เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1549 ข้าอุทิศตนให้แก่สำนัก
ตอนที่ 1,549 ข้าอุทิศตนให้แก่สำนัก
“ชิวเทียนจิงออกมาจากการกักตัวแล้ว”
สีหน้าของอวี้อู๋เฉียนแปรเปลี่ยนไปในทันใด “บัดนี้ เขากลายเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 คุณชายพบเจอปัญหาใหญ่แล้วล่ะ ปัจจุบันตระกูลชิวคือผู้ทรงอิทธิพลที่แท้จริง ทันทีที่ชิวเทียนจิงรับทราบเรื่องราวทั้งหมด เขาต้องรีบมาหาคุณชายแน่…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า “ดูเหมือนข้าคงต้องฆ่าคนอีกแล้วสินะ”
อวี้อู๋เฉียนแทบพูดอะไรไม่ออก
“คุณชายหลิน ท่านมั่นใจในตนเองมากเกินไปแล้ว ข้าขอแนะนำอย่าได้ประมาทเช่นนี้ ชิวเทียนจิงไม่ใช่ชิวเหิง เขาเป็นถึงจอมเทพระดับ 5 พลังทำลายล้างเกินจินตนาการของผู้คน แม้จอมเทพระดับ 4 กับระดับ 5 จะต่างกันเพียงระดับเดียวก็ตาม”
อวี้อู๋เฉียนย้ำเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“จริงหรือ? งั้นท่านลุงบอกข้ามาสิว่าจอมเทพระดับ 5 แข็งแกร่งเพียงใด?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัย
“จอมเทพระดับ 5 เป็นขั้นพลังที่ยากต่อการบรรลุ แต่เมื่อมีผู้ใดสามารถบรรลุขั้นพลังขั้นนี้ได้สำเร็จ คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นผู้ไร้เทียมทาน พลังจำแลงในร่างกายเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพลังที่แท้จริง แม้จะใช้งานออกมาด้วยกระบวนท่าธรรมดา แต่มันก็มีอานุภาพมากพอที่จะถล่มภูเขาล้างเมืองแยกพื้นปฐพี ในสำนักเรา ปัจจุบันมีเพียงท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนเท่านั้นที่บรรลุขั้นพลังนี้ได้สำเร็จ”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของอวี้อู๋เฉียนก็เต็มไปด้วยความเพ้อฝัน
ท่านเจ้าสำนัก?
หลินเป่ยเฉินสอบถามขณะใช้ความคิดว่า “พลังจำแลงเปลี่ยนแปลงสู่พลังที่แท้จริงอะไรนั่น หมายความว่าอย่างไรขอรับ?”
“หมายความว่าก่อนที่จะบรรลุขั้นพลังระดับ 5 พลังในร่างกายของคนเราจะบรรจุด้วยพลังปราณจำแลง พลังปราณจำแลงคืออะไร? มันคือพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งเพียงพอทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บ แต่ลักษณะของคลื่นพลังนั้นเป็นสิ่งที่ไร้รูปทรง และยากต่อการรวบรวมขึ้นมาได้”
“คุณชายลองนึกถึงตอนที่ชิวเหิงรวบรวมพลังปราณของตนเองสร้างเป็นโล่กำบังกาย แต่ด้วยความที่เขามีพลังอยู่เพียงระดับ 4 ยังขึ้นไม่ถึงระดับ 5 โล่ที่สร้างขึ้นมาจึงมีลักษณะเป็นเพียงโล่ลำแสง ไม่สามารถรับอานุภาพการโจมตีจากลำแสงกระบี่ของคุณชายได้ แต่หากเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 5 พลังปราณจำแลงจะเปลี่ยนแปลงกลายเป็นพลังปราณที่แท้จริง มันจะสามารถสร้างโล่ขึ้นมากำบังกระบี่ของท่านได้จริง ๆ ไม่ใช่เพียงโล่ลำแสงอีกต่อไป”
อวี้อู๋เฉียนอธิบายรายละเอียด
