เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1532 รับประทานผลปีศาจ
ตอนที่ 1,532 รับประทานผลปีศาจ
คลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาจากผลไม้สีแดงเหล่านั้นดึงดูดความสนใจของทุกคน
“ดูน่าอร่อยจังเลยนะขอรับ”
หวังจงกลืนน้ำลายเอื๊อก
หลังจากเดินทางกันมาอย่างยาวนาน ทุกคนย่อมรู้สึกหิวโหย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคิดอะไรได้บางอย่างจึงตะโกนออกมาว่า “อย่าขยับ… ผลไม้นี้มีพิษ”
นางตีสีหน้าตื่นกลัวและกล่าวต่อ “ทุกคนถอยกลับมา… ต้นไม้ผีสางต้นนี้เติบโตอยู่ในบึงน้ำดำ ย่อมมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา มิหนำซ้ำ หน้าตาของมันยังดูไม่น่าไว้ใจ เหตุไฉนจึงได้มีสีสันสดใสถึงเพียงนี้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ทุกคนก็รู้สึกตกตะลึง
นั่นสินะ
ที่นางพูดมาก็มีเหตุผล
พวกเขาเริ่มถอยหลังกลับ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินตรงออกไปข้างหน้าและสำรวจรอบ ๆ ต้นไม้ประหลาดอยู่หลายครั้ง “ให้ตายเถอะ นี่เป็นผลไม้ที่มีพิษร้ายแรงมาก ปล่อยไว้จะเป็นอันตราย เดี๋ยวข้าจะเสียสละจัดการมันให้พวกเจ้าเอง…”
นางเอื้อมมือออกไปเด็ดผลปีศาจนำมารับประทานคำใหญ่
หนึ่งลูกหมดไปอย่างรวดเร็ว
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทำท่าจะเด็ดลูกที่สองมารับประทานต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินรีบเดินเข้าไปจับข้อมือของนางเอาไว้และถามว่า “อยากจะกินคนเดียวหมดเลยหรือไง?”
“หา? เจ้าพูดอะไรของเจ้า…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรีบกลืนน้ำหวานจากผลปีศาจที่ยังตกค้างอยู่ในปากลงคออย่างรวดเร็วและโต้แย้งด้วยความฉุนเฉียว “ข้าพยายามจะรับพิษแทนทุกคนต่างหาก… นี่ข้ากำลังเสียสละตนเองอยู่นะ… เจ้ารีบปล่อยมือข้าเดี๋ยวนี้ สตรีของเจ้ากำลังจ้องมองอยู่ อย่าทำอะไรข้านะ ไม่งั้นข้าร้องให้คนช่วยจริง ๆ ด้วย…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงคิดเจ็บใจที่ตนเองยังฟื้นฟูพลังกลับมาได้ไม่เท่าหลินเป่ยเฉิน และเนื่องจากเด็กหนุ่มใช้พลังจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงไม่สามารถขัดขืนได้เลย
สุดท้าย เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ทำได้เพียงจ้องมองหลินเป่ยเฉินเก็บผลปีศาจทั้งแปดลูกนั้นลงมาจากต้นไม้
“บอกมาว่านี่เป็นผลไม้ชนิดใดกันแน่?”
หลินเป่ยเฉินถามเสียงเข้ม
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงกะพริบตาปริบ ๆ น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า ตอบด้วยน้ำเสียงของผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีว่า “มันเป็นผลไม้มีพิษจริง ๆ นะ โอ๊ย ข้าถูกพิษของมันเล่นงานแล้ว…”
นางล้มลงไปบนพื้นดิน น้ำลายฟูมปาก แขนขาชักกระตุก
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เล่นใหญ่เล่นโตจริง ๆ
“นี่เรียกว่าผลเซียนเหนือฟ้า เป็นผลไม้วิเศษในตำนาน เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็จะเกิดผลไม่ต่างจากเปลี่ยนกระดูกเลาะเส้นเอ็น ปรับพื้นฐานโครงสร้างร่างกาย… มันถูกยกย่องให้เป็นผลไม้วิเศษที่หายากที่สุด และเป็นสมบัติล้ำค่าที่ทุกคนในแดนมหาแผ่นดินอยากจะมีไว้ในครอบครอง”
จักจั่นทองคำผู้บินเบี้ยว ๆ อยู่ในอากาศพูดออกมา
ทุกคนสูดหายใจลึก ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเลิกชักกระตุกและรีบลุกขึ้นมายืนแก้ต่างให้กับตนเอง “อย่าได้ไปฟังที่จักจั่นผีตัวนี้พูด พวกมันเป็นผลไม้พิษจริง ๆ เชื่อข้าเถอะ ข้าจะรับพิษแทนทุกคนเอง”
ทุกคนได้แต่มองหน้าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตาขวาง
แต่ถึงกระนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยังรอคอยต่อไปอีกเล็กน้อย
เมื่อเห็นว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงไม่มีอาการว่าจะถูกพิษเล่นงานใด ๆ มิหนำซ้ำ ใบหน้าของนางยังกลายเป็นสีแดงระเรื่อ พลังในร่างกายเพิ่มพูน สุดท้าย เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ต้องนั่งลงหลอมรวมพลังกระแสใหม่ที่ปรากฏขึ้นมาในร่างกายของตนเอง
หลังจากมั่นใจแล้ว หลินเป่ยเฉินก็รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าหนึ่งลูก
ผลไม้สีแดงสดนั้นเมื่อมาอยู่ในมือก็ให้ความรู้สึกร้อนฉ่าไม่ต่างจากกำลังถือถ่านเผาไฟอยู่หนึ่งก้อน แต่เมื่อรับประทานเข้าไปในปากแล้ว พวกมันกลับให้ความรู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำ และเมื่อกลืนลงไปถึงในกระเพาะ คลื่นพลังจำนวนมากก็ไหลเวียนไปทั่วร่างกายโดยทันที
ไม่มีผลข้างเคียง!
ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย!!
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็แบ่งผลเซียนเหนือฟ้าให้แก่ทุกคนคนละลูก
“รับประทานเถอะ หลังจากนั้นก็รีบหลอมรวมพลังซะ”
เซียวปิง หวังจง องค์ชายเจี้ยนอวี่ อากวงและคนอื่น ๆ รีบรับประทานกันอย่างรวดเร็ว
เจ้าจักจั่นทองคำก็รับประทานเช่นกัน มันขยายหัวของตนเองจนมีขนาดใหญ่เท่ากับศีรษะมนุษย์ จึงสามารถเขมือบผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปได้ทั้งลูกในคำเดียว เมื่อทุกคนเห็นเช่นนั้น ก็อดรู้สึกเหงื่อตกไม่ได้
ให้ตายสิ
จักจั่นทองคำตัวนี้เป็นสัตว์อสูรจริง ๆ ด้วย
ต่อจากนั้น กลุ่มคนก็นั่งหลอมรวมพลังอยู่บนเกาะหินกลางบึงน้ำ
ในจำนวนผู้คนกลุ่มนี้ หวังจงคือผู้ที่กระตือรือร้นมากที่สุด
ชายชราออกกำลังกายด้วยการวิดพื้นไม่หยุดยั้ง พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างเกรี้ยวกราด
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หลินเป่ยเฉินสามารถหลอมรวมพลังได้ช้ากว่าทุกคน
เพราะเดิมทีในร่างกายของเขามีพลังจากโอสถวิเศษอยู่แล้ว เมื่อเพิ่มเติมพลังจากผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไป กระแสพลังทั้งสองชนิดจึงตีกันชุลมุนวุ่นวาย ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้เคยมีเส้นผมอยู่เพียงเส้นเดียว แต่บัดนี้ เขากลับมีเส้นผมยี่สิบถึงสามสิบเส้นรัดพันกันยุ่งเหยิง
นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังพบว่าพลังในร่างกายของตนเองเพิ่มมากขึ้นและร่างกายก็ยังแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ผิวหนังของเขามีลำแสงสีดำแดงเรืองรองออกมาจากรูขุมขนเป็นระยะ
นี่หมายความว่าร่างกายของเขากำลังปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่
เมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนั่งหลอมรวมพลังกันอยู่ที่เดิม หลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นเดินเรืองแสงตรงไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าต้นเซียนเหนือฟ้า
“มันจะตายแล้วหรือยังหว่า?”
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือเมื่อพวกเขาเด็ดผลไม้หน้าตาประหลาดนั้นลงมาจากต้นเซียนเหนือฟ้า ต้นไม้วิเศษต้นนี้ก็เหี่ยวแห้งตายซากโดยทันที ไม่ต่างจากต้นไม้ที่ยืนตายซากมาหลายร้อยปี
“น่าเสียดายจริง ๆ ตอนแรกว่าจะหักกิ่งเอาไปลองปลูกดูสักหน่อย…”
หลินเป่ยเฉินพึมพำกับตนเอง
แต่ทันใดนั้น เขาก็เกิดความคิดบรรเจิด หลินเป่ยเฉินจัดการถอนรากถอนโคนต้นเซียนเหนือฟ้าและเก็บมันเอาไว้ในพื้นที่เก็บไฟล์ออนไลน์ของแอปสวิ่นเล่ย
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย คนอื่น ๆ ก็หลอมรวมพลังเสร็จสิ้นพอดี
ทุกคนมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์
โดยเฉพาะเจ้าจักจั่นทองคำ ปีกที่แตกหักและขาที่ขาดหายไปก็งอกกลับคืนมาใหม่แล้ว
หลินเป่ยเฉินลองนำก้อนหินมาทิ่มแขนของเซียวปิง ปรากฏว่าก้อนหินแหลมคมไม่สามารถทำอันตรายเด็กหนุ่มร่างอ้วนได้อีก
“พี่ใหญ่ นี่หมายความว่าร่างกายของพวกเราปรับตัวได้แล้วใช่หรือไม่?” เซียวปิงอุทานออกมาด้วยความดีใจ
“น่าจะเป็นเช่นนั้น”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ตอบจากการคาดเดาของตนเอง
พลังชีวิตของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น
“หืม? ต้นไม้หายไปไหนแล้วล่ะ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงมองไปที่หลุมลึกบนพื้นดิน หลุมนี้เคยเป็นตำแหน่งที่ตั้งของต้นเซียนเหนือฟ้า นางตั้งใจจะถอนรากถอนโคนมันเอามาเก็บเอาไว้ ไม่ทราบเลยว่าเป็นสุนัขตัวใดมาชิงลงมือตัดหน้านางไปเสียก่อน
