เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1534 สายเลือดของหวังจง
ตอนที่ 1,534 สายเลือดของหวังจง
“พวกเจ้ารับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแล้ว เท่ากับได้รับการเปลี่ยนกระดูกเลาะเส้นเอ็น พื้นฐานความแข็งแกร่งของร่างกายเปลี่ยนไป สายเลือดในตัวพวกเจ้าได้รับการปรับปรุงใหม่ นับต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะต้องกลายเป็นยอดฝีมือไร้ขีดจำกัดอย่างแน่นอน…”
เผิงเซ้าเจี๋ย ประมุขเกาะมังกรฟ้าพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ดังนั้น ยอดฝีมืออัจฉริยะเช่นนี้จะให้รวมอยู่ในสำนักเดียวกันไม่ได้เด็ดขาด พวกเจ้าต้องแยกย้ายกระจายตัว ส่วนจะไปอยู่ในสำนักใดบ้างนั้น พวกเจ้ามีสิทธิ์เลือกได้ตามใจปรารถนา”
“ไม่นะ ข้าไม่มีทางแยกกับองค์ชายเด็ดขาด…. องค์ชายเพคะ”
เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่ากล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล
นางเป็นสาวรับใช้ข้างกายองค์ชายเจี้ยนอวี่มาตั้งแต่จำความได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น หลงหน่าจึงไม่คิดแยกจากนายท่านของตนเองเด็ดขาด
อากวง เซียวปิงและคนอื่น ๆ ก็ไม่อยากแยกจากหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
พวกเขาเพิ่งมาถึงดินแดนแปลกหน้าและไม่ทราบเลยว่ามีอันตรายใดกำลังรอคอยอยู่อีกบ้าง
“พวกเราหกสำนักใหญ่ย่อมไม่ใจไม้ไส้ระกำ นี่ไม่ใช่การแยกจากกันตลอดกาล ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถฝึกวิชาได้สำเร็จ ก็จะได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง”
อวี้อู๋เฉียนพยายามปลอบใจ
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่สักครู่ สุดท้ายก็พยักหน้าบอกให้ทุกคนทำตามข้อตกลง
หัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าหลิวอู่เหยียนกล่าวด้วยความพึงพอใจว่า “แต่ก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าร่วมกับสำนักใด พวกเจ้าต้องเข้ารับการทดสอบสายเลือดเสียก่อน นับตั้งแต่โบราณกาลนานมา องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้แบ่งแยกสายเลือดพวกเราออกเป็นยี่สิบสี่ชนิด และสายเลือดแต่ละชนิดก็มีผลต่อการฝึกวิทยายุทธ์โดยตรง เพราะฉะนั้น โดยพื้นฐานแล้วการรับลูกศิษย์ของหกสำนักใหญ่แห่งเมืองชิงอวี้ จึงคัดเลือกจากความแข็งแกร่งของระดับขั้นสายเลือดเป็นหลัก…”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
นี่คือครั้งแรกที่เขาได้ยินเกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องการฝึกวิทยายุทธ์ของแดนมหาแผ่นดิน ซึ่งดูเหมือนว่าสายเลือดและชาติกำเนิดน่าจะมีส่วนสำคัญอยู่ไม่น้อย
ว่าแต่ว่ายี่สิบสี่สายเลือดนั้นประกอบไปด้วยสายเลือดอะไรบ้างนะ?
เด็กหนุ่มได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
ในไม่ช้า เฉียวฉู่อวี้ ศิษย์ของสำนักกระบี่เหินฟ้าก็ปรากฏตัวขึ้นในกระโจมหลังใหญ่พร้อมด้วยอุปกรณ์สำหรับการทดสอบสายเลือด
หนึ่งในอุปกรณ์นั้นมีลักษณะเหมือนเข็มฉีดยาที่ใช้สำหรับการดูดเลือดโดยเฉพาะ
“ผู้ใดจะเข้ารับการทดสอบเป็นคนแรก?”
เฉียวฉู่อวี้เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้น ๆ ผมสีแดงยาวสลวย ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาจ้องมองพวกหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล นี่เป็นเพียงการทดสอบทั่วไปเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นถีบหวังจงออกไปข้างหน้า
“เขาจะเข้ารับการทดสอบก่อน”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงดัง
และภายใต้การจ้องมองจากสายตาจำนวนมาก เฉียวฉู่อวี้ก็นำเข็มฉีดยาดูดเลือดออกมาจากแขนของหวังจง ก่อนจะนำเลือดที่ได้มาเทใส่เข้าไปในวัตถุทรงกระบอก ซึ่งวัตถุทรงกระบอกนั้นก็จะเรืองแสงขึ้นมาในทันที…
เพียงไม่นาน ขีดสีแดงก็ปรากฏขึ้นบนมาตรวัดพลังด้านบนวัตถุทรงกระบอกนั้น
“เป็นสายเลือดขั้นกลาง”
หญิงสาวหน้าตางดงามผู้ควบคุมอุปกรณ์การทดสอบสายเลือดอุทานออกมา
เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบตัว
เมื่อเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของหลินเป่ยเฉิน อวี้อู๋เฉียนก็อธิบายด้วยเสียงกระซิบว่า “นี่คือระดับสายเลือดที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากลำดับชั้นสายเลือดของพวกเรานั้นจะแบ่งแยกออกเป็นหกระดับไล่จากต่ำไปสูงประกอบด้วย สายเลือดขั้นกากเดน สายเลือดขั้นเศษดิน สายเลือดขั้นสามัญ สายเลือดขั้นกลาง สายเลือดขั้นสูง และสายเลือดขั้นสูงสุด ยิ่งมีลำดับชั้นสายเลือดสูงส่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้แข็งแกร่งมากเท่านั้น”
“โดยส่วนใหญ่ สายเลือดหลักของผู้คนโดยทั่วไปมักจะอยู่ในขั้นเศษดิน ต่อให้ค้นพบผู้ที่มีสายเลือดขั้นสามัญ ก็เรียกได้ว่าต้องเป็นอัจฉริยะหนึ่งในล้านคนเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีสายเลือดขั้นกลางเช่นสหายของเจ้า จึงนับว่าเป็นผู้ที่หาได้ยากยิ่งนัก แม้ว่าสหายของเจ้าผู้นี้จะดูแก่ชราและตัวเล็กเกินไปสักหน่อย แต่ในเมื่อเขาเป็นถึงผู้ที่มีสายเลือดขั้นกลาง นี่ย่อมหมายความว่าในอนาคตข้างหน้า เขาอาจกลายเป็นยอดฝีมือไร้เทียมทานได้เช่นกัน…”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
เขาคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
สุนัขเฒ่าหวังจงผู้ที่ไม่มีฝีมือการต่อสู้ในแผ่นดินตงเต้า กลับมีสายเลือดที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ขณะนี้ หัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านต่างก็จ้องมองมาที่หวังจงด้วยดวงตาร้อนผ่าว
ชายชราผู้นี้เป็นผู้ที่มีสายเลือดขั้นกลาง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขาสามารถปลดผนึกพลังของหนึ่งในยี่สิบสี่สายเลือดโบราณได้สำเร็จ ในอนาคต ชายชราผู้นี้ก็จะกลายเป็นบุคคลสำคัญประจำสำนักของพวกเขาอย่างแน่นอน
“สหายผู้เฒ่า คฤหาสน์เซินซุยของเรามีคัมภีร์ย้อนวัย ช่วยทำให้ท่านสามารถกลับมาเป็นหนุ่มแน่นได้อีกครั้ง…” ประมุขคฤหาสน์เซินซุย ตงฟางติงเริ่มประกาศจุดเด่นของสำนักตนเองโดยทันที
“อะแฮ่ม…”
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้ากระแอมไอเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ท่านประมุขตง คนอื่น ๆ ยังไม่ได้เข้ารับการทดสอบ กรุณาใจเย็นก่อน อย่าเพิ่งละเมิดกฎเสียตั้งแต่ตอนนี้”
ตงฟางติงจึงพ่นลมผ่านทางจมูกและหยุดพูดโดยทันที
หลิวอู่เหยียนคลี่ยิ้มเล็กน้อย หันหน้ามองไปที่หวังจงและกล่าวว่า “แต่หากท่านต้องการคัมภีร์ย้อนวัย สำนักของพวกเราก็มีให้ท่านได้ศึกษาเช่นกัน…”
ทุกคนพูดอะไรไม่ออก
ช่างไร้ยางอายกันเสียจริง
หวังจงยืนยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองในวัยแก่ชรากลับถูกยกย่องให้เป็นยอดฝีมือในอนาคตเช่นนี้
การทดสอบสายเลือดดำเนินต่อไป
ผู้ที่เข้ารับการทดสอบเป็นคนต่อมาคือองค์ชายเจี้ยนอวี่
ในไม่ช้า ผลการทดสอบก็ปรากฏ
เสียงอุทานจากหญิงสาวหน้าตางดงามผู้ควบคุมเครื่องทดสอบดังขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่ออีกครั้ง “นี่เป็นสายเลือดขั้นสูง ให้ตายเถอะ เขาเป็นผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูง!”
“ว่าไงนะ?”
“เป็นไปไม่ได้”
“สายเลือดขั้นสูงอย่างนั้นหรือ? นี่นับว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว”
“ในเมืองชิงอวี้ของพวกเรา บันทึกในประวัติศาสตร์เคยกล่าวว่ามีการค้นพบผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงเพียงไม่ถึงห้าคนเท่านั้นไม่ใช่หรือ?”
เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังอื้ออึงรอบบริเวณ
แววตาที่ร้อนระอุจับจ้องมองไปยังองค์ชายเจี้ยนอวี่เป็นหนึ่งเดียว
บรรดาศิษย์สาวที่ยังไม่ได้แต่งงานล้วนกลืนน้ำลายเมื่อเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาขององค์ชายเจี้ยนอวี่ และพวกนางก็ยินดีที่จะปลดสายรัดเอวของตนเองเพื่อเขาได้ทุกเมื่อ
แต่บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านกลับมีแววตาที่ร้อนแรงมากกว่าพวกนางเสียอีก หัวใจของพวกเขาเต้นรัวเร็ว เพราะไม่เคยพบเจอกับผู้ที่มีสายเลือดระดับสูงเช่นนี้มาก่อน
แต่ว่าเรื่องราวการตรวจสอบระดับสายเลือดในครั้งนี้จะให้ล่วงรู้ออกไปถึงหูผู้คนโลกภายนอกไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้ว บรรดาสำนักใหญ่ทั่วแดนดินคงแย่งกันช่วงชิงตัวชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความดุเดือดแน่ ๆ
“หึหึ เป็นการทดสอบที่น่าสนใจดีนี่นา”
องค์ชายเจี้ยนอวี่เดินเข้าไปตบไหล่หวังจงและกล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่า “พ่อบ้านเฒ่า อย่าเพิ่งได้ใจเกินไปหน่อยเลย คนเราแข่งอะไรก็แข่งกันได้ แต่จะแข่งโชคชะตาวาสนานั้น ไม่มีทางแข่งกันได้เด็ดขาด เรื่องราวเช่นนี้ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี”
หวังจงมีสีหน้าเศร้าสลด
เขาไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งอีกแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงช่างเกิดขึ้นรวดเร็วนัก
คนต่อมาที่เข้ารับการทดสอบคือเซียวปิง
และครั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็ยิ่งน่าตกตะลึงมากกว่าเดิม เพราะหญิงสาวผู้ควบคุมเครื่องทดสอบถึงกับหยุดชะงัก ก่อนเป็นลมหมดสติไปด้วยความตื่นเต้นเกินขีดจำกัด…
“อุปกรณ์ตรวจวัดเสียหาย รีบนำอุปกรณ์ชิ้นใหม่มาเร็วเข้า… ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องโปรดออกไปรอที่ด้านนอกก่อน ภายในกระโจมมีผู้คนอยู่มากเกินไป เราผู้เฒ่าหายใจไม่ออก…”
หัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าหลิวอู่เหยียนลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเริ่มต้นขับไล่ผู้คนออกไปจากกระโจม
“ถูกต้อง ออกไปให้หมด”
นี่เป็นครั้งแรกที่บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านต่างก็มีความคิดเห็นตรงกัน ดังนั้น นอกจากพวกของหลินเป่ยเฉินและบรรดาผู้อาวุโสคนสำคัญประจำสำนักแล้ว บรรดาศิษย์คนอื่น ๆ ล้วนถูกขับไล่ออกไปรอที่ด้านนอกหมดสิ้น
และเมื่อเปลี่ยนอุปกรณ์การทดสอบเป็นชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ควบคุมการทดสอบก็ยังเปลี่ยนตัวมาเป็นอวี้อู๋เฉียนอีกด้วย เพราะหญิงสาวผู้ทำหน้าที่ก่อนหน้านี้ยังไม่ฟื้นจากการสลบ จึงถูกหามตัวออกไปด้านนอกเช่นกัน
“ให้ตายเถอะ นี่คือสายเลือดขั้นสูงสุด เกิดมาเราผู้เฒ่ายังไม่เคยเห็นสายเลือดระดับนี้มาก่อน… ไม่ได้การ ลองตรวจดูอีกครั้งให้แน่ใจดีกว่า”
หลิวอู่เหยียนพูดด้วยเสียงที่สั่นเครือเพราะความตื่นเต้น
ผลก็คือ เซียวปิงเป็นผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดจริง ๆ
เหล่าหัวหน้าสำนักใหญ่อีกห้าท่านที่เหลืออยู่ถึงกับรู้สึกเวียนหัวตาลายขึ้นมาโดยทันที
ในช่วงชีวิตของพวกเขาจะมีวาสนาได้พบกับผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดจริง ๆ หรือ?