เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1538 รับรองในฐานะอาคันตุกะ
ตอนที่ 1,538 รับรองในฐานะอาคันตุกะ
“ไม่ทราบว่ามีอะไรอีกหรือไม่ ท่านลุงอวี้ได้โปรดบอกมา”
หลินเป่ยเฉินสามารถตั้งสติและยอมรับความเป็นจริงได้โดยไม่มีปัญหา
ถึงอย่างไรหลินเป่ยเฉินก็มีโทรศัพท์มือถือคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว ไม่ว่าตนเองจะมีสายเลือดอะไร ก็ไม่น่าส่งผลกระทบต่อเขาสักเท่าไหร่
อวี้อู๋เฉียนถอนหายใจและกล่าวว่า “ในเผ่าพันธุ์มนุษย์ทุกวันนี้ แทบไม่มีคัมภีร์ใดที่สายเลือดศักดิ์สิทธิ์สามารถฝึกฝนได้อีกแล้วและทรัพยากรที่ใช้สำหรับการหลอมรวมพลังนั้น ก็ต้องเป็นทรัพยากรชั้นเลิศเท่านั้น…”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเข้าใจนัยยะแอบแฝงจากคำตอบของอวี้อู๋เฉียนโดยทันที
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ หากพวกเขาเป็นรถยนต์ ผู้ที่มีสายเลือดทั่วไปก็เปรียบเสมือนรถที่ใช้งานในครอบครัวสามารถเติมน้ำมันได้ตามปั๊มน้ำมันทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้น ร่างกายของพวกเขาเปรียบเสมือนรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศและต้องใช้น้ำมันชนิดพิเศษในการเติมเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ราคาน้ำมันทั้งสองชนิดจึงแตกต่างกันมาก
สมมติผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บขึ้นมาแต่ละครั้ง การรักษาตัวก็คงต้องใช้เงินทองและทรัพยากรไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินพบว่าสถานการณ์ของตนเองเปลี่ยนไปแล้ว
เจ้าสำนักใหญ่ทั้งหกท่านจ้องมองมาที่เขาด้วยแววตาเศร้าหมอง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเชื้อเชิญหลินเป่ยเฉินให้เข้าร่วมสำนักของตนเองอีก เห็นได้ชัดว่าขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกลายเป็นตัวปัญหาที่ไม่มีผู้ใดยินดีต้อนรับ
นี่แหละนะโลกแห่งความเป็นจริง
“อุ๊วะฮ่า ๆๆ”
ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินกำลังใช้ความคิดอยู่นี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ “น้องชายตัวเหม็น เมื่อสักครู่นี้เจ้าบอกว่าอะไรนะ เจ้าว่าจะดูแลข้าไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปยังไม่ทันไร เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ทนรอไม่ไหวที่จะได้ฉีกหน้าเขาให้อับอายเสียแล้ว
“เจ้าว่าหากตนเองได้รับประทานน้ำแกง ข้าก็ต้องได้เลียก้นชามใช่หรือไม่? บัดนี้ ดูเหมือนว่าแม้แต่ชามสักใบเจ้าก็ไม่มีอีกแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าเลียอะไรดีเล่า?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเหยียดหยามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ตอบกลับไปว่า “หากท่านอยากเลียจริง ๆ ข้าก็มีของดีให้ท่านเลียอยู่นะ…”
หลังหยุดชะงักไปเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็กล่าวต่ออีกครั้ง “เอาล่ะทุกท่าน ในเมื่อพวกเราตรวจสอบสายเลือดกันเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อจากนี้ ก็คือการเลือกสำนักที่พวกเราจะเข้าร่วมใช่หรือไม่?”
นับว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้ที่มีขวัญกำลังใจแกร่งกล้าจริง ๆ
นี่มันอะไรกัน?
