เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1545 บทลงโทษ
ตอนที่ 1,545 บทลงโทษ
เซียวปิงได้รับบาดเจ็บ
หัวไหล่ของเขาปรากฏรอยบาดแผลเป็นรูขนาดเท่านิ้วมือคน โลหิตไหลทะลักออกมา มองเห็นกระดูกขาวโพลนที่อยู่ด้านใน
นี่เป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นจากการทิ่มแทงของวิชากระบี่ธาตุแท้
กระบี่ธาตุแท้เป็นหนึ่งในวิชาลับเฉพาะตัวของสำนักกระบี่เหินฟ้า ความน่ากลัวคือการถ่ายเทพลังปราณในร่างกายลงสู่ตัวกระบี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เรียกว่าเป็นท่าไม้ตายที่สามารถใช้รักษาชีวิตของตนเองในยามคับขันได้เสมอ
และศิษย์ระดับสูงอย่างชิวลั่วเหยาย่อมได้รับการฝึกฝนวิชากระบี่ธาตุแท้อย่างชำนาญ แต่ถึงกระนั้น ความแข็งแกร่งของนางก็ยังไม่อาจเทียบได้กับท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียน
เพราะว่าเขามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5
หากหลิวอู่เหยียนไม่ได้ยื่นมือเข้ามาขัดขวางก่อน ก็ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าเซียวปิงจะมีชะตากรรมเป็นเช่นไร
หลิวอู่เหยียนยืนคุ้มครองเซียวปิงอยู่ในความเงียบ สีหน้าบอกชัดถึงความโกรธแค้น
ชายชราคิดไม่ถึงเลยว่าชิวลั่วเหยาจะกำเริบเสิบสานถึงเพียงนี้ หลังพ่ายแพ้ในการประลอง นางก็ใช้วิชากระบี่ธาตุแท้ออกมาโจมตีใส่เซียวปิงด้วยจิตใจอำมหิตยิ่ง
“เด็ก ๆ”
หลิวอู่เหยียนคำรามด้วยน้ำเสียงดุดัน “ส่งตัวชิวลั่วเหยาไปคุมขังไว้ที่ผาน้ำดำ ไม่มีกำหนดปล่อยตัว”
“ช้าก่อน”
ผู้อาวุโสชิวเหิงรีบเดินเข้ามาขัดขวาง “ท่านเจ้าสำนัก ลั่วเหยายังเด็ก นางจึงใจร้อนวู่วามเป็นธรรมดา โชคดีที่เซียวปิงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอันใด ให้ลั่วเหยากล่าวคำขอโทษยอมรับผิด ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกันไม่ดีกว่าหรือ เหตุไฉนจึงต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย?”
หลิวอู่เหยียนชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “ผู้อาวุโสชิว หลานสาวของท่านถึงกับลอบโจมตีผู้อื่นทางด้านหลัง เจตนาหมายโจมตีให้ถึงตาย นี่หรือไม่ใช่เรื่องใหญ่?”
ชิวเหิงเดินเข้าไปยืนขวางหน้าชิวลั่วเหยาและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “นี่เป็นเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างกลุ่มศิษย์ พวกเราเป็นผู้ใหญ่อย่าเข้าไปแทรกแซงจะดีกว่า อีกอย่าง ลั่วเหยายังเป็นเพียงเด็กน้อย ทำไมท่านเจ้าสำนักจึงต้องใส่ใจนางด้วย?”
“หากไม่ใช่เพราะว่าข้าเข้ามาสกัดขัดขวางเอาไว้ ป่านนี้เซียวปิงก็คงตายไปแล้ว”
หลิวอู่เหยียนยังคงกล่าวด้วยสีหน้าดุดัน
ชิวเหิงขมวดคิ้วและคลี่ยิ้มเล็กน้อย “เมื่อสักครู่นี้ เซียวปิงสามารถชนะการประลอง ทุกคนทราบแล้วว่าเขามีความแข็งแกร่งควรค่าต่อการได้รับทรัพยากรที่ดีที่สุดของสำนักเรา และลั่วเหยาก็จะไม่มารังควานกับเขาอีก… พวกเราถอยกันคนละก้าวดีหรือไม่?”
