล้ว
เชี่ย!
หลินเป่ยเฉินยืนตะลึงลานอยู่ตรงนั้น
เว่ยหมิงเฉินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น
เขายกมือขึ้นลูบคลำหน้าผากที่ปูดโน ดวงตาเป็นประกายอำมหิต เว่ยหมิงเฉินไม่อยากเชื่อว่าจะมีสิ่งใดสามารถขัดจังหวะการหลอมรวมพลังของเขาได้สำเร็จ
“เดิมทีข้าจะรอจนหลอมรวมพลังเสร็จสิ้นก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับพวกเจ้าทั้งสองคน แต่คิดไม่ถึงเลยว่า… ข้าคงต้องมาจัดการพวกเจ้าก่อนเสียแล้ว”
เว่ยหมิงเฉินโบกมือ
วูบ!
หลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลอยตัวอยู่เคียงข้างกันในอากาศ รอบกายถูกห้อมล้อมด้วยอักขระโบราณขนาดยักษ์
อักขระโบราณเหล่านั้นเปล่งแสงสว่างออกมา
แสงสว่างนั้นพุ่งเป็นลำแสงกระบี่
แทงทะลวงหัวไหล่ซ้ายของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง โลหิตเป็นสายพุ่งกระฉูดออกมา
“เจ้าตัวบัดซบเอ๊ย ทำไมมาโจมตีข้าก่อนล่ะ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคำรามด้วยความเดือดดาลใจ “เจ้าเด็กบ้านั่นเป็นคนโจมตีเจ้านะ”
“เว่ยหมิงเฉิน เจ้ามีปัญญาทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินตะโกนออกไปเช่นกัน
เขาทราบดีว่าบัดนี้ตนเองคงต้องฝากความหวังเอาไว้ที่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
กล่าวคือ แม้ที่ผ่านมานางจะเคยหลอกเอาเงินของเขาไปไม่น้อย และหลายครั้งก็ประพฤติตัวไว้ใจไม่ได้ แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็คอยช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ
เช่นก่อนหน้านี้ นางก็เคยช่วยเขาเอาชนะเทพเจ้าระดับสูงมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ
“หึหึ เจ้าจะรีบไปไหน?”
เว่ยหมิงเฉินหัวเราะในลำคอและกล่าวต่อ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าเข้ามาขวางทางข้า ข้าก็คงได้ดูดกลืนพลังชีวิตของหลิงเฉินผู้มีสายเลือดหายากไปนานแล้ว…”
วูบ! วูบ! วูบ!
อักขระโบราณระเบิดลำแสงพุ่งออกมาอีกสามสายเสียบทะลุหัวไหล่ขวาของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ตามด้วยเสียบทะลุฝามือข้างซ้ายและฝ่ามือข้างขวาของนาง
ขณะนี้ ร่างที่ขาวผ่องราวกับหิมะของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงถูกตรึงอยู่กลางอากาศ โลหิตไหลหยดลงมาจากมือที่สวยงามคู่นั้น
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงส่งเสียงครวญครางว่า “ทำไมต้องเป็นข้าด้วย?”
หลินเป่ยเฉินยังคงระเบิดเสียงคำรามยั่วยุต่อไป “ตัวบัดซบเว่ย เจ้าไม่มีปัญญาทำอะไรข้าก็บอกมาเถอะ…”
วูบ! วูบ! วูบ!
