เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1533 คำเชิญเข้าร่วมสำนัก
ตอนที่ 1,533 คำเชิญเข้าร่วมสำนัก
ด้านนอกป่าฝนเขียว
บนเนินเขาแห่งหนึ่ง สมาชิกระดับสูงของหกสำนักใหญ่แห่งเมืองชิงอวี่มารวมตัวกันพร้อมด้วยผู้คนในสำนักจำนวนหลายพันคน
พวกเขาต่างก็มาที่นี่เพื่อผลเซียนเหนือฟ้า
เพราะต้นไม้วิเศษต้นนี้กว่าจะออกผลทั้งเก้าลูกนั้น ก็ต้องใช้เวลาถึงสองร้อยสี่สิบปีทีเดียว
เมื่อผลเซียนเหนือฟ้าถูกเด็ดลงมา ต้นของมันก็จะตายซาก พวกเขาจะต้องรอคอยไปอีกสองร้อยสี่สิบปีกว่าที่ต้นไม้จะฟื้นฟูกลับมาออกผลได้อีกครั้ง
ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดอยากพลาดโอกาสนี้
และเพื่อจะได้เก็บเกี่ยวผลเซียนเหนือฟ้า บรรดาผู้คนจากสำนักใหญ่ก็พร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พวกมันมาครอบครอง
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา สายข่าวของทั้งหกสำนักใหญ่ต่างก็รายงานตรงกันว่า ต้นเซียนเหนือฟ้าที่อยู่ในป่าฝนเขียวนั้นได้ออกผลพร้อมสำหรับการเก็บเกี่ยวแล้ว
เพราะฉะนั้น ทั้งหกสำนักใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักกระบี่เหินฟ้า คฤหาสน์เซินซุย ค่ายน้ำอ่าวจันทรา พรรควารีพิฆาต วังถ้ำเซียนและเกาะมังกรฟ้า จึงส่งผู้อาวุโสในสำนักมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาหารือ พวกเขามีความเห็นว่าทุก ๆ สำนักสมควรส่งยอดฝีมือของตนเองผนึกกำลังกันเข้าไปเก็บเกี่ยวผลเซียนเหนือฟ้ากลับออกมา
แต่ความพยายามของพวกเขากลับสูญเปล่า
บึงน้ำดำในป่าฝนเขียวมีอันตรายซ่อนอยู่มากเกินไป บึงน้ำนั้นมีอิทธิฤทธิ์สามารถลดทอนพลังผู้คน อีกทั้งยังมีหมอกพิษร้ายกาจทำให้ผู้คนเห็นภาพหลอนและเสียสติ เหล่ายอดฝีมือที่ถูกส่งตัวเข้าไปในป่าฝนเขียวจึงไม่มีผู้ใดได้กลับออกมาอีกเลย
ป้ายหยกประจำตัวของยอดฝีมือเหล่านั้นแตกร้าว เป็นสัญญาณที่บอกว่าพวกเขาล้วนเสียชีวิตอยู่ในป่าฝนเขียวหมดสิ้น
ครึ่งชั่วยามก่อน หัวหน้าหกสำนักใหญ่จึงเรียกประชุมผู้อาวุโสระดับสูงสิบหกคน เพื่อสรุปแผนการสำหรับความพยายามครั้งสุดท้าย
“รายงานท่านเจ้าสำนัก…”
ทันใดนั้น กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาในอากาศ บนกระบี่เล่มนั้นยืนไว้ด้วยศิษย์ของสำนักกระบี่เหินฟ้านามว่าเฉียวฉู่อวี้ “กราบเรียนท่านเจ้าสำนักและศิษย์พี่ทุกท่าน เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นแล้วขอรับ ทีมสำรวจของพวกเราพบคนแปลกหน้าเจ็ดชีวิตกำลังเดินออกมาจากบริเวณชายป่าฝนเขียว และจากการสอบสวนเบื้องต้นพบว่า คนกลุ่มนี้ได้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปโดยไม่ตั้งใจหมดสิ้นแล้วขอรับ”
การรายงานครั้งนี้ทำให้บรรยากาศปั่นป่วนขึ้นมาทันที
บรรดาหัวหน้าสำนักและผู้อาวุโสใหญ่ต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?”
หัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้า หลิวอู่เหยียน เจ้าของฉายากระบี่วารีบรรณาการยกมือขึ้นกระแทกใส่เก้าอี้สามขาตัวโปรดจนมันระเบิดกระจายเป็นผุยผง “ผลเซียนเหนือฟ้าถูกรับประทานได้อย่างไร? แม้แต่ลูกเดียวก็ไม่มีเหลืออย่างนั้นหรือ?”
“กราบเรียนท่านเจ้าสำนัก แม้แต่ลูกเดียวก็ไม่มีเหลือขอรับ”
เฉียวฉู่อวี้รายงานด้วยความลำบากใจ
หลิวอู่เหยียนหันไปจ้องมองหัวหน้าสำนักใหญ่อีกห้าท่านที่เหลืออยู่ในกระโจม ทุกคนต่างก็มีเสียหน้าคล้ายคลึงกัน ใบหน้าบิดเบี้ยว ราวกับกำลังถูกผู้คนบังคับให้รับประทานอาจมก็ไม่ปาน
“พวกท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
หลิวอู่เหยียนสอบถาม
“เรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล” ไป๋ลู่ซือ หัวหน้าพรรควารีพิฆาตเป็นสตรีวัยสามสิบปี หน้าตางดงาม นางอธิบายต่อว่า “ป่าฝนเขียวเป็นสถานที่ต้องห้าม ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปที่นั่นมานานแล้ว คนกลุ่มนี้เป็นผู้ใด? พวกเขามาจากไหน? เพราะเหตุใดจึงรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าและยังกลับออกมาจากป่าฝนเขียวได้อย่างปลอดภัยเช่นนี้อีก?”
“เราจึงสมควรนำตัวพวกมันมาสอบสวนไม่ใช่หรือ?”
ตงฟางติง ประมุขคฤหาสน์เซินซุยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เฮอะ เดี๋ยวข้าจะสอบสวนพวกมันเองว่าพวกมันมาจากที่ใด และพวกมันอยากตายใช่หรือไม่ จึงรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าของพวกเราไปเช่นนั้น”
หัวหน้าสำนักใหญ่อีกสามแห่งที่เหลือต่างก็มีความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
หลังจากนั้น พวกของหลินเป่ยเฉินก็ถูกนำตัวมายังกระโจมที่พักของหัวหน้าหกสำนักใหญ่ ภายใต้การนำทางจากหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสำนักกระบี่เหินฟ้า อวี้อู๋เฉียน
บรรดาหัวหน้าหกสำนักใหญ่ต่างก็รีบเดินออกมาจากกระโจมเพื่อยลโฉมหัวขโมยแห่งป่าฝนเขียว
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็จ้องมองไปที่พวกของหลินเป่ยเฉินราวกับต้องการพิจารณาร่างกายของอีกฝ่ายให้ละเอียดถึงทุก ๆ รูขุมขน
พวกเขาไม่เคยพิจารณาผู้ใดละเอียดถึงเพียงนี้มาก่อน
แต่ยิ่งจ้องมองมากเพียงใด สีหน้าก็ยิ่งแสดงออกถึงความประหลาดใจมากเท่านั้น
และยิ่งจ้องมองมากเพียงใด พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดหวังมากเท่านั้น
เพราะถึงแม้คนแปลกหน้ากลุ่มนี้จะรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้ว แต่ร่างกายก็ไม่ได้มีพลังแข็งแกร่งน่าหวาดกลัวแต่อย่างใด ดูท่าแล้ว คนแปลกหน้ากลุ่มนี้คงเป็นเพียงหัวขโมยที่เข้าไปรับประทานผลไม้วิเศษโดยไม่รู้เรื่องราวใดเลยจริง ๆ
“พวกเขาคงกินผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปจริง ๆ สินะ ข้ารู้สึกได้ถึงพลังของผลไม้วิเศษเหล่านั้นในตัวของพวกเขา…”