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
เป็นหลักการที่ไม่มีอะไรซับซ้อน
เมื่อเข้าสู่ขอบเขตพลังขั้นจอมเทพระดับ 5 พลังปราณในร่างกายของพวกเขาก็จะสามารถเปลี่ยนคลื่นพลังไร้รูปร่างให้กลายเป็นสสารวัตถุได้ตามใจปรารถนานั่นเอง
“ขอถามท่านลุงอวี้ ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าขั้นพลังสูงสุดอยู่ที่ระดับ 5 แต่มันจะไม่มีขั้นพลังที่สูงไปมากกว่านี้จริงหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินอยากจะรู้คำตอบเกี่ยวกับระบบพลังยุทธ์ในโลกใบนี้ให้เร็วมากที่สุดเท่าที่ทำได้
อวี้อู๋เฉียนพยักหน้า ตอบว่า “เมื่อบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 ก็จะถือว่าเลื่อนระดับเข้าสู่ขั้นจอมเทพตอนปลาย ต่อจากนี้ ก็จะเป็นขั้นจอมเทพระดับ 6 ไปจนถึงระดับ 9 หากสามารถบรรลุผ่านระดับ 9 ขึ้นสู่ระดับ 10 ได้เมื่อไหร่ ก็จะขยับขึ้นสู่ขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 และในเมืองชิงอวี้ของเรา มีเพียงหวังซือเฉา เจ้าสำนักเฉาเทียนเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถบรรลุได้สำเร็จแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยความพิศวงและยังคงถามต่อไปว่า “แล้วสูงกว่าขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ล่ะขอรับ?”
“สูงกว่าขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ก็คือขั้นจอมเทพจักรพรรดิ แต่มันเป็นขั้นพลังที่อยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับมนุษย์ ต่อให้ฝึกวิชาทั้งชีวิตก็ไม่อาจบรรลุได้ คุณชายอย่าได้คิดถึงเรื่องนี้เลยดีกว่า เพราะมันมีแต่จะทำให้ท่านพบเจอกับปัญหาเท่านั้น แต่หากเปลี่ยนเป็นน้องชายของท่านอย่างคุณชายเซียวปิงก็ไม่แน่ รายนั้นเขามีสายเลือดขั้นสูงสุด หากมีโอกาสดี ไม่แน่บางทีคุณชายเซียวปิงอาจไปถึงระดับนั้นก็เป็นได้”
อวี้อู๋เฉียนไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ในเมืองชิงอวี้ ขั้นพลังจอมเทพจักรพรรดิถือเป็นตำนานที่เล่าขานกันมาปากต่อปาก อยู่ไกลเกินความหวังและเกินจินตนาการ แม้แต่หลับฝันก็ยังไม่มีผู้ใดอาจเอื้อมหลับฝันถึง
“ท่านลุงอวี้ขอรับ ข้าไม่ได้จะว่าอะไรท่านนะ แต่ท่านมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ข้าห้ามคิดถึงเรื่องนี้ ในเมื่อตัวท่านเองมีฝีมือต่ำต้อยสู้ใครเขาก็ไม่ได้ คนเราควรตั้งเป้าหมายชีวิตให้สูงเข้าไว้สิขอรับ ยิ่งเรามีเป้าหมายสูงเท่าไหร่ ชีวิตของเราก็ยิ่งมีแรงขับดันมากเท่านั้น นี่ข้าไม่ได้ตั้งใจจะสั่งสอนท่านจริง ๆ นะ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
อวี้อู๋เฉียนขมวดคิ้วถามว่า “แรงขับดันหมายความว่าอย่างไร?”
“มันหมายถึงความทะเยอทะยานน่ะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไปว่า “ท่านต้องคิดสิว่าตนเองก็มีสิทธิ์ขึ้นสู่ขั้นจอมเทพจักรพรรดิได้เช่นกัน หรือว่าชีวิตนี้ท่านไม่ต้องการไปให้ถึงจุดนั้น?”
