เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1529 ภารกิจของกระบี่กวาดสวรรค์
ตอนที่ 1,529 ภารกิจของกระบี่กวาดสวรรค์
ยังคงมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอีกหลายอย่างในดินแดนทวยเทพ
อย่างเช่น ในกลุ่มเทพสงครามทั้งเจ็ด เทพภูผายังคงมีชีวิตอยู่รอด และพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา ย่อมสามารถทำลายม่านพลังปิดผนึกได้อย่างไม่มีปัญหา
เพราะเทพภูผามีความแข็งแกร่งไม่ต่างจากเทพเจ้าระดับใต้เท้าใหญ่
แน่นอนว่าไม่ใช่มีเพียงดินแดนทวยเทพเท่านั้น
บางทีในแผ่นดินตงเต้า หรือในดินแดนตลาดการค้า ก็อาจมีอันตรายซ่อนตัวอยู่เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีบรรดาสัตว์อสูรจากหุบผาอเวจีที่มีพลังทำลายล้างเทียบเท่ากับเทพเจ้าระดับสูง หากพวกมันสามารถหลุดเข้ามาในเมืองเยี่ยเฉิงได้เมื่อไหร่ หายนะคงเกิดขึ้นเมื่อนั้นทันที
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องกำจัดอันตรายเหล่านี้ให้สิ้นซากไปเสียก่อน
จังหวะที่เขากำลังจะเดินออกไปจากประตูคฤหาสน์ นักพรตหญิงชินก็กลับมาพอดี
นางมีสีหน้าเยือกเย็น ชุดเสื้อคลุมนักบวชสีดำที่สวมใส่ยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย และด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย นักพรตหญิงชินจึงไม่ต่างจากเทพีผู้สูงศักดิ์ ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามจนผู้คนไม่กล้าสบตามอง
“เจ้าเสร็จธุระแล้วหรือไม่?”
นักพรตหญิงชินมองหน้าหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มหยุดชะงัก
ปรากฏว่าที่นักพรตหญิงชินขอตัวไปเมื่อสักครู่นั้น เป็นเพราะนางตั้งใจเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่กับชิงเล่ยตามลำพังอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้น นักพรตหญิงชินก็ดูออกมาตั้งแต่แรกแล้วสิว่าชิงเล่ยสามารถสื่อสารได้?
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบรับว่า “ย่อมเสร็จแล้ว”
นักพรตหญิงชินกล่าว “งั้นข้าจะพาเจ้าไปพบใครบางคน”
นางนำตัวหลินเป่ยเฉินมายังพื้นที่เขตสองในเมืองเยี่ยเฉิง
สถานที่แห่งนี้ถูกรุกรานโดยสัตว์อสูรที่หลุดออกมาจากรอยแยกบนพื้นดิน ซึ่งก่อให้เกิดการสังหารเทพเจ้านับไม่ถ้วน
แต่โชคดีที่ภายใต้ค่ายอาคมปิดผนึกจากชิงเล่ย สัตว์อสูรเหล่านั้นก็กลายเป็นรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไปเช่นกัน พวกมันจึงไม่สามารถสร้างความเสียหายได้อีก
ในพื้นที่เขตสองแห่งนี้ หลินเป่ยเฉินได้พบกับกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอ
มือกระบี่เทพเจ้าผู้นี้เคยสังหารใต้เท้าฉาง แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนั้นจะทำให้ซวีเซี่ยเกอได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่บัดนี้ เมื่อได้เก็บตัวหลอมรวมพลัง อาการบาดเจ็บทั้งหมดจึงเบาบางลงแล้ว
รังสีกระบี่แผ่ออกมาจากร่างกาย เงากระบี่จำนวนมากเรียงรายอยู่ด้านหลังราวกับแพนหางนกยูงสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และพวกมันก็สามารถเคลื่อนไหวผ่านม่านพลังปิดผนึกได้อย่างไม่มีปัญหา
เช่นเดียวกับร่างกายของซวีเซี่ยเกอ
นี่คือครั้งแรกที่หลินเป่ยเฉินได้พบเจอชายชราเจ้าของฉายากระบี่กวาดสวรรค์ในระยะใกล้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างจากคนผู้นี้อย่างชัดเจน หากเงากระบี่เหล่านั้นโจมตีใส่หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มก็ไม่แน่ใจเลยว่าตนเองจะสามารถรับมือได้หรือไม่
นับว่าซวีเซี่ยเกอมีความแข็งแกร่งมากกว่าบรรดาใต้เท้าใหญ่เหล่านั้นเสียอีก
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
ไม่น่าประหลาดใจเลยว่าเพราะเหตุใด ซวีเซี่ยเกอจึงสามารถสังหารผู้ที่มีสถานะเป็นใต้เท้าใหญ่ได้อย่างง่ายดาย
“ชุดเกราะของเทพเจ้าหวงตกไปอยู่ในมือเจ้าแล้วสินะ…”
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอมีสีหน้าอ่อนโยน เขานั่งเปลือยร่างท่อนบนอยู่บนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง และกำลังใช้หินก้อนนั้นลับมีดเล่มหนึ่งอย่างช้า ๆ ดวงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความทะลุทะลวงไม่ต่างจากคมกระบี่ สีหน้าบอกชัดถึงความปีติยินดี
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผู้นี้ ซวีเซี่ยเกอก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีต
ความสง่างามอย่างเดียวกัน พรสวรรค์ที่น่ามหัศจรรย์เช่นเดียวกัน
“ผู้น้อยขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
หลินเป่ยเฉินประสานมือแสดงความเคารพ
เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแห่งความแข็งแกร่งที่แท้จริงจากตัวของมือกระบี่ในตำนานผู้นี้ และซวีเซี่ยเกอเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่ท่านมหาเทพ เพราะฉะนั้น ซวีเซี่ยเกอจึงควรค่าที่จะได้รับความเคารพจากเขาแล้ว
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ “พ่อหนุ่ม ข้ารู้สึกได้ถึงจิตสังหารแรงกล้าจากตัวเจ้า ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังคิดกวาดล้างผู้ที่ต่อต้านค่ายอาคมปิดผนึกอยู่ใช่หรือไม่?”
สายตาช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินพยักหน้ายอมรับแต่โดยดี
“วางใจเถอะ เจ้าอย่ามาเสียเวลากับเรื่องนี้เลย เดี๋ยวข้าจะคอยเฝ้าเมืองเยี่ยเฉิงและไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรเหล่านั้นให้เจ้าเอง” กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอลุกขึ้นยืนและกล่าวต่อ “เจ้าออกเดินทางไปทำตามหน้าที่ของเจ้าเถอะ ที่นี่จะอยู่ในความดูแลของข้า เจ้าสามารถวางใจได้”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอยินดีรับภารกิจอยู่เฝ้าเมืองเยี่ยเฉิงให้เขาอย่างนั้นหรือ?
งั้นเรื่องทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแล้ว
หลินเป่ยเฉินเชื่อในคำมั่นสัญญาของมือกระบี่ในตำนานผู้นี้หมดหัวใจ
“แต่ข้าก็อยากให้เจ้าทำบางอย่างให้ข้าเช่นกัน”
กระบี่กวาดสวรรค์ตรงเข้าประเด็นทันที
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะ “ผู้อาวุโสได้โปรดบอกมา”
ซวีเซี่ยเกอนำแผ่นพับคัมภีร์ฉบับหนึ่งออกมายื่นส่งให้แก่หลินเป่ยเฉินพร้อมพูดว่า “นี่คือวิชากระบี่ที่ข้าฝึกฝนมาอย่างยาวนานหลายร้อยปีและข้าเข้าใจมันหมดสิ้นแล้ว นี่เรียกว่าคัมภีร์กระบี่หลอมรวมสวรรค์ ครั้งหนึ่งเทพเจ้าหวงเคยบอกว่ามันเป็นเคล็ดวิชาที่มาจากภพภูมิมหาแผ่นดิน หากสถานที่นั้นมีอยู่จริง ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยคัดเลือกคนที่เหมาะสมจากภพภูมิมหาแผ่นดินนั้น และช่วยให้เขาได้เรียนรู้คัมภีร์กระบี่เล่มนี้ด้วยเถอะ”
หลินเป่ยเฉินตอบรับโดยไม่ลังเล
ซวีเซี่ยเกอกล่าวต่ออีกครั้ง “หากเจ้าสนใจ เจ้าจะฝึกด้วยก็ได้”
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “ผู้น้อยจะจดจำเอาไว้… แต่เหตุไฉนผู้อาวุโสไม่เดินทางไปด้วยกัน และเผยแพร่คัมภีร์เล่มนี้ด้วยตนเองล่ะขอรับ?”