“ชิวลั่วเหยาต้องถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวัน”
หลิวอู่เหยียนเพิ่มข้อต่อรองของตนเองเข้าไป
“ไม่มีปัญหา”
ชิวเหิงยอมรับแต่โดยดี
ในที่สุด การต่อรองบทลงโทษก็จบสิ้นลง
บรรยากาศที่เคร่งเครียดจางหายไป
ชิวลั่วเหยายังคงมีสีหน้าที่บอกชัดถึงความโกรธแค้น นางกัดฟันกรอด ค่อย ๆ หันหลังเดินกลับไปภายใต้การคุ้มกันจากชิวเหิง แต่แววตาของนางยังคงจ้องมองเซียวปิงด้วยความอาฆาตไม่เปลี่ยนแปลง เห็นได้ชัดตัวชิวลั่วเหยาคงไม่คิดยอมแพ้ง่าย ๆ…
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกไป…
“คุณชายอย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม”
อวี้อูู๋เฉียนรีบจับแขนเด็กหนุ่มพร้อมกับกระซิบว่า “ผู้อาวุโสชิวเหิงเป็นคนดูแลการทดสอบของท่าน หากคุณชายทำให้ผู้อาวุโสไม่พอใจ นั่นก็อาจจะส่งผลร้ายต่อการทดสอบของท่านแล้ว”
หลังจากนั้น
ชิวเหิงก็เดินมาประกาศกลางลานประลองว่า
“การประลองจบลงแล้ว พวกเราได้สมาชิกห้าคนที่ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป ซึ่งอัจฉริยะทั้งห้าคนนั้นก็ประกอบไปด้วยชิวลั่วเหยา เฉิงอี้ โจวซื่อซาน จางเฟิงและเซียวปิง ในอีกยี่สิบวันหลังจากนี้ เราจะกลับมาคัดเลือกตัวแทนผู้แข็งแกร่งที่สุดเพื่อเข้าร่วมการประลองประจำเมืองกันอีกครั้ง”
ชายชรากวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนที่สายตาจะมาสะดุดหยุดลงตรงหลินเป่ยเฉิน หลังจากนั้น ชิวเหิงก็รีบหันหน้ามองไปทางอื่น “วันนี้นอกจากจะมีการประลองแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ สำนักกระบี่เหินฟ้าตัดสินใจจะรับตัวผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์เข้ามาฝึกวิชาฝีมือ ฮ่า ๆๆ แต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาฝึกวิชากับพวกเราได้นั้น ต้องผ่านบททดสอบให้ได้เสียก่อน… หลินเป่ยเฉิน ไม่ทราบว่าเจ้าพร้อมแล้วหรือไม่?”
ดวงตาทุกคู่หันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน
ได้ยินเสียงผู้คนอุทานออกมาดังอื้ออึง
หลายคนย่อมเคยได้ยินตำนานที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์มาบ้าง
ขณะนี้ สายตาที่จ้องมองมายังหลินเป่ยเฉินจึงมีหลากหลายความรู้สึก บางคนสมเพชเวทนาเขา บางคนเย้ยหยันเขา และบางคนก็จ้องมองด้วยความตื่นเต้น
บรรดาศิษย์สาวจำนวนมากเมื่อเห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของพวกนางก็เป็นประกายระยิบระยับ หัวใจเต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที
ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาเหลือเกิน
ชิวลั่วเหยาถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะเยาะออกมาเสียงดัง
เพราะว่าก่อนหน้านี้ นางเคยได้รับทราบข่าวลือมาบ้างว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นเพื่อนสนิทกับเซียวปิง ผู้ขัดขวางเส้นทางของนาง
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าสู่ลานประลองด้วยแววตาเย็นชา
“หลินเป่ยเฉิน หากเจ้าอยากจะฝึกวิชาในสำนักกระบี่เหินฟ้าของพวกเราจริง ๆ เจ้าก็ต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ที่ทางข้าจัดเตรียมให้ได้ก่อน หากเจ้าไม่สามารถเอาชนะได้ ก็อย่าหวังเลยว่าจะได้เหยียบเท้าเข้ามาที่นี่อีก”
ผู้อาวุโสชิวเหิงยิ้มเหยียดหยาม กล่าววาจาด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
หลิวอู่เหยียนมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปในทันที
“ผู้อาวุโสชิว นี่ออกจะเป็นบททดสอบที่ยากเกินไปแล้วกระมัง…” อวี้อูู๋เฉียนอดรนทนไม่ไหวต้องพูดขึ้นมาว่า “หลินเป่ยเฉินยังไม่เคยฝึกวิชาฝีมือมาก่อน เขาต่อสู้ไม่เป็นด้วยซ้ำ เขา…”
“หืม? อวี้อูู๋เฉียน นี่เจ้ากำลังสั่งสอนข้าอยู่หรือ?”
ชิวเหิงโต้ตอบกลับมาทันควัน “เจ้ามีคุณสมบัติอันใดถึงกล้ากล่าววาจาในที่แห่งนี้?”
อวี้อูู๋เฉียนใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันข่มกลั้นอารมณ์เท่านั้น
“ไม่มีปัญหา”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
ชิวเหิงยิ้มเล็กน้อย หันหน้าไปกวาดตามองกลุ่มลูกศิษย์ที่ยืนรออยู่ด้านข้างและกำลังจะเลือกใครบางคนออกมา…
“ข้าจะจัดการเขาเอง”
ทันใดนั้น ชิวลั่วเหยาก้าวออกมาข้างหน้าพลางกล่าวว่า “ข้าจะพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นเองว่าผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์นั้น ดีพอที่จะฝึกวิชาของสำนักเราหรือไม่?”
ชิวเหิงหัวใจกระตุกวูบ
“เช่นนั้นก็ดีเลย”
ชายชรารู้แล้วว่าหลานสาวอยากจะระบายอารมณ์โกรธแค้นกับหลินเป่ยเฉินผู้ไร้ความสามารถในการต่อสู้
“เช่นนั้นจะดีได้อย่างไร…” อวี้อูู๋เฉียนอดพูดออกมาไม่ได้อีกครั้ง “ลั่วเหยาเป็นถึงขั้นจอมเทพระดับ 3 ส่วนหลินเป่ยเฉินยังไม่เคยฝึกวิชาฝีมือมาก่อน…”
“ไม่เป็นไรขอรับ”
หลินเป่ยเฉินขัดจังหวะขึ้นกลางคัน “เอาที่พวกเขาสบายใจเถอะ”
“คุณชายอย่าได้ตัดสินใจวู่วามเช่นนี้”
อวี้อูู๋เฉียนพยายามห้ามปรามอย่างไม่ยอมแพ้
“ข้าตัดสินใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะอย่างสบายใจ ก่อนยิงฟันยิ้มอวดฟันขาววับและกล่าวว่า “เป็นนางมารร้ายผู้นี้รนหาที่เอง ข้าอุตส่าห์อยู่เฉย ๆ แล้วแท้ ๆ”
“เจ้ากล้าดีอย่างไรมาพูดกับข้าเช่นนี้?”
ชิวลั่วเหยาถลึงตาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมจิตสังหาร
ชิวเหิงยังคงยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ขอให้ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัวให้พร้อม หลังสิ้นเสียงกลอง การทดสอบจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ”
ชายชรารู้สึกโล่งใจ
เพราะเพียงกวาดตามองดู ก็รู้แล้วว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีวิทยายุทธ์ติดตัว แล้วจะมารับมือหลานสาวของเขาได้อย่างไร
“เจ้าจะไม่ห้ามเขาสักหน่อยหรือ?”
หลิวอู่เหยียนหันมามองหน้าเซียวปิงผู้ที่เพิ่งรักษาบาดแผลเสร็จสิ้น
“ไม่เป็นไรหรอกขอรับ”
เซียวปิงนำขาหมูทอดออกมารับประทานต่อไปหน้าตาเฉย
“เจ้าไม่กลัวพี่ชายของตนเองเสียชีวิตด้วยน้ำมือของชิวลั่วเหยาหรือไร?”
หลิวอู่เหยียนถามอย่างไม่อยากเชื่อ
เซียวปิงตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ ทุกคนเข้าใจว่าท่านพี่ของข้าไม่สามารถต่อสู้ได้ แต่ในความเป็นจริงนั้น เขาคืออัจฉริยะในด้านการฝึกวิทยายุทธ์แล้ว และเวลาท่านพี่ลงมือทำสิ่งใด ท่านพี่ก็ต้องมั่นใจก่อนเสมอว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะ หากมิเช่นนั้น ท่านพี่ก็คงวิ่งหนีไปนานแล้วขอรับ”
หลิวอู่เหยียนพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป
เขาไม่ทราบเลยว่าเซียวปิงไปเอาความมั่นใจในตัวหลินเป่ยเฉินมาจากไหน
ตึง! ตึง! ตึง!
เสียงกลองสัญญาณดังขึ้น
ณ กลางลานประลอง
ชิวลั่วเหยากับหลินเป่ยเฉินยืนเผชิญหน้ากัน
“เจ้าตายแน่”
ชิวลั่วเหยามีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางระเบิดพลังปราณในร่างกายของตนเองออกมา
เปรี้ยง!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นปล่อยลำแสงออกไป
เป็นกระสุนของปืนอินทรีหิมะ
ชิวลั่วเหยามีรูโลหิตอยู่กลางหว่างคิ้ว ตัวคนกระตุกเฮือก ก่อนจะล้มลงสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ
“อ่อนหัด เสียเวลาจริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเป่าควันที่ปลายกระบอกปืน
การต่อสู้ยุติลง
ความเงียบงันปกคลุมลานประลอง
ผู้คนยืนนิ่งอึ้งด้วยความตกตะลึง!