เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1550 ตลาดมืด
ตอนที่ 1,550 ตลาดมืด
ระหว่างเดินไปยังจุดรองรับแขกผู้มาเยือน สายตาของหลินเป่ยเฉินจับจ้องไปยังสตรีผู้หนึ่งซึ่งเดินนำอยู่เบื้องหน้า
นางมีตำแหน่งเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักกระบี่เหินฟ้า
ช่วงขาเรียวยาว เอวคอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง…
ระหว่างโดยสารกระบี่ยักษ์เดินทางบนท้องฟ้ามาก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มไม่ทันสังเกตว่าในสำนักกระบี่เหินฟ้าได้ซ่อนเร้นยอดหญิงงามอยู่ทั้งคน…
ยามก้าวเดินของสตรีนางนี้ นางจะส่ายบั้นท้ายไปมา ช่วงขาก้าวเดินด้วยความมั่นใจ เกิดเป็นเสน่ห์อันเปี่ยมล้นยากที่จะต้านทานได้
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ชีวิตของเขาไม่เคยขาดแคลนหญิงงามเลยจริง ๆ แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ สายตาของเขาก็ค้นพบหญิงงามเข้าจนได้
“เจ้ามองอันใดไม่ทราบ?”
หญิงสาวผู้นั้นหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาดุดัน “เก่งจริงก็มองอีกสิ ข้าจะควักลูกตาเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
“ท่านจะมาโทษว่าเป็นความผิดของข้าได้อย่างไร? ในเมื่อท่านมีความงดงามมากเกินไป มันก็สมควรเป็นความผิดของท่านมากกว่าไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ “ข้าอดใจไม่ไหวหรอกขอรับ ดวงตาของข้ามันชอบสอดส่องมองหาสิ่งที่สวย ๆ งาม ๆ อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เอง ข้าจึงเผลอมองท่านโดยไม่รู้ตัว”
“เจ้า…”
หญิงสาวผู้ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงหยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดหน้าหันกลับไปและแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ
ไม่เคยมีผู้ใดกล้าชื่นชมความงดงามของนางต่อหน้าต่อตาเช่นนี้มาก่อน
บรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ หรือแม้แต่เหล่าศิษย์ในสำนักส่วนใหญ่ก็แอบชื่นชมลับหลังทั้งนั้น มีเพียงหลินเป่ยเฉินผู้ไร้ยางอายที่กล้าพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและนั่นก็ทำให้หญิงสาวไม่ทราบเลยว่าตนเองสมควรรู้สึกอย่างไร
“สตรีผู้งดงามคนนั้นเป็นใครหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินลดเสียงลงกระซิบถามอวี้อู๋เฉียนผู้เดินอยู่ข้างกาย
ผู้อาวุโสอวี้ขยับเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉินว่า “นางคือผู้อาวุโสหนงซัว ผู้ดูแลสวนสมุนไพรของสำนักเรา”
หลินเป่ยเฉินถึงกับขนลุกเกรียว
หนงซัว?
สวนผักหนงซัว?
นั่นมันชื่อของสวนผักที่เขาแอบเข้าไปขโมยพืชผลมาทุก ๆ วันไม่ใช่หรือ?
นั่นคือสวนผักของหญิงสาวผู้นี้เอง?
ถ้ารู้ว่าเจ้าของสวนมีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ เขาขโมยให้มากกว่านี้ก็ดีหรอก
หลังจากนั้น
ทุกคนก็เดินมาถึงจุดรับรองแขกผู้มาเยือน
สำนักกระบี่เหินฟ้าได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในสำนักยุทธ์ระดับสูง สถานะของพวกเขาไม่ได้ต่ำต้อย ทางสำนักเฉาเทียนจึงจัดที่พักให้เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่มีสวนด้านหน้าและด้านหลังกว้างขวาง ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ มีห้องพักส่วนตัวคนละห้อง เมื่อเปิดหน้าต่างห้องพักออกไป ก็จะสามารถเห็นบึงน้ำขนาดใหญ่เป็นทัศนียภาพอันงดงามจับใจ…
เหล่าศิษย์ในสำนักก็ได้รับห้องพักสภาพหรูหราเช่นกัน
มีเพียงหลินเป่ยเฉินกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสองคนเท่านั้นที่ได้ห้องพักเป็นห้องเก็บของในสวนทางด้านหลัง