ลำแสงสีเงินอีกหลายสายพุ่งทะลวงผ่านอากาศ
ลำแสงนั้นเสียบทะลุต้นขา น่องและฝ่าเท้าของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง
โลหิตสาดกระจาย
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็กำลังจะตะโกนท้าทายต่อไป…
“หุบปากของเจ้าได้แล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงระเบิดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “เลิกยั่วโมโหอีกฝ่ายเสียที ยิ่งเจ้ายั่วโมโหเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทำร้ายข้าหนักขึ้นเท่านั้น ขืนเจ้าพูดต่ออีกคำ ใบหน้าของข้าคงต้องเสียโฉมแน่ ๆ…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
พลังจากโอสถวิเศษทั้งสามเม็ดนั้นยังคงไหลเวียนปั่นป่วนอยู่ในร่างกายของเว่ยหมิงเฉิน แต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะหลอมรวมมันอย่างจริงจัง
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าไม่อยากปกป้องผู้คนบริสุทธิ์อีกแล้วหรือ? เหอ ๆ บัดนี้ ผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินถูกข้าสังหารตายหมดสิ้น ไม่ทราบว่าเจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดัน
ต้องยอมรับเลยว่าเพราะเด็กหนุ่มผู้นี้เพียงคนเดียว แผนการของเว่ยหมิงเฉินที่ใช้เวลาวางแผนนานนับร้อยปี ก็เกือบจะต้องพังทลายลงไป
เฉกเช่นแผนการคว้าตัวหลิงเฉิน
บัดนี้จึงได้เวลาที่หลินเป่ยเฉินต้องชดใช้
เว่ยหมิงเฉินยิ้มออกมาเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าสมองของเจ้าไม่ปกติ ดังนั้นเจ้าจึงไม่กลัวความเจ็บปวดหรือความตาย แต่สิ่งที่เจ้าหวาดกลัวมากที่สุดนั้น ก็คือการต้องเห็นคนที่ตนเองรักและห่วงใยตายไปต่อหน้าต่อตาและเจ้าก็กลัวความสูญเสีย…”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินหรี่ลงในทันที
“หลายคนมองเจ้าว่าเป็นตัวชั่วร้ายกระหายทรัพย์สินมีค่า บ้าตัณหา ลุ่มหลงในราคะ ขี้ขลาดตาขาว แต่ในความเป็นจริงนั้น…”
“เจ้าก็เป็นตัวชั่วร้ายจริง ๆ นั่นแหละ”
“แต่ทุกคนมองเจ้าผิดไป”
“ถึงเจ้าจะเป็นตัวชั่วร้าย แต่เจ้าก็คอยช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าและเจ้าก็อยากจะกอบกู้โลกใบนี้เอาไว้ด้วยการทำตัวเป็นวีรบุรุษ…”
“น่าเสียดายที่เจ้าต้องมาพบกับข้า”
เว่ยหมิงเฉินจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาของการนึกทบทวนหวนสู่อดีต นับว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา หลินเป่ยเฉินคอยขัดขวางแผนการของเขาได้อย่างน่าชื่นชมจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบรับคำใด
เพราะสมาธิของเขากำลังจดจ่ออยู่ที่การหาทางโจมตีกลับ
แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับความจริงว่าเว่ยหมิงเฉินมีความแข็งแกร่งมากเกินไป
“โบราณเคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่ากรรมใดใครก่อ กรรมนั้นหวนคืนสนอง”
“ดังนั้น ความทรมานมากที่สุดในชีวิตของเจ้า ก็คือการเห็นผู้คนที่เจ้ารักและห่วงใย ต้องตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เว่ยหมิงเฉินก็ยื่นมือออกมาข้างหน้าและหมุนวนฝ่ามือเล็กน้อย