กลุ่มเจ้าสำนักใหญ่ต่างก็ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าไม่ต้อนรับหลินเป่ยเฉินเข้าสู่สำนัก แต่ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด
ด้วยเหตุนี้ บรรดาเจ้าสำนักทั้งหกจึงต้องหันกลับไปปรึกษาหารือกันอีกเล็กน้อย
เกิดการโต้เถียงขึ้นเบา ๆ
การหารือผ่านไป
สุดท้าย บรรดาเจ้าสำนักก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้แก่พวกของหลินเป่ยเฉินโดยสมบูรณ์
“กราบเรียนผู้อาวุโส ข้าน้อยขอเลือกคฤหาสน์เซินซุย”
หวังจงเป็นคนแรกที่ประกาศออกมา “เพราะว่าท่านประมุขตงมีสง่าราศีของความเป็นผู้กล้า ในอนาคตต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนดินอย่างแน่นอน ถือเป็นเกียรติสำหรับข้าน้อยอย่างยิ่งที่ได้ติดตามท่านประมุขตงขอรับ”
พ่อบ้านชราแสดงความไร้ยางอายของตนเองออกมาอย่างไม่รอช้า
รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของตงฟางติง
แต่สิ่งที่เขาหวังเอาไว้อย่างแท้จริงก็คือการได้ตัวหนึ่งในสองผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดต่างหาก น่าเสียดายที่เซียวปิงกับเด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรไม่ได้มีท่าทีสนใจจะเข้าร่วมสังกัดของเขาเลย
ในที่สุด ตงฟางติงก็ต้องยินยอมรับตัวหวังจงอย่างไม่มีทางเลือก
หวังจงรีบวิ่งเข้าไปยืนอยู่ข้างกายเจ้านายคนใหม่ด้วยความกระตือรือร้นยิ่งนัก
“นายน้อยดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ เอาไว้บ่าวฝึกวิชาฝีมือจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้เมื่อไหร่ บ่าวจะกลับไปรับใช้นายน้อยอีกครั้ง”
แม้หวังจงจะได้เจ้านายคนใหม่แล้ว แต่ก็ยังไม่ลืมเลือนเจ้านายคนเก่าเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินยืนมองด้วยความสงบสุขุม
เขารู้สึกว่าคฤหาสน์เซินซุยไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสักเท่าไหร่
เนื่องจากประมุขคฤหาสน์อย่างตงฟางติงไม่ใช่คนดี แต่นี่เป็นการตัดสินใจของหวังจง ซึ่งดูเหมือนว่าพ่อบ้านชราจะตัดสินใจเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่ได้คัดค้านใด ๆ
และหากพ่อบ้านชราฝึกวิชาฝีมือจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง หลินเป่ยเฉินก็เตรียมใจเอาไว้แล้วว่า หวังจงคงไม่ได้กลับมารับใช้ตนเองอีกแล้ว
การเลือกสำนักดำเนินต่อไป
องค์ชายเจี้ยนอวี่เลือกสังกัดวังถ้ำเซียน
เพราะองค์ชายหนุ่มคิดว่าชื่อวังถ้ำเซียนนั้น ฟังดูสูงส่งมากกว่าสำนักอื่น ๆ
และตลอดการหารือที่ผ่านมานั้น ชายฉกรรจ์ผู้เป็นประมุขวังถ้ำเซียนก็ไม่เคยพูดอะไรออกมาสักคำ เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นผู้เร้นกายซ่อนฝีมือ เน้นการกระทำมากกว่าคำพูด
แต่เมื่อองค์ชายเจี้ยนอวี่ประกาศเข้าร่วมสังกัดวังถ้ำเซียนเรียบร้อยแล้ว ท่านประมุขก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ตอนนั้นเององค์ชายเจี้ยนอวี่ถึงได้รู้ความจริงว่า ท่านประมุขผู้นี้ไม่ใช่ผู้เร้นกายพูดน้อย …แต่ท่านประมุขเป็นคนใบ้ต่างหาก!
เด็กสาวผู้มีรอยสักมังกรต้องการจะติดตามไปอยู่ร่วมกับองค์ชายเจี้ยนอวี่ แต่นั่นถือเป็นการละเมิดกฎและท่านประมุขวังถ้ำเซียนก็โบกมือปฏิเสธไม่ยอมรับตัวนาง
“เสี่ยวหน่า พี่ใหญ่หลินเคยบอกว่าข้ามีแต่ต้องเติบโตด้วยตนเองเท่านั้น จึงจะนับว่าเป็นการเติบโตที่แท้จริง เจ้าอยู่รับใช้ข้าไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกนะ การตัดสินใจครั้งนี้ ก็เพื่อการพัฒนาตัวตนของข้าเอง”
องค์ชายเจี้ยนอวี่กล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่นจริงจัง
ในที่สุด เขาก็สามารถเกลี้ยกล่อมให้หลงหน่าเลือกพรรควารีพิฆาตได้สำเร็จ
เมื่อได้ตัวผู้ที่มีสายเลือดขั้นสูงสุดเข้าสังกัดพรรค หญิงสาวผู้เป็นประมุขพรรควารีพิฆาตอย่างไป๋ลู่ซือก็ยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดีและนางก็ประกาศตรงนั้นเลยว่าขอแต่งตั้งให้หลงหน่าเป็นลูกศิษย์สายตรงของตนเอง…
นักพรตหญิงชินกับอากวงพร้อมใจกันหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน
‘ข้าน้อยต้องการอยู่กับนายท่าน’
อากวงเขียนข้อความลงบนกระดานชนวน ก่อนจะกระโดดกอดขาหลินเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย
เจ้าเสืออสูรเสี่ยวหูนั่งมองดูอยู่ด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ต้องเกลี้ยกล่อมให้อากวงเลือกเกาะมังกรฟ้า เนื่องจากประมุขของเกาะมังกรฟ้าอย่างเผิงเซ้าเจี๋ยดูเป็นคนที่มีจิตใจดีงามมากที่สุดแล้ว และเขาก็ยินดียอมรับเจ้าเสืออสูรไปเลี้ยงดูด้วยเช่นกัน
นี่ถือเป็นโชคดีสองชั้น เผิงเซ้าเจี๋ยยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงรูหู ก่อนกล่าวว่า “นับจากนี้ไป เจ้าจะกลายเป็นสัตว์วิเศษประจำเกาะมังกรฟ้า ข้าสัญญาว่าเจ้าจะได้รับประทานอาหารอร่อย ๆ ทุกมื้อ และหากเจ้าต้องการตัวสาวงาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูรด้วยกัน ข้าก็จะหามาให้เจ้าโดยไม่มีข้อแม้…”
อากวงรีบเขียนข้อความลงไปบนกระดานว่า ‘ข้าน้อยเพียงอยากแข็งแกร่งขึ้น เพื่อกลับมาปกป้องคุณชายหลินขอรับ’
หลินเป่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย
เนื่องจากอากวงถูกหลินเป่ยเฉินเก็บมาเลี้ยงจากหุบเขาชายแดนเหนือตั้งแต่ช่วงแรกของการทะลุมิติมาสู่ชีวิตใหม่ พวกเขาจึงผ่านการผจญภัยร่วมเป็นร่วมตายกันมานับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้ จึงเกิดเป็นความผูกพันที่ยากต่อการตัดขาด
ในขณะนี้ ผู้ที่ยังไม่มีสำนักสังกัดเหลือเพียงหลินเป่ยเฉิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง จักจั่นทองคำและเซียวปิง
“อัจฉริยะไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ต้องเป็นอัจฉริยะอยู่วันยันค่ำ ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางการเฉิดฉายของเจ้าได้อยู่แล้ว”
นักพรตหญิงชินจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน ใบหน้าที่สวยงามประดับรอยยิ้มพิมพ์ใจ หลังจากนั้น นางก็โอบแขนสวมกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น
ริมฝีปากสีชมพูของนางคลอเคลียข้างหูของหลินเป่ยเฉินขณะกระซิบว่า “ข้าจะรอคอยเจ้า อย่าลืมข้อตกลงของพวกเราก็แล้วกัน”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที
ในที่สุด นักพรตหญิงชินก็เข้าร่วมค่ายน้ำอ่าวจันทรา
นางรู้สึกคุ้นเคยกับหัวหน้าค่ายน้ำแซ่เยว่อย่างอธิบายไม่ถูก
บัดนี้ สายตาของกลุ่มเจ้าสำนักใหญ่พากันจับจ้องมาที่เซียวปิง
ผู้มีสายเลือดขั้นสูงสุดคนสุดท้าย
“ข้าน้อยขอเลือกสำนักกระบี่เหินฟ้า”
เซียวปิงประกาศหลังจากใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย
หลิวอู่เหยียนหัวหน้าสำนักกระบี่เหินฟ้าตกตะลึงและดีใจจนพูดอะไรไม่ออก
“แต่ข้ามีข้อแม้อยู่หนึ่งข้อ”
เซียวปิงถือขาหมูทอดอยู่ในมือพลางกล่าวว่า “สำนักกระบี่เหินฟ้าต้องรับตัวพี่ใหญ่ของข้า เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและเจ้าจักจั่นทองคำเอาไว้เลี้ยงดูเช่นกัน”
น้ำเสียงของเด็กหนุ่มหนักแน่น
“เรื่องนี้…”
หลิวอู่เหยียนมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาทันที
ความจริงนั้น การรับตัวผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์มาเลี้ยงดูนับเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสำนักใหญ่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างพวกเขา และเรื่องนี้ก็ไม่มีทางเปิดเผยต่อสาธารณชนได้เด็ดขาด
นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ไม่มีสำนักใดเอ่ยปากเชื้อเชิญหลินเป่ยเฉิน
“หากท่านหัวหน้าสำนักหลิวไม่เห็นด้วย ข้าน้อยก็ขอติดตามพี่ใหญ่เป็นบุคคลพเนจรต่อไปดีกว่า”
เซียวปิงแสดงจุดยืนของตนเอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ก็อดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้เช่นกัน
“ข้าต้องคอยให้เจ้ามาช่วยเหลือตั้งแต่เมื่อใด”
หลินเป่ยเฉินตบท้ายทอยเซียวปิงเสียงดังเพียะ “เจ้าเข้าร่วมสำนักกระบี่เหินฟ้านั่นแหละดีแล้ว ตั้งใจฝึกวิชาเข้าล่ะ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง”
เซียวปิงยกมือลูบศีรษะ ไม่พูดอะไรอีก
ไม่ว่าอย่างไรพี่ใหญ่ก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่เสมอ
หลิวอู่เหยียนมีสีหน้าเคร่งเครียด กำลังชั่งน้ำหนักผลดีและผลเสีย
หลินเป่ยเฉินนิ่งเงียบใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “กราบเรียนท่านเจ้าสำนักหลิว ท่านวางใจเถอะ ข้าจะไม่เข้าร่วมสำนักกระบี่เหินฟ้าของท่าน เพียงแต่ว่าตอนนี้พวกข้ายังไม่มีที่ซุกหัวนอน ไม่ทราบว่าข้าขอเป็นแขกในเรือนรับรองของพวกท่านสักระยะหนึ่งได้หรือไม่ รอจนกระทั่งพวกข้ามีลู่ทางอื่น พวกข้าก็จะรีบเดินทางจากไปทันที ไม่ทราบท่านเจ้าสำนักคิดเห็นเป็นเช่นใด?”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีปัญหา”
หลิวอู่เหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ข้อเสนอนี้เป็นอันตกลง”
เซียวปิงชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็ถูกหลินเป่ยเฉินยกมือห้ามเอาไว้เสียก่อน
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉิน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและเจ้าจักจั่นทองคำก็เดินทางจากไปพร้อมด้วยกลุ่มคนของสำนักกระบี่เหินฟ้า
คณะเดินทางจากแผ่นดินตงเต้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแยกย้ายสลายตัว
แต่ก่อนที่จะแยกจากกัน พวกเขาก็ตกลงกันว่าไม่ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็จะต้องกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พวกเขาต้องคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันและห้ามทอดทิ้งกันโดยเด็ดขาด