อวี้อู๋เฉียนฝืนยิ้มออกมา
เขารู้ว่าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมานั้นเป็นความจริง แต่เรื่องราวบางอย่าง ต่อให้รู้ว่าเป็นความจริงอย่างไรก็ไม่สามารถกระทำได้อยู่ดี
“แล้วสูงกว่าขั้นจอมเทพจักรพรรดิ เป็นขั้นพลังใดอีกขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินทำลายความเงียบและถามขึ้นมาอีกครั้ง
อวี้อู๋เฉียนส่ายหน้า ตอบว่า “เรื่องนั้นข้าไม่รู้แล้ว ในเมืองชิงอวี้ ผู้ที่สามารถบรรลุขั้นพลังสูงส่งถึงระดับนั้นได้มีเพียงหยิบมือเดียว… คุณชายอย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องนั้นเลย บัดนี้ รีบคิดหาทางรอดให้ตัวเองมีชีวิตสืบต่อไปก่อนดีกว่า”
“ไม่มีปัญหาขอรับ ขอแค่ท่านลุงให้ข้ายืมเงิน ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า
“คุณชายคงไม่ได้คิดยืมเงินและหลบหนีไปใช่หรือไม่?”
อวี้อู๋เฉียนพยักหน้าและกล่าวต่อ “ประเสริฐ ข้าจะเห็นแก่หน้าอันหล่อเหลาของท่านแล้วกัน ข้ายังเหลือเงินก้นหีบอยู่อีกสี่ร้อยตำลึง คุณชายจะเอาไปก็ได้ ใช้เงินจำนวนนี้หลบหนีออกไปนอกสำนักกระบี่เหินฟ้า หาที่ซ่อนตัวสักระยะหนึ่ง อันตรายผ่านพ้นไปเมื่อใด เดี๋ยวข้าจะไปแจ้งเตือนท่านเอง…”
แล้วถุงบรรจุเงินสี่ร้อยตำลึงเงินก็ถูกวางลงเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
ความใจดีของผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนยังคงทำให้หลินเป่ยเฉินตกตะลึงอยู่เสมอ “ท่านลุงอวี้ ท่าน… นี่ท่านจะไม่คิดอะไรสักหน่อยหรือ? ไม่กลัวข้าหอบเงินก้อนนี้หลบหนีไปหรืออย่างไร?”
อวี้อู๋เฉียนกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ในสำนักกระบี่เหินฟ้าไม่มีผู้ใดยอมเป็นสหายกับข้าอีกแล้ว มีเพียงคุณชายเท่านั้นที่ยึดถือข้าเป็นสหายที่แท้จริง แล้วข้าจะไม่ช่วยเหลือสหายยามลำบากได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินไม่เสแสร้งแกล้งพูดอะไรอีก ตบไหล่ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนเล็กน้อย ก่อนจะรีบเก็บถุงเงินอย่างรวดเร็ว
“ท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเลย”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง “ข้าจะบอกความลับให้ท่านรู้ จอมเทพระดับ 5 น่ะทำอะไรข้าไม่ได้หรอก นับจากนี้เป็นต้นไป ภายในสำนักกระบี่เหินฟ้าแห่งนี้ ข้าจะคอยดูแลท่านเอง”
…
บนยอดเขาเทียนจิง
ชิวเทียนจิงสวมใส่ชุดไว้ทุกข์โค้งคำนับให้แก่ร่างบิดาในโถงตั้งศพ ก่อนจะเดินมาที่โลงศพของชิวลั่วเหยาผู้เป็นบุตรสาว นางยังคงนอนนิ่งไม่ต่างจากเจ้าหญิงนิทรา บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
สมาชิกคนสำคัญของตระกูลชิวมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเขาต่างก็เร่งเร้าให้ชิวเทียนจิงรีบเดินทางไปฆ่าล้างแค้นหลินเป่ยเฉินด้วยความบ้าคลั่ง
แต่สีหน้าของชายวัยกลางคนยังคงเยือกเย็น
เนื่องจากเขาดูฉากการต่อสู้ในลานประลองจากกระจกบันทึกภาพเรียบร้อยแล้ว ชิวเทียนจิงพิจารณาดูทักษะการต่อสู้และความสามารถของหลินเป่ยเฉิน ก็พบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย
ถึงตนเองจะบรรลุขั้นจอมเทพระดับ 5 แต่ก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนก็มีท่าทีปกป้องหลินเป่ยเฉินอยู่ไม่น้อย
นี่หมายความว่าต้องมีลับลมคมในอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่แน่นอน
บางทีมันอาจจะเป็นกับดักที่รอให้เขากระโดดลงไป
ยิ่งชิวเทียนจิงคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ต้องยิ่งระมัดระวังมากเท่านั้น
ความโกรธแค้นและความเกลียดชังค่อย ๆ สลายตัวลงไปกลายเป็นความสงบสุขุม
“บอกทุกคนอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว ให้ดำเนินการทุกอย่างตามแผนเดิมไปก่อน ถ้าข้ายังไม่ได้ออกคำสั่ง ห้ามไม่ให้มีผู้ใดลงมือทำสิ่งใดเด็ดขาด แต่พวกท่านจงจำไว้เถอะว่า ข้าอุทิศตนให้แก่สำนักของเราเสมอมา… ครั้งนี้ ข้าจะไม่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง รอให้การประลองยุทธ์ของกลุ่มศิษย์รุ่นใหม่ประจำเมืองจบสิ้นลงเสียก่อน แล้วข้าจะต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินอย่างยุติธรรม เพื่อเป็นการล้างแค้นให้แก่ท่านผู้เฒ่าและบุตรสาวของข้าเอง”
ชิวเทียนจิงกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ทุกคนในโถงตั้งศพล้วนประหลาดใจเมื่อได้ยินคำนั้น
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าชิวเทียนจิงยังสามารถอดทนอดกลั้นอยู่อีกได้อย่างไร?
…
กาลเวลาเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เพียงพริบตาเดียว อีกห้าวันก็ผ่านพ้นไป
ผู้คนจากสำนักกระบี่เหินฟ้ารวมทั้งสิ้นสามสิบหกชีวิตซึ่งประกอบไปด้วยหลิวอู่เหยียนและผู้อาวุโสระดับสูงคนอื่น ๆ เช่น ชิวเทียนจิง อู๋อิงและอวี้อู๋เฉียน เช่นเดียวกับกลุ่มศิษย์รุ่นใหม่อย่างเซียวปิงต่างก็ออกเดินทางบนกระบี่ลอยฟ้าเป็นขบวนยาวเหยียด แม้แต่คนนอกสำนักอย่างหลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ก็ติดตามไปรับชมความตื่นเต้นด้วยเช่นกัน…
พวกเขาต่างก็เดินทางไปยังที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน ซึ่งเป็นสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งประจำเมือง เพราะการประลองยุทธ์จะจัดขึ้นที่นั่น
การเดินทางผ่านไปอย่างราบรื่น
วันต่อมา ทุกคนก็มาถึงยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยน อันเป็นที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน
บรรดาศิษย์สำนักเฉาเทียนมายืนตั้งแถวรอต้อนรับพวกเขาอยู่ก่อนแล้ว การแนะนำตัวผ่านไปพอเป็นพิธี หลังจากนั้น ทุกคนก็ถูกพาตัวไปยังพื้นที่นั่งรอของแขกผู้มาเยือน
ยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ บัดนี้ มันกลายเป็นสถานที่รวมตัวของสำนักยุทธ์ทั่วเมืองชิงอวี้ หากภูเขาพังถล่มลงไป ยอดฝีมือภายในเมืองก็คงเสียชีวิตหมดสิ้นในสถานที่แห่งนี้เอง
นอกจากนี้ ยังมีตัวแทนสำนักยุทธ์ของฝ่ายอสูรเข้ามาร่วมการประลองอีกด้วย
นี่คือการประลองที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
หลังจากนั้น ตัวแทนของอีกห้าสำนักใหญ่อย่างคฤหาสน์เซินซุย ค่ายน้ำอ่าวจันทรา พรรควารีพิฆาต เกาะมังกรฟ้าและวังถ้ำเซียน ก็มาปรากฏตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา