เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1537 สายเลือดศักดิ์สิทธิ์
ตอนที่ 1,537 สายเลือดศักดิ์สิทธิ์
อวี้อูู๋เฉียนทำการตรวจสอบซ้ำเป็นรอบที่สอง
ความแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง
ลำแสงสีแดงดั่งเปลวไฟสาดส่องครอบคลุมทั่วกระโจมหลังใหญ่ไม่ต่างจากลำแสงสีทองคำเมื่อสักครู่
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้น?”
“ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณของสายเลือดขั้นสูงสุดสินะ”
“แต่เหตุไฉนลำแสงถึงไม่ใช่สีเดิม…”
สีหน้าของหกหัวหน้าสำนักใหญ่ปรากฏความลังเลใจ เพราะพวกเขาไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
และในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจอยู่นี้เอง เหตุการณ์ก็ดำเนินซ้ำตามรอยเดิมอีกครั้ง
แสงสีแดงดั่งเปลวไฟหายวับไป
ไม่ปรากฏออกมาอีกเลย
“นี่มัน…”
อวี้อูู๋เฉียนมีสีหน้าพิศวง มึนงงไม่น้อย
เขาไม่ทราบเลยว่าจะประกาศผลการทดสอบอย่างไร
นี่สมควรเป็นสายเลือดขั้นสูงสุด แต่ระยะเวลาที่แสงสว่างระเบิดออกมานั้นมันสั้นมากเกินไปและแสงสว่างก็มีสีสันที่ต่างกันออกไปทั้งสองครั้ง จึงไม่เข้าเกณฑ์สายเลือดขั้นสูงสุดแล้ว
หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ ในที่สุด อวี้อูู๋เฉียนก็ตัดสินใจทดสอบใหม่อีกรอบ
และการทดสอบรอบที่สามก็ทำให้อวี้อูู๋เฉียนต้องตกตะลึงมากกว่าเดิม
เพราะการทดสอบในรอบที่สามนี้ ลำแสงที่ระเบิดออกมาจากอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตกลายเป็นลำแสงสีเขียวมรกตและมันก็ดับวูบลงอย่างรวดเร็วเช่นเดิม
“ตรวจสอบต่อไป”
หลิวอู่เหยียนพูดขึ้นมาในความเงียบ
ดูเหมือนชายชราจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าของเขาจึงแปลกประหลาดพิกล
เมื่อได้ยินคำสั่งจากท่านเจ้าสำนัก อวี้อูู๋เฉียนก็นำอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตชุดที่สี่ออกมาใช้งาน คราวนี้ลำแสงที่ระเบิดออกมากลายเป็นสีส้มสว่างไสว
การตรวจสอบดำเนินไปเป็นครั้งที่ห้า
ครั้งนี้แสงสว่างที่ระเบิดออกมากลายเป็นแสงสีน้ำเงินเข้มครอบคลุมทั่วกระโจมหลังใหญ่ไม่ต่างจากกำลังอยู่ในโลกใต้บาดาล
ห้าครั้ง ห้าสีสัน
เมื่อทดสอบครั้งที่หก แสงสว่างที่ปกคลุมในกระโจมหลังใหญ่ก็กลายเป็นแสงสีแดงเข้มราวกับโลหิต…
การตรวจสอบครั้งที่เจ็ด ลำแสงที่ครอบคลุมกระโจมหลังนี้กลายเป็นสีดำมืดไม่ต่างจากน้ำหมึก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในก้นเหวที่มืดมิดไร้แสงสว่าง…
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
“สว่างวาบเพียงวูบเดียวเท่านั้นเองหรือ?”
“แต่ละครั้งสีสันล้วนแตกต่างกันไป หรือว่า… อุปกรณ์จะตรวจสอบผิดพลาดจริง ๆ?”
กลุ่มเจ้าสำนักทั้งหกต่างก็มีสีหน้าตกตะลึงเพราะปรากฏการณ์เช่นนี้อยู่นอกเหนือความเข้าใจทั้งหมดของพวกเขา
หลังผ่านการตรวจสอบรอบที่เจ็ด สิ่งที่แปลกประหลาดมากกว่าเดิมก็อุบัติขึ้น
ลำแสงที่ระเบิดออกมาจากอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตมีถึงเจ็ดสีสันในเวลาเดียวกัน!
ประกอบไปด้วยแสงสีทองคำ แสงสีแดงเพลิง แสงสีส้ม แสงสีเขียว แสงสีน้ำเงิน แสงสีแดงโลหิตและแสงสีดำน้ำหมึก!
ลำแสงทั้งเจ็ดสว่างไสวออกมาจากอุปกรณ์การตรวจโลหิตด้วยความรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง
อวี้อูู๋เฉียนไม่สามารถควบคุมอุปกรณ์ได้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินก็กำลังตกตะลึงเช่นกัน
นี่มันอะไรกันเนี่ย?
แสงสว่างหลากสีสันที่กำลังกะพริบวูบวาบอยู่นี้ ทำให้เด็กหนุ่มนึกถึงแสงไฟจากลูกบอลไฟในดิสโก้เทคขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ขาดก็แต่เพียงนักท่องราตรีออกมาวาดลวดลายตามบทเพลงเท่านั้น…
หากนำอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตมาใช้งานแทนลูกบอลไฟ หลินเป่ยเฉินก็คงสามารถเปิดดิสโก้เทคในแดนมหาแผ่นดินแห่งนี้ได้แล้ว
แต่เมื่อผ่านไปยี่สิบลมหายใจ อุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตก็ระเบิดกระจาย แสงสว่างทั้งหมดค่อย ๆ เลือนรางหายไปอย่างแช่มช้า
ทุกคนสะดุ้งโหยงราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน
กลุ่มเจ้าสำนักหันมองหน้ากัน ก่อนจะจ้องมองเศษซากของอุปกรณ์ตรวจสอบโลหิตสลับกับจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
“ท่านลุงอวี้ เกิดอะไรขึ้นขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินมองไปที่อวี้อูู๋เฉียนและถามว่า “ไม่ทราบข้าน้อยมีสายเลือดอยู่ในขั้นใด?”
อวี้อูู๋เฉียนขมวดคิ้วใช้ความคิด ก่อนให้คำตอบ “เรื่องนี้… ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน เฮ้อ ดูเหมือนเจ้าจะมีสายเลือดขั้นสูงสุด แต่มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียว… ข้าต้องใช้เวลาคิดทบทวนดูสักหน่อย”
“ไม่ต้องคิดทบทวนอีกแล้ว ข้าดูออก”
หัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าหลิวอู่เหยียนพูดพร้อมกับจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสับสน สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมาแผ่วเบา “ลำดับชั้นสายเลือดของเจ้าไม่ธรรมดา มันเป็นลำดับชั้นที่อยู่นอกเหนือสายเลือดทั่วไป… เพราะว่าเจ้ามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์”
“ว่าไงนะ?”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง…”
“ใช่แล้ว จริงด้วยสินะ ข้าจำได้แล้ว นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ”
บรรดาหัวหน้าสำนักใหญ่พากันอุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ
หลังจากอวี้อูู๋เฉียนตกตะลึงนิ่งเงียบอยู่นานสองนาน เขาก็ยกมือตบหน้าผากตนเองและกล่าวว่า “จริงด้วยสิ นี่คือคุณสมบัติของผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์… ข้าไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อน เพราะว่าสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้น… เป็นเพียงสายเลือดในตำนาน ไม่เคยปรากฏออกมานานแล้ว”
“อย่าเพิ่งตื่นเต้นกันเลยขอรับ”
หลินเป่ยเฉินตบไหล่ผู้อาวุโสด้วยความเยือกเย็นและกล่าวว่า “ท่านลุงอวี้ ข้าเองเป็นบุรุษผู้หล่อเหลาและสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เพิ่มเข้ามาในคุณสมบัติส่วนตัวอีกประการ นั่นก็ไม่ได้ทำให้นิสัยใจคอของข้าเปลี่ยนแปลงไปหรอก”
อวี้อูู๋เฉียนหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความกระอักกระอ่วนใจบางประการ
“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าวันนี้ แม้แต่สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ก็ปรากฏออกมาแล้ว… นี่สมควรเรียกว่าปาฏิหาริย์ที่แท้จริง”
ประมุขพรรควารีพิฆาตไป๋ลู่ซือถอนหายใจออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า
“แม่นางไม่ต้องประหลาดใจเกินไป ข้าเองเป็นคนติดดินมาแต่ไหนแต่ไร ต่อให้มีสถานะสูงส่ง ก็สามารถเข้าถึงตัวได้ง่ายดายเสมอ…”
หลินเป่ยเฉินกล่าวย้ำคำเดิมอย่างพยายามถ่อมตัวเต็มที่
บรรดาเจ้าสำนักใหญ่ทั้งหกพากันจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาแปลกประหลาดพิกลอีกครั้ง
“หึหึ เด็กน้อย เจ้าดีใจมากเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้น ตงฟางติงประมุขคฤหาสน์เซินซุยส่งเสียงหัวเราะเยาะขึ้นมา “สายเลือดศักดิ์สิทธิ์เป็นสายเลือดระดับสูงก็จริง อาจจะหาได้จากผู้คนหนึ่งในร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายนักที่สายเลือดนี้มีวาสนาอาภัพมากยิ่งกว่าสายเลือดกากเดนเสียอีก”
“ว่าไงนะ?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าชายวัยกลางคนผู้ดุร้ายคนนั้น “ท่านกำลังขู่ขวัญข้าใช่หรือไม่?”
