เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1535 สายเลือดขั้นสูงสุดคนที่สอง
ตอนที่ 1,535 สายเลือดขั้นสูงสุดคนที่สอง
สายเลือดขั้นสูงสุด?
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
แม้แต่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ยังต้องเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงและจ้องมองไปที่เซียวปิงอย่างไม่อยากเชื่อ
นางต้องประเมินเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้ใหม่เสียแล้ว
“ให้ตายเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องไม่ใช่คนธรรมดา…”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโน้มตัวพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “สายเลือดของเจ้าสูงส่งถึงเพียงนี้ ข้าตั้งความหวังในตัวเจ้าเลยนะเนี่ย น้องชาย ไม่ทราบว่าปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว? ในครอบครัวมีพี่น้องกี่คน มีที่ดินมากเพียงใด ได้เลี้ยงวัวบ้างหรือไม่? เจ้าแต่งงานแล้วหรือยัง? ข้าแนะนำสาว ๆ สวย ๆ ให้เจ้าได้นะ”
เซียวปิงกำลังรับประทานขาหมูทอดด้วยความเอร็ดอร่อย ทันใดนั้น หูของเขาก็สะดุดเข้ากับคำ ๆ หนึ่ง “วัวหรือ? นำมารับประทานได้หรือไม่?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพูดอะไรไม่ออก
นางลืมไปเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นยอดนักกิน
จังหวะนั้น บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านล้วนบังคับตนเองให้สงบจิตใจลงและเริ่มทดสอบสายเลือดต่อไป พวกเขานำเลือดของเซียวปิงไปตรวจเป็นครั้งที่สองเพื่อความแน่ใจ
ยังคงเป็นสายเลือดขั้นสูงสุดเช่นเดิม!
ย้ำเตือนผลการทดสอบก่อนหน้านี้
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ปัง!
“ไม่ต้องกล่าวอะไรกันอีกแล้ว”
หลิวอู่เหยียนตบโต๊ะเสียงดังสนั่น จิตสังหารแผ่ปกคลุมรอบกาย “สวรรค์ส่งเด็กหนุ่มผู้นี้มาให้ข้า เขามีหน้าตาเหมือนบุตรชายของข้ายิ่งนัก ข้าจะรับเขาเข้าเป็นศิษย์สำนักกระบี่เหินฟ้า… พวกท่านอย่าได้คิดแย่งชิง มิเช่นนั้น อย่าหาว่าข้าลงมือด้วยความโหดร้ายอำมหิตกับพวกท่านมากเกินไป”
“เฮอะ”
“หัวขโมยไร้ยางอาย”
“ท่านไม่มีบุตรชายสักหน่อย”
หัวหน้าสำนักท่านอื่น ๆ อดสบถขึ้นมาไม่ได้
ก่อนหน้านี้ หลิวอู่เหยียนยืนยันหนักแน่นไม่ใช่หรือว่าหากการทดสอบสายเลือดยังไม่จบลง ห้ามไม่ให้มีการซื้อใจคนแปลกหน้ากลุ่มนี้เด็ดขาด แต่เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างอ้วนมีสายเลือดขั้นสูงสุด หลิวอู่เหยียนกลับกลืนน้ำลายของตนเองเสียอย่างนั้น…
นับว่าเป็นหัวขโมยไร้ยางอายจริง ๆ!
“ว่าไงนะ? ข้าไม่มีลูกชายอย่างนั้นหรือ?”
หลิวอู่เหยียนยังคงเฉไฉได้หน้าตาเฉยว่า “เมื่อสักครู่นี้ ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย ข้าเพียงรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้เหมาะสมที่จะเป็นบุตรเขยของข้าในอนาคตยิ่งนัก เมื่อเขาแต่งงานกับบุตรสาวของข้า ข้าก็จะยกสำนักกระบี่เหินฟ้าให้เขาดูแลต่อไป”
“หึหึ บุตรเขยมารดาท่านเถอะ ท่านมีบุตรสาวตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“นั่นสิ แม้แต่ภรรยาท่านก็ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”
“ช่างไร้ยางอายจริง ๆ หากจะประพฤติตนเช่นนี้ พวกเรามาสู้กันเลยดีกว่า”
ทันใดนั้น เสียงชักกระบี่ดังขึ้นในกระโจมหลังใหญ่
บรรดาท่านหัวหน้าสำนักทั้งหกต่างก็อยู่ในสภาวะที่พร้อมต่อสู้
“ทุกคนใจเย็นก่อน”
จังหวะนั้น เซียวปิงซึ่งรับประทานขาหมูทอดจนเหลือแต่กระดูกอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “ตัวข้านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง แต่พี่ใหญ่ของข้าต่างหากถึงจะนับเป็นยอดอัจฉริยะที่แท้จริง พวกท่านอย่าเพิ่งได้ใจร้อนกันเกินไปนักเลย”
ว่าไงนะ?
เหล่าหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกหันมาจ้องมองที่เซียวปิงเป็นตาเดียว
“ผู้ใดคือพี่ใหญ่ของเจ้า?”
ประมุขพรรควารีพิฆาตไป๋ลู่ซือถามด้วยความตื่นเต้น
หากเด็กหนุ่มร่างอ้วนมีสายเลือดขั้นสูงสุด บุคคลที่เป็นพี่ใหญ่ของเขาก็ต้องมีระดับสายเลือดสูงส่งไม่แพ้กัน
เซียวปิงชี้มือไปที่หลินเป่ยเฉินและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เขาคือพี่ใหญ่ของข้า เขาคือบุคคลที่ทรงพลังไร้เทียมทาน นอกจากมีใบหน้าที่หล่อเหลาที่สุดในสามโลกแล้ว เขายังสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ พี่ใหญ่จึงเป็นวีรบุรุษประจำใจข้าเสมอมา”
หัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านพากันจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
หลินเป่ยเฉินแอบยกมือกดไลก์ให้เซียวปิงอยู่ในใจเงียบ ๆ
สมแล้วที่เป็นน้องชายร่วมสาบานสุดที่รักของเขา
เลี้ยงไว้ไม่เสียข้าวสุกจริง ๆ
ในที่สุด โอกาสที่จะได้เฉิดฉายก็มาถึงมือของหลินเป่ยเฉินเสียที
หลินเป่ยเฉินตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าอย่างนั้น… พวกเรามาทดสอบกันต่อเถอะ”
ตงฟางติง ประมุขคฤหาสน์เซินซุยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่หาได้ยาก
หลินเป่ยเฉินจำบุคคลผู้นี้ได้ดีเพราะชายวัยกลางคนผู้นี้เองที่เสนอความคิดให้ผ่าท้องพวกเขาทุกคนเพื่อนำผลเซียนเหนือฟ้าออกมา
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนดีแน่ ๆ
หลินเป่ยเฉินมีความประทับใจที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ต่อตงฟางติง จึงทำให้ต้องพ่นลมออกมาจากจมูกแรง ๆ อย่างไม่มีเหตุผล
ใบหน้าของตงฟางติงบิดเบี้ยวเล็กน้อย
ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความขุ่นเคืองใจ
นับดูในชีวิตนี้ ตงฟางติงไม่เคยถูกเด็กรุ่นหลังชักสีหน้าใส่มาก่อน หรือหากมีผู้ใดกล้าทำเช่นนั้น มันผู้นั้นก็จะต้องถูกสังหารตายโดยทันที แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้อาจจะมีสายเลือดขั้นสูงสุด ตงฟางติงจึงทำได้เพียงพยายามอดทนอดกลั้นเท่านั้น
“ข้าขอเป็นคนต่อไป”
นักพรตหญิงชินลุกขึ้นยืนและเข้ารับการเจาะเลือด
เลือดถูกดูดออกไปทำการทดสอบ
“เป็นสายเลือดขั้นสูง”
อวี้อูู๋เฉียนประกาศผลการทดสอบด้วยน้ำเสียงที่ตกตะลึง
แม้จะไม่ใช่สายเลือดขั้นสูงสุดอย่างเซียวปิง แต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดที่หายากมาก ๆ เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาตกตะลึงกับผลการทดสอบสายเลือดของเซียวปิงมาแล้ว ปฏิกิริยาตอบรับของบรรดาท่านเจ้าสำนักในขณะนี้จึงมีความสุขุมเยือกเย็นมากขึ้น
นักพรตหญิงชินไม่แปลกใจกับผลการทดสอบสักนิด สีหน้าของนางเย็นชา แววตาไม่ปรากฏความเปลี่ยนแปลงใด ๆ
“แม่นางสมควรมาอยู่ค่ายน้ำอ่าวจันทราของพวกเรา” ประมุขรักษาการค่ายน้ำอ่าวจันทราเยว่อู๋เซี่ยเอ่ยปากเชื้อเชิญ “ข้ารู้สึกได้ถึงพลังแห่งจันทราในตัวเจ้า”
นักพรตหญิงชินพยักหน้าเล็กน้อย ตอบรับว่านางจะเก็บไปคิดดู
“ท่านประมุขทำแบบนี้ถูกต้องแล้วหรือ? ช่วยรอจนจบการทดสอบก่อนไม่ได้หรืออย่างไร?”
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้ากลับมาเป็นผู้ที่ยึดมั่นในหลักการอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงขึงขังมั่นคง “อย่าได้ละเมิดข้อตกลงของพวกเราเด็ดขาด”
ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างก็สบถอยู่ในใจว่า …ท่านเป็นหัวขโมยไร้ยางอาย ยังจะมีหน้ามาพูดอีก!
ผู้ที่เข้ารับการทดสอบเป็นรายต่อไปคืออากวง
“สัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ? เหตุไฉนถึงได้มาเข้าร่วมกับมนุษย์เช่นนี้…”
ประมุขเกาะมังกรฟ้าเผิงเซ้าเจี๋ยจ้องมองอากวงด้วยความสงสัยและอดพูดขึ้นมาไม่ได้
เพราะในแดนมหาแผ่นดิน สัตว์อสูรก็มีพลังวิเศษเช่นกันและพลังวิเศษนั้นก็ไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าผู้คนเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งสัตว์อสูรหลายสายพันธุ์ก็ถึงกับตั้งสำนักของตนเองขึ้นมาแล้ว
“เป็นสายเลือดขั้นสามัญ”
อวี้อู๋เฉียนประกาศผลการทดสอบ
นี่คือลำดับชั้นสายเลือดที่ใกล้เคียงกับของหวังจง ซึ่งถือเป็นสายเลือดที่หายากไม่ต่างกัน
บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่ทั้งหกต่างก็คิดว่านี่ต้องเกี่ยวข้องกับการที่คนกลุ่มนี้รับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปแน่นอน
“จี๊ด!”
อากวงหูตกด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
มันเสียใจที่ตนเองมีสายเลือดสูงส่งไม่เท่ากับเซียวปิง
เสี่ยวหูรีบเดินเข้ามาเลียใบหน้าผู้เป็นบิดาบุญธรรมของมันอย่างพยายามปลอบโยน
หลังจากนั้น ตัวมันเองก็เข้ารับการตรวจสอบสายเลือดเช่นกัน
“เป็นสายเลือดขั้นสามัญ”
อวี้อู๋เฉียนประกาศผลการทดสอบ
เสี่ยวหูมีสายเลือดขั้นสามัญ
ถึงแม้จะไม่ได้สูงส่งเท่ากับสายเลือดขั้นสูงหรือขั้นสูงสุด แต่ก็เป็นระดับสายเลือดที่ทำให้ผู้คนยินดีต้อนรับเข้าสู่สำนักของตนเองยิ่งนัก
หลินเป่ยเฉินรับฟังผลการทดสอบพร้อมกับใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง
อากวงเคยเป็นเพียงหนูอสูรหางกุดธรรมดาตัวหนึ่ง แม้จะมีร่างกายแข็งแกร่งมากกว่าสัตว์อสูรทั่วไป แต่ก็ไม่ควรมีสายเลือดหายากเช่นนี้
ส่วนเจ้าเสือเสี่ยวหูยิ่งมีชาติกำเนิดต่ำต้อยกว่าอากวงหลายเท่า บิดามารดาที่แท้จริงของมันถูกจับตัวมาจากหุบเขาชายแดนเหนือ ต่อให้ผ่านการกลายพันธุ์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีสายเลือดหายาก
เว้นแต่ว่าการรับประทานผลเซียนเหนือฟ้าเข้าไปก่อนหน้านี้จะเป็นตัวแปรสำคัญ จากสายเลือดที่ธรรมดาดาษดื่นพวกมันจึงกลายเป็นสัตว์อสูรที่มีสายเลือดพิเศษ เรียกว่าน่าจะมีระดับสายเลือดสูงส่งเท่ากับเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำแล้วกระมัง?
ในแดนมหาแผ่นดินแห่งนี้ สายเลือดคงเป็นสิ่งที่สำคัญมากจริง ๆ ยิ่งมีลำดับชั้นสายเลือดสูงส่งมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายมากเท่านั้น
ไม่รู้ว่ามีวิธีที่จะปรับปรุงและยกระดับสายเลือดของตนเองได้บ้างไหมนะ?
หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่าก็เข้ารับการทดสอบสายเลือดพอดี
“ปะ… เป็นสายเลือดขั้นสูงสุด!”
อวี้อู๋เฉียนเสียงสั่น ดวงตาเบิกโต “มีสายเลือดขั้นสูงสุดอีกคนอย่างนั้นหรือ? ให้ตายเถอะ…”
บรรดาหัวหน้าหกสำนักใหญ่ต่างก็ตกตะลึง
ผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดคนที่สองปรากฏตัวออกมาแล้ว
นี่คือเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากเกินไป
ต่อให้พวกเขาคาดคิดว่าคนแปลกหน้ากลุ่มนี้มีสายเลือดไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่มีผู้ใดบังอาจคิดเลยว่าสายเลือดขั้นสูงสุดคนที่สองจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขาไม่คิดไม่ฝันว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้
แต่เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรคนนี้มีสายเลือดขั้นสูงสุดจริง ๆ
บรรดาหัวหน้าหกสำนักใหญ่แทบเสียสติกันหมดสิ้น
เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรหลงหน่ารู้สึกตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
นางเข้าใจว่าลำดับชั้นสายเลือดคืออะไร แต่หลงหน่าคิดไม่ถึงว่าตนเองกลับมีสายเลือดที่สูงส่งมากกว่าองค์ชายเจี้ยนอวี่เสียอีก… นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน?
องค์ชายเจี้ยนอวี่ก็กำลังตกตะลึงไม่ต่างกัน
สาวรับใช้ประจำตัวมีสายเลือดสูงส่งมากกว่าตัวเขาได้อย่างไร?
แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกตื่นเต้น แต่อีกใจหนึ่งเขาก็คิดพิศวงไม่อยากยอมรับความเป็นจริง องค์ชายเจี้ยนอวี่จึงอธิบายไม่ได้เลยว่าบัดนี้ตนเองรู้สึกอย่างไรกันแน่