เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1551 ยื่นมือเข้าขัดขวาง
ตอนที่ 1,551 ยื่นมือเข้าขัดขวาง
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายลุกวาว
นี่คือเสียงที่แสดงออกถึงความยโสโอหัง เป็นน้ำเสียงแห่งความชั่วร้าย หลินเป่ยเฉินคล้ายกับได้ยินน้ำเสียงในอดีตของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
นี่คือเสียงของคนที่เติบโตมาพร้อมกับ ‘ความโด่งดัง’ แต่ในอดีต หลินเป่ยเฉินตัวจริงเป็นบุคคลสมองเสื่อม จึงรู้สึกสนุกสนานกับพฤติกรรมที่ชั่วร้าย เพราะฉะนั้น การส่งเสียงตะโกนอาละวาดกลางตลาดจึงถือเป็นเรื่องที่ปกติธรรมดาอย่างยิ่ง
เมื่อได้ยินเสียงคำรามนี้ หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเหมือนได้พบเจอญาติพี่น้องของตนเอง
“พวกเราไปรับชมความสนุกสนานกันดีกว่า”
เด็กหนุ่มดึงแขนผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนรีบเข้าไปดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจ
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ คุณชาย…”
อวี้อู๋เฉียนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทกลางตลาดมีอันใดน่าสนใจ
ทั้งสองคนเดินมาได้ไม่ไกล ก็พบเข้ากับกลุ่มคนยืนรวมตัวกันอยู่ บางคนก็มายืนชมดูด้วยความตื่นเต้น ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงรีบแฝงตัวเข้าไปปะปนกับผู้คนกลุ่มนั้นโดยไม่ลังเล
และเขาก็ได้เห็นว่า ณ ร้านค้าแบกะดินร้านหนึ่ง เจ้าของร้านกำลังนั่งเฝ้าร้านด้วยสีหน้าว่างเปล่า ด้านหน้ามีกลุ่มศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยยืนล้อมวงเด็กสาวกับเด็กชายคู่หนึ่งพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด
เด็กสาวและเด็กชายคู่นี้ยังคงเยาว์วัย ร่างกายสั่นเทาด้วยความตื่นกลัว ไม่ต่างจากกระรอกน้อยถูกห้อมล้อมด้วยฝูงหมาป่าผู้หิวโหย…
“แต่เราหยิบก่อน มันต้องเป็นของเรา…”
เด็กชายมีอายุไม่ถึงสิบขวบ ดวงตาของเขาสดใส ผิวขาวเนียนไร้ตำหนิ ไม่ต่างจากผู้ที่เกิดมามีชาติตระกูลอันสูงส่ง ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำด้วยความไม่พอใจ บนแก้มที่ขาวเนียนนั้นปรากฏรอยฝ่ามือแดงแจ๋ และที่มุมปากก็มีโลหิตไหลซึมออกมา
เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งถูกตบหน้าไปเมื่อสักครู่
ส่วนผู้เป็นพี่สาวนั้นมีอายุประมาณสิบสามสิบสี่ปี นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีขาว ร่างกายไม่สูง แต่มีเส้นผมดกหนา ใบหน้าขาวผ่องเปล่งประกายสดใส คิ้วดำเข้ม โดยเฉพาะดวงตากลมโตคู่นั้น ช่างมีความสวยงามไม่ต่างไปจากเป็นจักรวาลที่บรรจุดวงดาวนับล้านดวงอยู่ด้านใน…
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักด้วยความตกตะลึง
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะได้พบเจอกับเด็กสาวหน้าตางดงามในตลาดมืดแห่งนี้ ลักษณะท่าทางของนาง แทบจะถอดแบบจากตัวการ์ตูนนางเอกโลลิในมังงะที่เขาเคยอ่านมาชัด ๆ
เด็กสาวขยับมายืนขวางหน้าน้องชายและขอร้องอ้อนวอนด้วยความขมขื่น “น้องชายของข้ายังไม่รู้ความ ท่านผู้กล้าได้โปรดยกโทษให้แก่เขาด้วย แต่สมุนไพรวิเศษชนิดนี้มีความสำคัญต่อพวกเราจริง ๆ พวกเราสองพี่น้องพยายามหาซื้อมันมาได้หลายเดือนแล้ว ครั้งนี้ พวกเราเป็นผู้ค้นพบก่อน ทางเจ้าของร้านก็ตกลงขายให้แก่พวกเราแล้ว ท่านผู้กล้าได้โปรดรามือเถอะ…”
“เฮอะ หากข้าไม่รามือ เจ้าจะมีปัญญาทำอะไรได้?”
ศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยกลุ่มนี้เป็นลูกสมุนของหนานกงอันจื่อ ผู้หรี่ตาลงเล็กน้อยและหัวเราะเยาะว่า “สายเลือดชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าคิดขัดขวางข้าหรือ? นับว่ารนหาที่ตายจริง ๆ”
เด็กสาวพลันคุกเข่าลงไปบนพื้นดินและโขกศีรษะคำนับอย่างขอร้องอ้อนวอน “ท่านผู้กล้าได้โปรดเห็นใจพวกเราด้วย”
“ยิ่งเจ้าขอร้องข้ามากเพียงใด มันก็ยิ่งไร้ประโยชน์มากเท่านั้น”
หนานกงอันจื่อยกมือกอดอกแล้วหัวเราะในลำคอ “ข้าจะบอกอะไรให้นะ สมุนไพรวิเศษของเจ้าน่ะไม่ได้มีประโยชน์ต่อข้าเลย ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่ข้าแค่อยากเห็นพวกเจ้ามาขอร้องอ้อนวอนข้าด้วยความหมดหวังก็เท่านั้น เพราะว่ามันทำให้ข้ามีความสุขไงล่ะ… ฮ่า ๆๆ”
กลุ่มศิษย์ที่มาด้วยกันอีกเจ็ดคนพร้อมใจกันประสานเสียงหัวเราะเยาะดังสนั่น
คฤหาสน์เซินซุยเป็นหนึ่งในสำนักยุทธ์ผู้ทรงอิทธิพล เพราะฉะนั้น ผู้คนที่รับชมเหตุการณ์โดยรอบแม้จะรู้สึกสงสารเห็นใจเด็กสาวและน้องชายของนาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือให้ความช่วยเหลือ
“ฮ่า ๆๆ เป็นวันนี้คุณชายหนานกงของพวกเราอารมณ์ไม่ดี นับว่าพวกเจ้าโชคร้ายเอง…”
“เด็กสาวผู้นี้มีผิวพรรณขาวเนียน เจ้าอยากรับใช้คุณชายหนานกงในรูปแบบอื่นไหมเล่า?”
“เหอ ๆ คุณชายหนานกงของพวกเรามีความดุดันถึงเพียงนั้น ข้าว่าร่างกายของนางรับไม่ไหวหรอก ผ่านไปเพียงครึ่งคืน นางคงขาดใจตายแน่ ๆ”
กลุ่มศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยส่งเสียงหัวเราะเยาะเย้ยใส่สองพี่น้องผู้เคราะห์ร้าย
“ใบไม้ใบนี้เป็นของเรา…”
เด็กชายผู้มีดวงตาแดงก่ำไม่ทราบเลยว่าไปรวบรวมความกล้าหาญมาจากที่ใด เขาหันไปยังร้านขายสมุนไพรที่ปูผ้าขายสินค้าอยู่ด้านข้างและก้มหยิบสมุนไพรวิเศษที่มีลักษณะเป็นใบไม้รูปทรงสามเหลี่ยมสีดำเข้มขึ้นมาถือในมือ ก่อนจะโยนเงินสิบกว่าตำลึงลงบนผ้าปูและวิ่งหนีไปด้วยความรวดเร็ว
พลั่ก!
ฉับพลันนั้น เด็กน้อยถูกเตะใส่กลางแผ่นหลังจนล้มลงกับพื้นดิน
ใบไม้สีดำในมือเขาร่วงหล่นกลับลงสู่ผ้าปูสีดำผืนนั้นอีกครั้ง
เด็กน้อยมีอายุไม่ถึงสิบขวบ เมื่อถูกเตะเข้าไปอย่างแรงที่กลางหลัง เขาก็มีเลือดไหลทะลักออกปากและจมูก เด็กชายยกมือกุมท้อง เจ็บปวดจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีก ร่างกายขดงอยิ่งกว่ากุ้งเผา เด็กชายดิ้นทุรนทุรายด้วยความทรมาน
เป็นหนานกงอันจื่อลงมือเอง
“เจ้าพวกเศษสวะ กล้าขโมยของของข้า… เจ้าต้องตาย!”
ดวงตาของคุณชายหนานกงเป็นประกายอำมหิต เขารู้สึกไม่พอใจ จึงชักกระบี่เดินเข้าหาเด็กชายบนพื้นดิน
“อย่านะ”
เด็กสาวตื่นกลัว รีบวิ่งเข้าไปขวางหน้าน้องชายด้วยความหวาดหวั่น “ไม่นะ พวกเราไม่ต้องการใบไม้คืนวิญญาณนั่นอีกแล้ว ท่านผู้กล้าหาญได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ…”
หนานกงอันจื่อหัวเราะในลำคอ กำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงอุทานด้วยความประหลาดใจดังขึ้นจากด้านข้างว่า “ใบไม้คืนวิญญาณ? สมุนไพรชนิดนี้เรียกว่าใบไม้คืนวิญญาณอย่างนั้นหรือ?”
เป็นเสียงพูดของหลินเป่ยเฉิน
เขารีบเดินเข้ามาที่ร้านขายสมุนไพรและหยิบใบไม้สามเหลี่ยมสีดำใบนั้นขึ้นไปพิจารณา ก่อนจะหันไปถามเด็กสาวผู้เป็นต้นเหตุว่า “เจ้าเรียกสมุนไพรชนิดนี้ว่าใบไม้คืนวิญญาณ หมายความว่ามันสามารถคืนวิญญาณให้แก่ผู้คนได้ ใช่หรือไม่?”
เด็กสาวผิวขาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความงุนงง นางไม่รู้เลยว่าตนเองสมควรตอบอย่างไร
“เจ้าตัวโสโครกผู้นี้มาจากที่ไหนอีกเนี่ย?”
ศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยคนหนึ่งคำรามออกมาด้วยความหงุดหงิด “กล้าดีอย่างไรถึงเอามือสกปรกของเจ้ามาแตะต้องสมุนไพรของคุณชายหนานกง…”
หลินเป่ยเฉินไม่แม้แต่มองด้วยซ้ำตอนที่ยกมือขึ้นเหนี่ยวไกปืน
เปรี้ยง!
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง
รูโลหิตปรากฏขึ้นบนหน้าผากของศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยผู้นั้น ก่อนที่ตัวคนจะล้มคว่ำลงไปกับพื้นดิน
“ใครบอกให้เจ้าเข้ามาขัดจังหวะข้า”
หลินเป่ยเฉินเป่าควันที่ปลายกระบอกปืนด้วยความอำมหิต
เสียงอุทานดังขึ้นรอบตัวอย่างควบคุมไม่ได้
ผู้คนที่มารับชมเหตุการณ์โดยรอบล้วนตกตะลึง พวกเขาย่อมสงสารสองพี่น้อง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีผู้คนถึงกับเข้าขัดขวางและสังหารศิษย์จากคฤหาสน์เซินซุยด้วยความอหังการถึงขนาดนี้
เด็กหนุ่มผู้นี้เสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?
