เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1547 ปัญหาใหญ่
ตอนที่ 1,547 ปัญหาใหญ่
แน่นอนว่าหลิวอู่เหยียนย่อมมีแผนการเป็นของตนเอง
ภายในสำนักกระบี่เหินฟ้าแบ่งแยกผู้คนออกเป็นหลายฝ่าย
โดยเฉพาะรองเจ้าสำนักอย่างชิวเหิงถือเป็นภัยคุกคามโดยตรงของหลิวอู่เหยียน
ชิวเหิงยังมีพลังเพียงขั้นจอมเทพระดับ 4 ขณะนี้จึงทำอะไรไม่ได้มาก แต่บุตรชายของชิวเหิงอย่างชิวเทียนจิงนั้นถือเป็นยอดอัจฉริยะรุ่นหลังผู้หนึ่งและความแข็งแกร่งก็ถูกส่งผ่านทางสายเลือดมาที่ชิวลั่วเหยาผู้เป็นบุตรสาว หลายคนจึงให้เกียรติตระกูลชิวเป็นอย่างมาก
หลายปีที่ผ่านมา ตระกูลชิวสร้างอิทธิพลอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
สวนทางกับหลิวอู่เหยียนที่ไม่มีครอบครัว ไร้ทายาทและภรรยา ลูกศิษย์ส่วนตัวที่มีเพียงคนเดียวก็เสียชีวิตอย่างแปลกประหลาดเมื่อสี่ปีก่อน อิทธิพลของชายชราจึงเริ่มเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น การที่หลิวอู่เหยียนได้ตัวเซียวปิงผู้มีสายเลือดขั้นสูงสุดมาเป็นลูกศิษย์คนใหม่จึงถือเป็นโชคดีของเขาอย่างยิ่ง
ตราบใดที่เซียวปิงยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่เช่นนี้ ตำแหน่งเจ้าสำนักของหลิวอู่เหยียนก็ยังมั่นคงต่อไป
แต่สิ่งที่หลิวอู่เหยียนค่อนข้างเป็นกังวลก็คือ เรื่องที่เซียวปิงมีสายเลือดขั้นสูงสุดอีกไม่นานก็คงได้รับการเปิดเผยในวงกว้าง และจะต้องมีผู้คนมากมายให้ความสนใจอย่างบ้าคลั่ง
เพราะฉะนั้น ก่อนที่ความลับจะถูกเปิดเผยออกไป หลิวอู่เหยียนจึงเลื่อนระดับเซียวปิงขึ้นมาเป็นศิษย์อันดับหนึ่งในสำนักของตนเอง
นั่นทำให้ทรัพยากรที่ดีที่สุดซึ่งเคยเป็นของชิวลั่วเหยาตลอดมาจึงตกเป็นของเซียวปิงไปโดยปริยาย
นับว่าชิวลั่วเหยาโง่เขลามากเกินไป ปัญหาใหญ่จึงเกิดขึ้น
เช่นเหตุการณ์ในวันนี้
แต่หลิวอู่เหยียนคิดไม่ถึงเลยว่าปัญหากลับยุติลงอย่างง่ายดายเกินคาดคิด
หลินเป่ยเฉินมีฝีมือบู๊สูงส่งถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ชิวเหิงกับชิวลั่วเหยาเป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูลชิว ต่อให้เป็นเซียวปิงลงมือเอง ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถเอาชนะทั้งสองคนนั้นได้ติด ๆ กันเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินจึงถือเป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่งสำหรับหลิวอู่เหยียนเช่นกัน
หลิวอู่เหยียนเฝ้ามองเด็กหนุ่มผู้เย็นชาในลานประลอง ดูจากลักษณะท่าทีของหลินเป่ยเฉิน นี่คงไม่ใช่การฆ่าคนครั้งแรกของเขา
“ท่านอาจารย์…”
“ผู้อาวุโสชิวถูกฆ่าตายแล้ว”
“พวกเรารีบไปแจ้งต่อศิษย์พี่ชิวเทียนจิงเร็วเข้า…”
เสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นรอบลานประลอง ผู้คนจำนวนมากกำลังแตกตื่นตกใจ โดยเฉพาะบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ที่ใกล้ชิดกับชิวลั่วเหยา ใบหน้าของพวกเขาขาวซีด มือเท้าสั่นเทา…
แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสระดับสูงของสำนักกระบี่เหินฟ้าก็ไม่รู้ว่าตนเองสมควรทำอย่างไรอีกแล้ว
“คุณชาย ขณะนี้ท่านเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว”
อวี้อู๋เฉียนลดเสียงลงเป็นกระซิบ “รีบหลบหนีไปตอนที่ยังมีโอกาสเถอะ”
หลินเป่ยเฉินยังคงถือปืนที่ไม่มีผู้ใดมองเห็นและตอบด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ทำไมข้าต้องหลบหนีด้วย? เป็นพวกเขารนหาที่ตายเองนะ เขาบอกเองไม่ใช่หรือว่าถ้าข้าทำให้เขาบาดเจ็บได้ เขาจะปล่อยข้าไป นี่ข้าก็สู้กับเขาแล้วไง การตายก็ถือเป็นอาการบาดเจ็บชนิดหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
“เวลานี้ยังจะมีใครยึดถือเหตุผลอยู่อีกเล่า?”
อวี้อู๋เฉียนยังยืนกรานที่จะอาสาพาเด็กหนุ่มหลบหนีไป
“ท่านลุงอวี้ อย่าทำอะไรโง่ ๆ สิขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและตอบว่า “หากท่านพาข้าหลบหนีไป ท่านก็จะกลายเป็นคนทรยศต่อสำนักกระบี่เหินฟ้าเชียวนะ… ข้าทำให้ท่านเดือดร้อนไม่ได้หรอก”
อวี้อู๋เฉียนรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ก็ได้ยินหลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “อีกอย่าง ขั้นพลังของท่านต่ำต้อยเช่นนี้ คงหนีไปไหนไม่รอดแน่ อย่าทำตัวเป็นวีรบุรุษเลยขอรับ คอยดูข้าให้ดีเถอะ วันนี้หากมีใครกล้ามาหาเรื่องข้าอีก ข้าจะส่งพวกเขาไปพบเจอกับผู้อาวุโสชิวในยมโลกเอง”
อวี้อู๋เฉียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทำไมถึงไม่ตายด้วยฝีมือชิวเหิงให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ
ทันใดนั้น เมื่อบรรดาผู้อาวุโสและลูกศิษย์ระดับสูงประจำสำนักได้สติ พวกเขาก็ขยับเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินจากทุกทิศทาง แม้จะไม่ปล่อยให้เด็กหนุ่มหลบหนี แต่พวกเขาก็หวาดกลัวอิทธิฤทธิ์ลำแสงกระบี่จนไม่กล้าเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้เช่นกัน…
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าอธิบายให้ข้าฟังซิว่า เหตุไฉนจึงต้องฆ่าสมาชิกของสำนักกระบี่เหินฟ้าเราถึงสองคน?”
หลิวอู่เหยียนเดินแหวกกลุ่มผู้คนเข้ามาพูดอย่างช้า ๆ
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่มและตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ ว่า “เรื่องนี้จะมาโทษข้าน้อยไม่ได้นะขอรับ เป็นทั้งสองคนนั้นอ่อนแอมากเกินไป ข้าน้อยนึกว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งมากกว่านี้ รู้ตัวอีกทีก็ตายกันไปเสียแล้ว”
ฟังที่พูดเข้าเถอะ นี่ยังเรียกว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกหรือไม่?