ม่านพลังที่ขยายใหญ่เสมือนจอภาพยนตร์ปรากฏขึ้น
บนจอภาพมีการเคลื่อนไหว
เป็นฐานทัพแห่งสุดท้ายในเมืองหยุนเมิ่ง
เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ติดชายฝั่งทะเลแห่งนี้ ยังคงมีม่านพลังคอยคุ้มกันกำแพงเมือง ร่างมนุษย์ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ภายในม่านพลังนั้น…
เมื่อเห็นภาพนี้ หลินเป่ยเฉินก็ตกตะลึง ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เมืองหยุนเมิ่งยังคงปลอดภัยดี
“นี่คือสถานที่ที่เจ้าเติบโต นี่คือสถานที่ที่ผู้คนมากมายอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเจ้า…”
เว่ยหมิงเฉินแสยะยิ้มด้วยความโหดเหี้ยม
ภาพเหตุการณ์เคลื่อนไหวต่อไป
ณ วิหารหลักบนยอดเขาประจำเมือง เยว่เว่ยหยางสวมใส่ชุดหัวหน้านักบวช ในมือถือไม้คทา ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากร่างกาย คอยคุ้มครองภูเขาใหญ่และเมืองหยุนเมิ่งทั้งเมือง…
เป็นเพราะนางเอง เมืองหยุนเมิ่งจึงยังคงอยู่รอดปลอดภัย
แต่ทุกการกระทำย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย
เมื่อพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายใกล้หมด ร่างของเยว่เว่ยหยางก็ค่อย ๆ กลายเป็นรูปปั้นหิน สูญเสียพลังชีวิตไปอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
“นักบวชสาวผู้นี้เป็นหนึ่งในคนที่เจ้าห่วงใยมากที่สุด”
เว่ยหมิงเฉินพูดพร้อมกับขยายภาพใบหน้าของเยว่เว่ยหยางบนหน้าจอ
วูบ!
รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนร่างที่กลายเป็นหินของเยว่เว่ยหยาง
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
เว่ยหมิงเฉินยิ้มแย้มอย่างเลือดเย็น “นี่คือรายแรก…”
ภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อไป
หลังจากนั้น ภาพก็ตัดไปยังค่ายที่พักของชาวทะเลนอกนครเจาฮุย
องค์หญิงเหยียนอิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน บัดนี้ นางกลายเป็นผู้ครองบัลลังก์แห่งโลกใต้ท้องทะเล เก้าอี้ล้อเลื่อนของนางลอยอยู่ในอากาศ เด็กสาวกำลังออกคำสั่งให้นักเวทชาวเงือกปกป้องคุ้มครองผู้คนด้วยทุกวิถีทางที่ทำได้ และเหยียนอิงก็สูญเสียพลังในร่างกายไปทั้งหมด จนตัวคนกลายเป็นรูปปั้นหินไปอีกเช่นกัน…
เว่ยหมิงเฉินขยายภาพใบหน้าของเหยียนอิง
วูบ!
นั่นทำให้เห็นว่าผิวกายที่ขาวเนียนของเหยียนอิงก็ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาด้วยความเจ็บใจ พยายามระเบิดพลังออกมาจากร่างกายแต่ไม่สำเร็จ
ภาพเหตุการณ์บนหน้าจอดำเนินต่อไป
บนกำแพงเมืองของนครเจาฮุย เขาเห็นฉุยเฮาเฟิง หลินฮุน ฉุยหมิงโหลว หลิงฉือและคนอื่น ๆ…
กลุ่มคนเหล่านี้ฝึกการใช้งานพลังศักดิ์สิทธิ์จากนักพรตหญิงชิน อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งเทพเจ้าจากหลินเป่ยเฉิน หากพวกเขาเอาตัวรอดเพียงลำพังย่อมทำได้ แต่ทุกคนก็เลือกที่จะออกมายืนหยัดปกป้องชาวเมือง…
สุดท้ายเมื่อหมดพลัง ตัวคนก็แข็งค้างกลายเป็นรูปปั้นหิน
เว่ยหมิงเฉินยื่นมือออกไปขยายภาพอีกครั้ง
รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นบนร่างกายของทุก ๆ คน
“หยุดนะ หยุดเดี๋ยวนี้!”
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงคำรามไม่หยุดยั้ง
“อะไรกัน? ในที่สุดเจ้าก็เจ็บปวดแล้วหรือ? ทีนี้เจ้าเข้าใจความรู้สึกของการสูญเสียแล้วหรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินยิ้มอย่างอำมหิตและกล่าวต่อ “แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
ภาพเหตุการณ์ดำเนินต่อไป
ทุกหนแห่งในดินแดนทะเลทราย ทุกหนแห่งที่มีค่ายอาคมดูดวิญญาณและแท่นบูชา กลุ่มเทพเจ้าหน้าใหม่และผู้นำทางของพวกเขาต่างก็ยืนตัวแข็งค้างอยู่ภายใต้แท่นบูชา บางคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม บางคนมีสีหน้าตื่นกลัว บางคนมีสีหน้าเศร้าโศก บางคนมีสีหน้าเรียบเฉย…
ในบรรดากลุ่มคนที่กลายเป็นรูปปั้นหินเหล่านี้ ย่อมต้องมีเฉียนเหมย เฉียนเจิน ฉู่เหินและกงกง เช่นเดียวกับเหล่าคุณชายผู้สูงศักดิ์ทั้งห้า รวมไปถึงพวกของหวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน คังซานเสวี่ย…
นอกจากนี้ก็ยังมีเยว่หงเซียง ติงซานฉือ เกาเฉิงฮั่น หลิงไท่ซวี หลิงจุนเซวียน…
ทุกคนต่างก็กลายเป็นรูปปั้นหิน ครึ่งหนึ่งของลำตัวจมหายลงไปใต้พื้นทราย พลังชีวิตสูญหายโดยสมบูรณ์!
“นี่คือกลุ่มคนที่เจ้ากลัวสูญเสียพวกเขาไปมากที่สุดในชีวิตใช่หรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินหัวเราะเยาะ ยื่นมือขยายภาพบนหน้าจอให้ใหญ่ขึ้น
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ร่างกายของทุกคนเกิดรอยแตกร้าว
“เจ็บปวดหรือไม่? ทรมานหรือไม่? เสียใจหรือไม่? อยากตายแทนพวกเขาหรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินจ้องมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นของหลินเป่ยเฉินและกล่าวเสียงเรียบ “นี่คือสิ่งที่ผู้ต่อต้านข้าจะต้องพบเจอและนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น”
พลังจากโอสถวิเศษทั้งสามเม็ดในร่างกายเริ่มคงที่แล้ว จึงทำให้พลังกดดันคุกคามที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเว่ยหมิงเฉินทำให้มวลอากาศปั่นป่วนโกลาหล ราวกับว่าค่ายอาคมแห่งนี้ไม่สามารถรองรับความแข็งแกร่งของเขาได้อีก
“เจ้าคิดอย่างไรกับการกลืนกินวิญญาณแผ่นดินตงเต้าในครั้งนี้? นี่คือจุดสิ้นสุดของโลกแล้วใช่หรือไม่?”
เว่ยหมิงเฉินเคลื่อนกายเข้ามาใกล้และตบใบหน้าหลินเป่ยเฉินแผ่วเบา ก่อนยิ้มเยาะ “ผิดแล้ว นี่ไม่ใช่การทำลายล้าง แม้ว่าข้าจะดูดพลังชีวิตมาจากแผ่นดินตงเต้า แต่ข้าก็ไม่ได้ทำให้มันเสียหายแม้แต่น้อย เพราะข้าจะทำให้มันกลายเป็นอาวุธของข้าต่างหาก ตราบใดที่ข้าดูดซับพลังจากมัน ข้าก็จะสามารถเดินทางข้ามภพภูมิได้ตามใจชอบ และข้าก็จะสามารถไปในทุกที่ที่ตนเองต้องการได้ทุกเมื่อ ฮ่า ๆๆ…”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินกลายเป็นสีแดงก่ำ จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยความอาฆาตแค้น
เว่ยหมิงเฉินยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
“ในเมื่อแผ่นดินของเจ้ากลายเป็นของส่วนตัวของข้า เพราะฉะนั้น ข้าจึงต้องทำความสะอาดมันสักหน่อย ข้าจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตกลุ่มเก่าออกไปให้หมด และข้าจะสร้างแผ่นดินตงเต้าขึ้นมาใหม่ให้เป็นแบบที่ข้าต้องการ”
เขาค่อย ๆ ประทับฝ่ามือลงบนกลางศีรษะของหลินเป่ยเฉิน “ขั้นตอนสุดท้ายในแผนการครั้งนี้ ก็คือการดูดกลืนพลังชีวิตของเจ้าเท่านั้น ข้าจะได้ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้า… เหอเหอเหอ เจ้าควรจะขอบคุณข้านะ เพราะว่าเจ้าจะได้ตายโดยสมบูรณ์ ไม่ต้องทนอยู่รับความเจ็บปวดทรมานอีกต่อไป…”
หลังจากนั้น เว่ยหมิงเฉินก็ตัดสินใจโคจรพลังดูดกลืนวิญญาณ ได้เวลายุติเรื่องราวทั้งหมดนี้เสียที
ค่ายอาคมดูดวิญญาณถูกเปิดใช้งานอีกครั้ง
สวบ!