เพราะพวกเขาไม่ใช่คนในสำนักกระบี่เหินฟ้า
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไหร่
ผิดกับเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ นางเอาแต่สบถก่นด่าและรบเร้าให้หลินเป่ยเฉินออกไปเช่าโรงเตี๊ยมระดับสูงอยู่ด้านนอก แต่บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังมีปัญหาด้านการเงิน เขาจึงจำยอมต้องปฏิเสธ
เมื่อทุกคนเข้าพักกันเรียบร้อย เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ไม่รอช้า รีบควงไม้เท้าคู่กายออกไป ‘ผ่อนคลาย’ ข้างนอกทันที
ท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนนำเซียวปิงผู้เป็นศิษย์โดยตรงออกมาพบปะแขกเหรื่อ เหตุผลหลักนั้นก็เพื่อสร้างเส้นสายให้แก่เซียวปิง และเป็นการปูทางขึ้นสู่ตำแหน่งเจ้าสำนักคนต่อไป…
ส่วนผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็มีมิตรสหายอยู่ในสำนักเฉาเทียนไม่น้อย ดังนั้น พวกเขาจึงแยกย้ายกันไปกินดื่มตามอัธยาศัย
บรรยากาศบนยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยนในขณะนี้คึกคักแจ่มใส สมแล้วที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานประลองครั้งใหญ่
หลินเป่ยเฉินไม่มีหน้าที่อันใดให้ออกไปทำ ดังนั้นเขาจึงนอนพักอยู่ในห้องเก็บของและนำโทรศัพท์ออกมาเปิดดูเกม Happy Farm โดยไม่ลังเล ก่อนจะเริ่มต้นขโมยผลิตผลอีกครั้ง
เป็นไปตามคาด เมื่อสถานที่เปลี่ยน แผนที่ในตัวเกมก็เปลี่ยนตามไปด้วยเช่นกัน
ตำแหน่ง ณ ปัจจุบันเป็นบรรดาสวนผักที่อยู่ในเขตภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน
หลินเป่ยเฉินหาสวนผักหนงซัวไม่เจออีกแล้ว
แต่เด็กหนุ่มได้ค้นพบสวนผักแห่งใหม่
ในเขตภูเขาเขาอวิ๋นเจวี่ยน โดยเฉพาะบริเวณยอดเขาอันเป็นที่ตั้งของสำนักเฉาเทียน ที่นี่มีสวนผักถูกปลูกอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสวนผักติงปู่เอ้อ สวนผักฮั่วปู้ฝาน สวนผักมู่หรงและสวนผักปานเมิ้ง สี่สวนผักขนาดใหญ่เหล่านี้คือสวนผักที่หลินเป่ยเฉินสามารถเข้าไปขโมยผลิตผลได้ทุกเมื่อ
ในกลุ่มสี่สวนผักเหล่านี้ สวนผักปานเมิ้งมีขนาดใหญ่โตมากที่สุด ผลิตผลเติบโตงอกงามมากที่สุด แต่โชคร้ายที่เจ้าของสวนเลี้ยงสุนัขเอาไว้ป้องกันหัวขโมย และสุนัขตัวนั้นก็ดูดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง หลินเป่ยเฉินจึงตัดสินใจยังไม่เข้าไปขโมยในสวนแห่งนี้
เขาเลือกที่จะเข้าไปขโมยพืชผักออกมาจากสวนผักติงปู่เอ้อ สวนผักฮั่วปู้ฝานและสวนผักมู่หรง ซึ่งทำให้หลินเป่ยเฉินพบเจอสมุนไพรวิเศษกว่าสี่สิบชนิดและผลไม้วิเศษอีกหกชนิด แต่เขาก็ไม่รู้เลยว่าแต่ละชนิดนั้นเรียกว่าอะไรบ้าง
“หน้าตาก็ดูเหมือนพืชผักธรรมดานี่หว่า”
จังหวะที่หลินเป่ยเฉินกำลังจะใช้โทรศัพท์มือถือสแกนเพื่อหาคำตอบเกี่ยวกับชื่อสมุนไพรและผลไม้เหล่านี้…
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เป็นข้าเอง”
อวี้อู๋เฉียนส่งเสียงดังขึ้นจากหน้าประตู
หลินเป่ยเฉินรีบเก็บผักและผลไม้ที่เพิ่งได้มาอย่างรวดเร็ว ก่อนลุกขึ้นไปเปิดประตูและถามว่า “ท่านลุงอวี้ นี่ท่านไม่มีญาติพี่น้องหรือมิตรสหายคนอื่นอีกแล้วจริง ๆ หรือ? มาทำอะไรที่บ้านพักของข้าไม่ทราบ?”
“ข้าห่วงว่าคุณชายจะเหงาเอาน่ะสิ ก็เลยว่าจะพาออกไปรับประทานอาหารข้างนอก”
อวี้อู๋เฉียนเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม “บอกตามตรงเลยนะขอรับ ท่านลุงอวี้ เป็นเพราะไม่มีผู้ใดไปรับประทานอาหารเป็นเพื่อนท่านใช่หรือไม่ ท่านจึงต้องแบกหน้ามาหาข้าด้วยความหมดหวังเช่นนี้?”
อวี้อู๋เฉียนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เขาได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ
แต่สุดท้ายบุรุษต่างวัยก็เดินออกมาด้วยกัน
บนถนนนอกสถานที่รับรองอาคันตุกะมีบรรยากาศค่อนข้างคึกคัก
นอกจากมีร้านรวงค้าขายเปิดให้บริการอยู่บนสองข้างทางแล้ว ข้างถนนยังมีแผงลอยจำนวนมากวางขายสิ่งของต่าง ๆ อยู่เช่นกัน สินค้าตามแผงลอยเหล่านั้นประกอบไปด้วยอาวุธที่ขึ้นสนิม รูปปั้นหน้าตาประหลาด สมุนไพรที่มีหน้าตาไม่น่าไว้ใจ ซึ่งผู้ขายโฆษณาว่าเป็นหญ้าสวรรค์ของแท้ดั้งเดิม และก็ยังมียาลูกกลอนที่มีหน้าตาเหมือนปั้นขึ้นมาจากเศษดินโคลน ซึ่งผู้ขายก็โฆษณาอีกเช่นกันว่านี่เป็นยาลูกกลอนสำหรับช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยให้เลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นจอมเทพระดับ 5 ได้ง่ายดายขึ้น…
นอกจากนี้ ยังมีผู้คนขายเลหลังคัมภีร์ฝึกวิทยายุทธ์สภาพเก่าแก่ เช่นเดียวกับรูปปั้นแกะสลักและสิ่งประดิษฐ์งานฝีมืออีกเป็นจำนวนมาก
“คนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
อวี้อู๋เฉียนกล่าวว่า “สำนักเฉาเทียนเป็นหนึ่งในสำนักยุทธ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของเมืองชิงอวี้ บรรดาผู้ฝึกยุทธ์จึงยึดถือภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนเป็นเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ย่อมมีผู้คนมากมายเป็นเรื่องปกติธรรมดา และยังเปรียบเสมือนเป็นเมืองหลวงของผู้ฝึกยุทธ์ ผู้คนจำนวนมากจึงมารวมตัวกันที่นี่เพื่อชุมนุมสังสรรค์ หรือไม่ก็มาพบปะเจรจาการค้า ไปจนถึงมาค้นหาเส้นสายให้แก่ตนเอง…”
“ที่ข้านำคุณชายออกมาก็ด้วยเหตุผลนี้เอง หากพวกเราได้พบเจอคนบุญหนักศักดิ์ใหญ่หรือคนใหญ่คนโตสักคนสองคน และพวกเขาเกิดถูกชะตาคุณชายขึ้นมา นี่ก็ถือว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามากแล้ว”
“ท่านลุงช่างใจดีมีเมตตาเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจ “ถ้าอย่างนั้น ข้าขอยืมเงินอีกสักหน่อยได้หรือไม่?”
อวี้อู๋เฉียนเกือบจะสะดุดเท้าตนเองล้มคว่ำลงไปบนพื้นดิน
“ข้าเพิ่งให้คุณชายยืมไปสี่ร้อยตำลึงไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนสอบถาม “อย่าบอกนะว่าท่านใช้หมดแล้ว? ท่านรับประทานเงินเป็นอาหารหรืออย่างไร?”
“ถึงข้าไม่ได้รับประทานเอง แต่มันก็มีความหมายคล้าย ๆ กันนั่นแหละ”
หลินเป่ยเฉินตอบด้วยน้ำเสียงหัวใจสลาย
เงินที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินใช้มันซื้อปืน AK47 เพื่อเอาไว้ใช้ป้องกันตัวระหว่างที่อยู่บนยอดเขาอวิ๋นเจวี่ยนแห่งนี้ เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงอยู่ในสภาวะเงินขาดมืออีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินกับผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนเดินไปตามท้องถนนและลงมาถึงบริเวณเชิงเขาโดยไม่รู้ตัว
“ข้างหน้ามีตลาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นถูกยกย่องให้เป็นตลาดมืดที่ใหญ่ที่สุดในภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน มีสินค้าแปลกประหลาดวางขายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน…”
อวี้อู๋เฉียนเดินนำหลินเป่ยเฉินตรงเข้าสู่ตลาดมืดแห่งนั้น
ตลาดมืดแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่สภาพด้านในกลับไม่ต่างไปจากตลาดค้าขายของเถื่อน แม้จะมีผู้คนคึกคัก แต่ส่วนมากผู้คนเหล่านั้นหากไม่สวมใส่หน้ากาก ก็ต้องสวมเสื้อคลุมปิดบังหน้าตาที่แท้จริง…
ไม่มีการตั้งร้านค้าหรือตั้งแผงขายของ
พ่อค้าจำนวนมากเพียงนำผืนผ้าสีดำมาปลูกไว้บนพื้นดินและนำสินค้าที่ต้องการวางขายมาวางเอาไว้พร้อมด้วยป้ายบอกราคา หรือหากไม่ต้องการเงิน พวกเขาก็จะระบุเลยว่าต้องการแลกเปลี่ยนสินค้ากับสิ่งใดบ้าง บรรยากาศจึงเงียบสงบ ไม่มีการตะโกนเรียกลูกค้าแต่อย่างใด
ห่างออกไปไม่กี่ก้าว กำลังเกิดเหตุทะเลาะวิวาทอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉิน
“เฮอะ เป็นเพียงพวกกากเดน กล้าดีอย่างไรคิดแย่งชิงของสิ่งนี้ไปจากข้า นับว่าพวกเจ้ารนหาที่ตายโดยแท้…”
เสียงคำรามที่ดุร้ายเกรี้ยวกราดดังกังวานในอากาศ