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนอยากจับตัวเด็กหนุ่มผู้นี้มาตีให้ตายจริง ๆ
หลิวอู่เหยียนกล่าวต่อไปว่า “ถึงอย่างนั้นเจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ฆ่าคนตามอำเภอใจ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างรวดเร็วว่า “ท่านเจ้าสำนักหลิว ข้าขอแนะนำให้ท่านระมัดระวังคำพูดอย่าได้ข่มขู่ข้าอีก มิฉะนั้นแล้ว ข้าอาจตกใจกลัวจนฆ่าคนเพิ่มก็เป็นได้…”
กลุ่มผู้อาวุโสและเหล่าศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบหัวใจกระตุกวูบด้วยความตื่นกลัว
อวี้อู๋เฉียนมั่นใจว่าหลินเป่ยเฉินสามารถทำได้ตามที่พูดจริง ๆ เพราะอานุภาพจากลำแสงกระบี่ของเด็กหนุ่มยังคงติดตราตรึงใจทุกผู้คนอยู่ไม่เสื่อมคลาย
หลิวอู่เหยียนเลิกคิ้วขึ้นสูง ถามว่า “นี่เจ้ากำลังข่มขู่ข้าอยู่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ตอบรับว่า “จะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้ขอรับ ข้าได้ยินมาว่าท่านเจ้าสำนักหลิวเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในสำนักกระบี่เหินฟ้า มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 ข้าจึงอยากจะขอรับคำชี้แนะดูสักหน่อย”
เจ้าเด็กคนนี้นับเป็นตัวปัญหาที่แท้จริง
หลิวอู่เหยียนสบถสาบานอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ได้แสดงความขุ่นเคืองออกมาอย่างที่ทุกคนคาดคิด
เพราะความแข็งแกร่งของหลินเป่ยเฉินคือเสียงที่ชายชราไม่เข้าใจ
หลิวอู่เหยียนสงสัยว่าหลินเป่ยเฉินอาจจะมีไพ่ตายบางอย่างอยู่ในมือ ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มพร้อมสู้กับเขาได้อย่างไม่มีปัญหา
เด็กหนุ่มผู้มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์คนนี้มีความลึกลับมากเกินไป
สมาชิกระดับสูงของสำนักกระบี่เหินฟ้าในขณะนี้ ไม่ว่าเป็นผู้ใดต่างก็ต้องหวาดเกรงหลินเป่ยเฉินกันหมดสิ้น
หากหลินเป่ยเฉินมีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ ร่างกายของเขาก็ไม่สมควรฝึกวิทยายุทธ์ได้ แล้วหลินเป่ยเฉินสามารถต่อสู้ได้อย่างไร?
หลิวอู่เหยียนพยายามขบคิดหาคำตอบสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ ข้าขอแนะนำให้ท่านอย่าได้มีปัญหากับพี่ใหญ่เลย”
เซียวปิงส่งเสียงพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง “หากท่านมีปัญหากับพี่ใหญ่ของข้า วันนี้ในปีหน้า ข้าคงทำได้เพียงกลับมาเคารพหลุมศพของท่านแล้ว”
“สามหาว!”
หลิวอู่เหยียนคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด
“และอีกอย่างนะขอรับ หากท่านอยากจะมีปัญหากับพี่ใหญ่ของข้าจริง ๆ พวกท่านก็ต้องมีปัญหากับข้าด้วย และข้าจะทำให้พวกท่านได้รู้จักความอำมหิตที่แท้จริง”
เซียวปิงยังคงกล่าวต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิวอู่เหยียนแทบจะยกมือขึ้นมากุมหน้าอกโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายเถอะ รู้สึกเจ็บใจชะมัด!
แม้แต่เซียวปิงก็ไม่ได้อยู่ข้างเขาอีกแล้ว
“ท่านเจ้าสำนักขอรับ เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นมาจากชิวลั่วเหยาลอบโจมตีเซียวปิงก่อน ผู้อาวุโสชิวประกาศว่าจะให้หลินเป่ยเฉินได้ต่อสู้กับตนเองอย่างยุติธรรม แม้ถึงตายก็จะไม่มีการกล่าวโทษกันเด็ดขาด… ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นพ้องกันตั้งแต่แรก แล้วเราจะไม่ยอมรับผลที่เกิดขึ้นได้อย่างไร หากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูผู้คนภายนอก ภาพลักษณ์ของสำนักกระบี่เหินฟ้าจะไม่เสียหายเอาหรือ?”
อวี้อู๋เฉียนพลันส่งเสียงพูดขึ้นมา
หลิวอู่เหยียนไม่ทราบเลยว่าตนเองควรทำสีหน้าอย่างไร
เขาจำไม่ได้เลยว่าผู้อาวุโสชิวเหิงพูดเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?
แต่นับว่าเป็นทางออกที่ดีนัก
ชายชราพยักหน้าและถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ผู้อาวุโสอวี้กล่าวมีเหตุผลยิ่ง ข้าเองก็จำได้เช่นกันว่าผู้อาวุโสชิวกล่าวเช่นนั้น ไม่ทราบว่าทุกท่านได้ยินหรือไม่?”
กล่าวจบ แววตาอำมหิตก็กราดมองทุกคนที่ยืนอยู่รอบตัว พร้อมด้วยระเบิดพลังคุกคามออกไปหนาแน่น
บรรดาผู้อาวุโสใหญ่ในสำนักได้แต่สบถอยู่ในใจ ส่วนปากก็ประสานเสียงออกไปว่า “ได้ยินขอรับ ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ…”
“เป็นผู้อาวุโสชิวกล่าวเช่นนั้นเอง…”
“นี่คือการต่อสู้ที่ถึงตายก็ไม่ถือสาหาความ”
กลุ่มผู้อาวุโสใหญ่ประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
ส่วนบรรดาศิษย์รุ่นใหม่ต่างก็นึกไม่ออกว่าผู้อาวุโสชิวเคยกล่าวเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นพวกเขาที่จำไม่ได้เอง?
หลิวอู่เหยียนพยักหน้าด้วยความพอใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้…เรื่องนี้ก็ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ข้าจะส่งคนไปแจ้งเรื่องราวต่อผู้อาวุโสชิวเทียนจิงและให้พวกเขามาเจรจากับหลินเป่ยเฉินเอง”
ชิวเทียนจิงเป็นบุตรชายของชิวเหิงมีสถานะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักกระบี่เหินฟ้า
บัดนี้กำลังเก็บตัวหลอมรวมพลัง ไม่ปรากฏกายออกมานานแล้ว
กลุ่มผู้อาวุโสและลูกศิษย์ที่ยืนอยู่โดยรอบหันมองหน้ากัน พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงเลยว่าท่านเจ้าสำนักจะตัดจบเรื่องราวอย่างง่ายดายเช่นนี้
“หลินเป่ยเฉิน ในช่วงนี้เจ้าห้ามออกนอกสำนักกระบี่เหินฟ้าเด็ดขาด เจ้าจำเป็นต้องพูดคุยกับผู้อาวุโสชิวเทียนจิงเป็นการส่วนตัว เพื่อรอดูว่าฝ่ายนั้นจะเรียกร้องการชดใช้ใดจากเจ้าบ้าง เมื่อจัดการเรื่องราวนี้เสร็จแล้ว เจ้าถึงจะได้เป็นอิสระ เข้าใจหรือไม่?”
หลิวอู่เหยียนหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหาขอรับ”
หลินเป่ยเฉินยักไหล่อย่างไม่แยแส “ถึงอย่างไรข้าก็ไม่อยากออกไปไหนอยู่แล้ว… เอาคัมภีร์สำรวจจิตมาสิขอรับ ข้าจะได้เริ่มฝึกฝนสักที”
นี่เรียกว่าเป็นการได้คืบจะเอาศอก
ให้มันได้เช่นนี้สิ
ถึงกับฆ่ารองเจ้าสำนักตายคาที่ ยังจะมีหน้ามาร้องขอคัมภีร์ฝึกวิชาอีกหรือ?