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงผิวหนังถูกทะลวงดังขึ้น
มือขาวเนียนข้างหนึ่งแทงทะลุออกมาจากหน้าอกของเว่ยหมิงเฉินทางด้านหลัง ความงดงามของนิ้วมือทั้งห้าไม่ต่างไปจากผลงานชิ้นเอกของช่างแกะสลักระดับปรมาจารย์ ชวนให้ผู้คนจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ
นี่คือมือที่สวยงามยิ่งนัก
เป็นมือของสตรี
มือที่ขาวเนียนข้างนั้นเปียกชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงสดและบนฝ่ามือก็กำลังถือโอสถรูปทรงหัวใจแปลกประหลาด
เว่ยหมิงเฉินก้มหน้ามองอย่างช้าๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ
ใครกันนะ?
เป็นผู้ใดกัน?
นี่คือคำถามใหญ่ที่เกิดขึ้นในใจของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
เกิดสายลมพัดผ่านวูบ
เส้นผมสีเงินยาวสลวยแผ่กระจายอยู่ด้านหลังเว่ยหมิงเฉิน ดูสวยงามและมีสง่าราศีน่าเคารพเลื่อมใส
พลังปราณประจำตัวที่คุ้นเคยลอยมาในอากาศ
หลินเป่ยเฉินตกตะลึง หัวใจพองโตอย่างมีความหวัง
“พี่ชิน”
เขาร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ
เกือบลืมไปเลย
หลินเป่ยเฉินยังคงมีไพ่ตายอีกใบที่ไม่ได้ใช้ออกมา แต่ยังไม่ทันได้ร้องขอความช่วยเหลือ นักพรตหญิงชินก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว
ตู้ม!
นักพรตหญิงชินระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างรุนแรง
แล้วร่างกายของเว่ยหมิงเฉินก็แตกสลายกลายเป็นม่านหมอกเลือด!
เส้นผมสีเงินยวงของนักพรตหญิงชินปลิวไสวในอากาศ สีหน้าของนางยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง
นางเหินร่างผ่านม่านฝนโลหิตตรงมาที่หลินเป่ยเฉิน และโดยไม่รอให้เด็กหนุ่มได้มีโอกาสพูดคำใด นางก็นำโอสถที่มีรูปทรงหัวใจแปลกประหลาดซึ่งควักออกมาจากตัวเว่ยหมิงเฉินนั้นกดลงไปที่ตำแหน่งหัวใจของหลินเป่ยเฉินก่อนกระแทกอย่างแรง ได้ยินเสียงกระดูกหน้าอกแตกหักดังกร๊อบ แล้วโอสถแปลกประหลาดเม็ดนั้นก็ถูกส่งเข้าสู่ช่องอกของเขา
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
นักพรตหญิงชินหมุนตัวกลับไป หันหลังให้หลินเป่ยเฉินและคอยยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ที่เบื้องหน้า “เร็วเข้า รีบหลอมรวมพลังซะ”