“อ้อ มันคงกลัวพวกเราจนมุดดินหนีไปแล้วน่ะ…” หลินเป่ยเฉินตอบ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงหันกลับมามองหน้าเขาด้วยความสงสัย
จักจั่นทองคำพูดว่า “ต้นไม้ชนิดนี้ถือเป็นต้นไม้วิเศษ มันย่อมมีวิญญาณเป็นของตนเอง เป็นไปได้ว่าเมื่อผลของมันถูกเด็ดออกไป มันจึงรู้สึกไม่ปลอดภัยและรีบหลบหนีไปก็เป็นได้…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจำต้องเชื่อโดยทันที
พวกเขาออกเดินทางกันต่อ
เมื่อหลอมรวมพลังจากผลเซียนเหนือฟ้าเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็สามารถเดินทางได้เร็วมากขึ้น และยิ่งเดินทางได้เร็วมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพลังในร่างกายก็เริ่มคงที่มากเท่านั้น
ปรากฏว่าการเดินทางก็นับเป็นการหลอมรวมพลังชนิดหนึ่งเช่นกัน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ใกล้มืดค่ำแล้ว
หมอกหนารอบตัวเริ่มกลายเป็นสีดำทะมึน ทุกคนได้ยินเสียงกระซิบกระซาบฟังหลอนหู บางครั้งถึงกับเห็นเงาคนเลือนรางอีกด้วย!
และยังมีคลื่นพลังแปลกประหลาดในอากาศ
สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียด
มีอันตรายซ่อนตัวอยู่ในความเงียบ
ต้องรีบออกไปจากบึงน้ำแห่งนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด
หลินเป่ยเฉินมองเส้นทางการเดินทางบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ เหลือระยะทางอีกเพียงสิบลี้ พวกเขาก็จะได้ออกไปจากบึงน้ำมรณะแห่งนี้แล้ว เด็กหนุ่มจึงตะโกนเสียงดังว่า “เร่งความเร็วกันหน่อย พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อนจะมืด…”
ทุกคนรีบเร่งความเร็ว
หวังจงถึงกับกระโดดขึ้นไปนั่งขี่อยู่บนแผ่นหลังของเสี่ยวหู
ส่วนเด็กสาวรอยสักมังกรหลงหน่าก็แบกองค์ชายเจี้ยนอวี่อยู่บนแผ่นหลังเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นาน
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง
ในเส้นทางของแอปไป่ตู้ แมป ปรากฏจุดสีแดงจำนวนมากแสดงขึ้นมาบนเส้นทางด้านหน้า เห็นได้ชัดว่ามีสิ่งมีชีวิตกำลังรอคอยพวกเขาอยู่
แต่ไม่มีสัญญาณแจ้งเตือนถึงอันตราย
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนตัดสินใจเดินหน้าต่อไป
และแล้ว
พวกเขาก็ได้พบกับมนุษย์ผู้สวมใส่ชุดหนังแปลกประหลาดหลายสิบคน
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
“มีคนเดินออกมาจากป่าฝนเขียวได้อย่างไร?”
“หรือพวกมันเป็นอสูรจำแลงกายปลอมตัวมา?”
“หยุดนะ อย่าขยับ อย่าเข้ามาใกล้”
คนกลุ่มนั้นตกตะลึงกับการปรากฏตัวของพวกหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าได้พบเห็นฝูงปลากลางทะเลทรายอย่างไรอย่างนั้น
พวกเขาขยับออกมายืนขวางหน้ากลุ่มของหลินเป่ยเฉิน
แต่โชคดีที่ภาษาในการสื่อสารนั้นใช้ภาษามนุษย์เช่นเดียวกับแผ่นดินตงเต้า ดังนั้นหลินเป่ยเฉินจึงฟังเข้าใจได้เป็นอย่างดี
“พวกเราเป็นเพียงนักพเนจรที่หลงทางขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินตอบคำถามอย่างรวดเร็วและถามกลับไปว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านเป็นผู้ใด?”
“ข้าเป็นผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่เหินฟ้า อวี้อู๋อู่”
ชายชราผมสีเทาผู้มีหน้าตาเกลี้ยงเกลา สวมใส่เสื้อคลุมหนังท่าทางน่าเคารพกล่าว
สำนักกระบี่เหินฟ้า?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
เขานึกถึงป้ายไม้ไผ่ที่ตนเองเก็บอยู่กับตัวขึ้นมาทันที
คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งมาถึงแดนมหาแผ่นดินได้ไม่ทันไร หลินเป่ยเฉินก็ได้พบกับผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้าแล้ว!