ตงฟางติงยังคงหัวเราะเยาะต่อไป
“คือว่า… อันที่จริงนั้น สิ่งที่ประมุขตงพูดออกมาก็ไม่ได้ผิดเสียทีเดียว” อวี้อูู๋เฉียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “สายเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้รับยกย่องให้เป็นสายเลือดระดับสูง ว่ากันว่าสามารถเข้าได้กับอีกยี่สิบสี่สายเลือดหลักทุกชนิด แต่เพราะความที่มีลำดับชั้นสูงส่งมากเกินไปนี่เอง ปัญหาจึงเกิดขึ้น”
“ปัญหาใดหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามด้วยความไม่เข้าใจ
ดูเหมือนเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว
หลิวอู่เหยียนมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาสงสารและเวทนา “ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งขนานแท้ เมื่อสำเร็จการฝึกวิทยายุทธ์ ก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทั่วแดนดิน แต่ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้น หากมีคนใดคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาในยุทธจักรแล้ว ก็ห้ามมิให้มีคนที่สองปรากฏขึ้นมาเด็ดขาด”
“ดังนั้น นี่จึงนับว่าเป็นเคราะห์ร้ายของเจ้าอย่างแท้จริง” อวี้อูู๋เฉียนกล่าวเสริม “ตราบใดที่สายเลือดศักดิ์สิทธิ์คนเก่ายังอยู่ ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ฝึกวิทยายุทธ์ และคนผู้นั้นก็ต้องอาศัยอยู่ในเงามืดตลอดไป”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
เขาเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว
นี่มันระบบการปกครองแบบจีนโบราณชัด ๆ ฮ่องเต้มีได้เพียงพระองค์เดียว ส่วนเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ เป็นได้แค่เจ้าผู้ครองแคว้นเท่านั้น
“หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกนับว่าเป็นสายเลือดขั้นพิเศษ แต่ปัญหาก็คือไม่ว่าค้นพบผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์มากเพียงใด แต่จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ร่างกายมีคุณสมบัติดีพอต่อการฝึกวิทยายุทธ์สินะขอรับ?”
เด็กหนุ่มตั้งคำถาม
“ถูกต้องแล้ว”
เยว่อู๋เซี่ย ประมุขรักษาการค่ายน้ำอ่าวจันทราพยักหน้า “เมื่อหมื่นปีก่อน ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏตัวขึ้น เขานำลูกศิษย์ยี่สิบสี่คนออกยึดครองเมืองต่าง ๆ ทั่วแดนมหาแผ่นดินและกวาดล้างศัตรูอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต… จนกระทั่งดินแดนเหล่านั้นกลายมาเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทุกวันนี้… และผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้น บัดนี้ก็ยังออกท่องเที่ยวอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น หาได้เสียชีวิตลงแล้วไม่”
ให้ตายเถอะ
หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบอยู่ในใจชุดใหญ่
“สรุปก็คือ ไม่ว่าข้าจะพยายามตั้งใจฝึกวิทยายุทธ์สักเท่าไหร่ สุดท้ายก็ถือเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์แล้วสินะ…” เด็กหนุ่มถามออกมาเมื่อตั้งสติได้
เมื่ออวี้อูู๋เฉียนได้ยินคำถามของหลินเป่ยเฉิน ชายวัยกลางคนก็มีสีหน้าสงสารเวทนาเขามากขึ้น ราวกับว่าไม่สามารถทนดูใบหน้าของหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้วจริง ๆ