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าพูดด้วยสีหน้าเศร้าโศก
เขาไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรกล่าวเช่นใด
ทั้งหกสำนักใหญ่ต่างก็เตรียมการเพื่อวันนี้มาอย่างยาวนาน แต่สุดท้าย เหตุการณ์กลับลงเอยเช่นนี้เอง
“เฮอะ ผ่าท้องพวกมันแล้วเอาผลไม้วิเศษออกมาเลยดีกว่า”
ตงฟางติง ประมุขคฤหาสน์เซินซุยพูดด้วยความเกรี้ยวกราด
“ไม่ได้ ผลไม้วิเศษถูกย่อยไปแล้ว ต่อให้เราผ่าท้องพวกเขาออกมา พวกเราก็หาไม่เจอหรอก…” เยว่อู๋เซี่ย ประมุขรักษาการของค่ายน้ำอ่าวจันทราส่ายศีรษะปฏิเสธข้อเสนอนั้น
“ถูกต้อง ผลเซียนเหนือฟ้าเป็นสิ่งของล้ำค่า ผู้ที่ได้รับประทานมันเข้าไปต้องเป็นผู้ที่มีวาสนาอย่างแท้จริงเท่านั้น” ไป๋ลู่ซือ หัวหน้าพรรควารีพิฆาตกล่าว “นี่คือโชคชะตาฟ้ากำหนด นับว่าเป็นพวกเราไร้วาสนาต่อผลเซียนเหนือฟ้าเอง”
พวกเขาคือหกสำนักธรรมะผู้ผดุงความยุติธรรม จึงไม่สะดวกต่อการลงมือกระทำเรื่องราวชั่วร้าย
“พวกเจ้าเป็นใครและพวกเจ้ามาจากที่ใด?”
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าถาม
หลินเป่ยเฉินประสานมือตอบด้วยความเคารพ “พวกเรามาจากหมู่บ้านซานซุยขอรับ และเนื่องจากพวกเราไม่คุ้นชินเส้นทาง จึงหลงเข้าไปในหมอกหนา พวกเราไม่ทราบว่าตนเองเข้าไปอยู่ในป่าฝนเขียว จึงทำให้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าไปโดยไม่ตั้งใจขอรับ”
นี่คือข้อแก้ตัวที่เด็กหนุ่มใช้เวลาคิดมาตลอดทาง
สิ่งที่เรียกว่าหมู่บ้านซานซุยนั้น ก็คือชื่อหมู่บ้านบนแผนที่หนังสัตว์ของเว่ยหมิงเฉินนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าเรื่องที่พวกของตนเองกระทำลงไปนั้นส่งผลร้ายแรงเพียงใด อวี้อู๋เฉียนบอกเล่าถึงความผิดของพวกเขามาตลอดเส้นทางว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบ้าง ดังนั้น พวกของหลินเป่ยเฉินจึงต้องเสแสร้งแกล้งเป็นผู้บริสุทธิ์ให้ถึงที่สุด
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าหันกลับมาจ้องมองผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน
ชายวัยกลางคนผู้ถูกจ้องมองนิ่งเงียบเล็กน้อย ก่อนให้คำตอบว่า “มีหมู่บ้านซานซุยอยู่จริง ๆ ขอรับ… หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของป่าฝนเขียว ใกล้กับเมืองหมิงเหอ”
หัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าหันกลับมาจ้องมองที่พวกของหลินเป่ยเฉินไม่ต่างไปจากบิดาที่จับได้ว่าบุตรสาวแอบหนีตามบุรุษหนุ่มออกจากบ้าน ในหัวใจจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลาย
หลินเป่ยเฉินกับพรรคพวกทำตัวสงบเสงี่ยมขณะถูกนำตัวมาอยู่ในกระโจมสีขาวหลังใหญ่ในค่ายที่พักชั่วคราวและได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
แต่ทางเข้าออกกระโจมมีเวรยามคอยรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เป็นเจ้าถิ่นเกรงกลัวว่าพวกเขาจะแอบหลบหนีเช่นกัน
หัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกกำลังปรึกษาหารืออะไรกันบางอย่าง
ในช่วงเวลาระหว่างนั้น อวี้อู๋เฉียนถึงกับแวะเวียนมาหาพวกของหลินเป่ยเฉินในกระโจม
ผู้อาวุโสจากสำนักกระบี่เหินฟ้าคนนี้เป็นคนดี แม้หน้าตาอาจจะดูเคร่งขรึมจริงจังไปบ้าง แต่กลับมีหัวใจอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
เขารับหน้าที่ปลอบโยนทุกคนว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกนะ หกสำนักใหญ่แห่งเมืองชิงอวี้ไม่ใช่กลุ่มคนชั่วร้าย พวกเขาไม่ทำเรื่องไม่ดีกับพวกเจ้าแน่ ข้าเดาเอาว่าผลสรุปสุดท้าย ทั้งหกสำนักใหญ่คงอยากจะรับตัวพวกเจ้าเป็นลูกศิษย์ และต้องไม่ลืมว่าพวกเจ้ารับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้ว ร่างกายจึงมีความแข็งแกร่งมากกว่าผู้คนทั่วไป เมื่อพวกเจ้าได้บรรจุเข้าเป็นศิษย์ของพวกเขา รับรองว่าในอนาคตข้างหน้า พวกเจ้าต้องได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนักรุ่นถัดไปอย่างแน่นอน”
เมื่อปลอบใจพวกเขาเสร็จแล้ว อวี้อู๋เฉียนก็เดินจากไป
ภายในกระโจมสีขาว พวกของหลินเป่ยเฉินก็กำลังปรึกษาหารือกันอยู่เช่นกัน
พวกเขามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า หากทั้งหกสำนักใหญ่อยากจะรับตัวทุกคนเป็นลูกศิษย์จริง ๆ พวกเขาก็ต้องยอมไหลตามน้ำไปก่อน เอาไว้ให้ร่างกายปรับตัวกับโลกใบใหม่ได้โดยสมบูรณ์และพวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่าที่เป็นอยู่เมื่อไหร่ ถึงตอนนั้นค่อยมาวางแผนระยะยาวกันอีกที
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีถึงคำแนะนำจากกระบี่กวาดสวรรค์ซวีเซี่ยเกอที่ว่า เมื่อมาถึงแดนมหาแผ่นดินแล้ว เขาก็ควรหาทางเอาตัวรอดให้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากโทรศัพท์มือถือของเขาเข้าสู่สถานะอัปเกรดอุปกรณ์เมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีทางออกไปเดินเพ่นพ่านในโลกแปลกหน้าแห่งนี้ได้อีกแล้ว
ในคืนนั้น ผลการประชุมจากหกสำนักใหญ่ก็ออกมา
เป็นไปตามคาด บรรดาหัวหน้าสำนักต่างก็เชิญพวกของหลินเป่ยเฉินให้เข้าร่วมเป็นลูกศิษย์รุ่นใหม่และรับปากว่าหากพวกเขายอมเข้าร่วมแต่โดยดี ทั้งหกสำนักก็จะมอบสถานะลูกศิษย์ระดับสูงให้โดยทันที… นี่หมายความว่าในทุก ๆ ปี พวกเขาจะได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกวิทยายุทธ์เป็นจำนวนมาก
นี่คือสิ่งที่ลูกศิษย์ของทั้งหกสำนักใหญ่ล้วนใฝ่ฝันถึง
กล่าวได้ว่าท่านเจ้าสำนักทั้งหกต่างก็มีจิตใจที่เมตตาต่อพวกของหลินเป่ยเฉินอย่างแท้จริง
เพียงแต่มีปัญหาข้อเดียวเท่านั้นคือ พวกเขาจะอยู่ร่วมสำนักเดียวกันไม่ได้เด็ดขาด!