หนานกงอันจื่อและกลุ่มลูกสมุนล้วนตกตะลึง
จากนั้นจึงรู้สึกโกรธแค้น
ให้อภัยไม่ได้!!
ต่อให้อีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์ของสำนักเฉาเทียน ก็ไม่มีสิทธิ์มาฆ่าคนของคฤหาสน์เซินซุยตามอำเภอใจเช่นนี้
“ข้าหนานกงอันจื่อ ผู้อาวุโสระดับสี่ของคฤหาสน์เซินซุย เจ้าถือดีอย่างไรจึงได้กล้าสังหารคนของข้าเช่นนี้? รู้หรือไม่ว่าการสังหารคนของคฤหาสน์เซินซุยจะมีผลลัพธ์เช่นใด บัดนี้ ท่านประมุขคฤหาสน์เราอยู่ไม่ไกลจากที่นี่…”
หนานกงอันจื่อรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินไม่น่าใช่คู่ต่อสู้ที่จะจัดการได้ง่าย ๆ ดังนั้นจึงรีบเปิดเผยสถานะของตนเองออกมาโดยทันที
“ให้ตายสิ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหรือไง? มีใครอยากรู้ชื่อของเจ้าบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินสบถคำหยาบและยกมือขึ้นเหนี่ยวไกยิงอีกครั้ง “ตัวข้านั้นมีนามว่ามือสังหารค้อนเหล็ก ไม่ทราบว่าเจ้าหวาดกลัวหรือไม่?”
เปรี้ยง!
เสียงปืนกัมปนาท
ศีรษะของหนานกงอันจื่อระเบิดกระจายและเขาก็ตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง
“เฮอะ เป็นแค่ตัวประกอบ ดันพูดมากอยู่ได้”
หลินเป่ยเฉินบ่นอุบก่อนจะเก็บปืนและนำใบไม้คืนวิญญาณขึ้นมาพิจารณาดูโดยละเอียดอีกครั้ง
“คุณชาย ทำไมคุณชายถึงทำเช่นนี้…”
อวี้อู๋เฉียนผู้ยืนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนได้สติขึ้นมา เขาไม่ทราบอีกแล้วว่าตนเองสมควรกล่าวอย่างไร นี่คือพฤติกรรมที่บ้าคลั่งและโหดร้ายอำมหิตมากเกินไป
แม้ชายวัยกลางคนจะดูออกว่าหลินเป่ยเฉินตั้งใจยื่นมือเข้าขัดขวางเพื่อผดุงความยุติธรรมก็ตาม
“ท่านลุงคิดดูเถอะ เจ้าหมอนี่เป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ดันวางท่าพูดมากอยู่ได้ แถมยังทำท่าจะขโมยแอร์ไทม์ของข้าด้วย ข้าระเบิดศีรษะของมันทิ้งไป ก็สมควรแล้วไม่ใช่หรือ?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าไม่พอใจ
อวี้อู๋เฉียนไม่เข้าใจเลยว่าเด็กหนุ่มกำลังพูดถึงอะไรอยู่
แต่เขาก็คุ้นชินกับพฤติกรรมที่ไม่ปกติของหลินเป่ยเฉินแล้ว บัดนี้ อวี้อู๋เฉียนจึงดูออกอีกเช่นกันว่าหลินเป่ยเฉินอยากได้ใบไม้คืนวิญญาณ และไม่อยากให้หนานกงอันจื่อเข้ามาขัดขวาง แต่เพียงเพื่อใบไม้ใบเดียว ถึงกับต้องฆ่าคนเชียวหรือ?
“เจ้าตายแน่ เก่งจริงก็อย่าเพิ่งรีบหนีแล้วกัน”
ลูกสมุนของหนานกงอันจื่อผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “ข้าจะไปตามท่านประมุขมาจัดการเจ้า… อย่าเพิ่งรีบหนีไปไหนละ”
กล่าวจบ ลูกสมุนผู้นั้นก็หมุนตัวหลบหนีไปทันที