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอตอบเสียงเรียบว่า “ข้ารับปากคนผู้หนึ่งเอาไว้”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ถามอะไรอีก
ซวีเซี่ยเกอกลับลงไปนั่งลับมีดตามเดิม
ชายชราเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่นักพรตหญิงชินวูบหนึ่ง หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็อดหันมากล่าวต่อหลินเป่ยเฉินไม่ได้ว่า “ข้ารู้ว่าวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้าในขณะนี้คือวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร แต่นี่เป็นวิชาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมากเกินไป หากไปอยู่ในภพภูมิอื่น กว่าจะใช้งานออกมาได้สำเร็จก็คงเชื่องช้าเกินไป ครั้งหนึ่งเทพเจ้าหวงเคยกล่าวว่าเนื้อหาในคัมภีร์กระบี่คาบสมุทรนั้นเต็มไปด้วยความหลอกลวง หากเจ้าสามารถบีบอัดสิบเจ็ดกระบวนท่านั้นรวมเข้าด้วยกันให้เหลือเพียงสามกระบวนท่าได้สำเร็จ นี่ต่างหากจึงจะเป็นประสิทธิภาพที่แท้จริงของวิชานี้ และมันคือสิ่งแรกที่เจ้าควรทำให้สำเร็จ หลังเดินทางไปถึงภพภูมิมหาแผ่นดิน”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ แววตาของกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอก็อ่อนโยนลง เขานึกถึงลูกศิษย์ของตนเองที่ต้องตายตั้งแต่อายุยังน้อย ก่อนกล่าวว่า “ครั้งหนึ่งข้าเคยส่งลูกศิษย์ออกเดินทาง เขาเป็นมือกระบี่อัจฉริยะที่หาได้ยาก ชีวิตเต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น แต่สิ่งสุดท้ายที่ข้าได้รับทราบกลับมากลับเป็นเพียงข่าวร้าย…”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าอัจฉริยะที่แท้จริงนั้นคือสิ่งใด? อัจฉริยะที่แท้จริงนั้นคือผู้ที่รอดชีวิตในโลกอันโหดร้าย เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่เจ้าควรทำเมื่อไปถึงภพภูมิมหาแผ่นดินก็คือการเอาตัวรอด หากเจ้ามีชีวิตอยู่รอดได้สำเร็จ เจ้าก็ยังมีความหวังที่จะแก้ไขทุกเรื่องราวในอดีตได้อีกครั้ง”
แม้ไม่ได้เมาสุรา แต่วันนี้กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอรู้สึกว่าตนเองพูดมากเกินไปแล้ว
คำพูดของชายชราไม่ต่างจากผู้เป็นอาจารย์ที่กำลังสั่งสอนลูกศิษย์
ซวีเซี่ยเกอก็ได้แต่หวังว่าหลินเป่ยเฉินจะไม่ได้มีจุดจบเป็นเช่นเดียวกับอดีตลูกศิษย์ของตนเอง
หลินเป่ยเฉินรู้ดีถึงความห่วงใยของมือกระบี่ในตำนาน
“ผู้น้อยจะจดจำคำสั่งสอนของผู้อาวุโสให้ขึ้นใจขอรับ”
เขาโค้งตัวคำนับอย่างอ่อนน้อม
ในดินแดนทวยเทพ มีผู้คนไม่มากนักที่ควรค่าต่อการเรียกขานว่า ‘เทพเจ้า’ หนึ่งในนั้นคงไม่มีท่านมหาเทพ แต่ต้องมีชื่อของซวีเซี่ยเกออย่างแน่นอน
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว”
กระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอโบกมือไล่
นักพรตหญิงชินกับหลินเป่ยเฉินเดินจากมา
ชายชรามองแผ่นหลังของทั้งสองคนเดินหายไปด้วยแววตาโล่งใจ
ในโลกใบนี้ ต่อให้เกิดมาเก่งกาจสักเพียงใด ต่อให้มีหน้าตางดงามสักเท่าใด แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้คนไม่สามารถควบคุมได้เด็ดขาด
สิ่งนั้นเรียกว่าโชคชะตา
มีอะไรที่เขาสามารถทำได้อีกบ้างหรือไม่?
ซวีเซี่ยเกอพบว่าตนเองคงทำได้เพียงขอให้หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินโชคดีเท่านั้น
…
แผ่นดินตงเต้า
หลินเป่ยเฉินกับนักพรตหญิงชินกลับมาที่จวนตระกูลหลินในเมืองหยุนเมิ่ง
กาลเวลาผ่านไป
หลินเป่ยเฉินยังคงรีบหลอมรวมพลังแข่งกับเวลา พลังจากโอสถวิเศษในร่างกายของเขายังไม่คงที่ จำเป็นต้องใช้เวลาในการหลอมรวมอย่างช้า ๆ
ส่วนคนอื่นก็กำลังเตรียมตัวเดินทางผ่านประตูมิติ
เพียงพริบตาเดียว ครึ่งเดือนก็ผ่านไป
ดอกอู๋ถงใกล้เบ่งบานเต็มที เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น ต้นอู๋ถงต้นนี้ก็จะออกดอกบานสะพรั่งแล้ว
แต่วันนี้ หลินเป่ยเฉินพลันผุดลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ในแผ่นดินตงเต้ายังมีคนที่อยู่นอกเหนือการควบคุมจากค่ายอาคมปิดผนึกอีกหรือ?”
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแปลกประหลาด!