เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1558 ข้ากำลังรีบ
ตอนที่ 1,558 ข้ากำลังรีบ
เปียงอวี้ฉู่หรี่ตาลง ระเบิดพลังคุกคามออกจากร่างกาย
เซียวปิงรีบขยับเข้ามายืนข้างกายหลินเป่ยเฉินทันที
องค์ชายเจี้ยนอวี่มีท่าทีลังเลเล็กน้อย
หลงหน่าจึงลอบดึงองค์ชายหนุ่มให้มายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน ก่อนที่ตนเองจะถอยกลับไปทำหน้าที่อารักขาอยู่ทางด้านหลังตามเดิม
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในสายตาของคนจำนวนมากทำให้เห็นว่ากลุ่มคนทั้งสี่มีความกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวเหนียวแน่น
ในมือของหลินเป่ยเฉินมีปืนอินทรีหิมะเตรียมพร้อมแล้ว
ไม่มีปัญหาใดที่ปืนกระบอกนี้จะแก้ไขไม่ได้
ถ้ามี ก็แค่เปลี่ยนปืนกระบอกใหม่เท่านั้น
“ฮ่า ๆๆ น้องชายทั้งสองได้โปรดใจเย็นลงก่อน นี่คืองานเลี้ยงแห่งความรื่นเริง พวกเราอย่าได้ทำลายบรรยากาศกันเลยดีกว่า”
อวี้เหวินซิวเซียนพูดพร้อมกับยกมือขึ้นเป็นกรรมการห้ามทัพแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน “กว่าที่มนุษย์เราจะผ่านออกจากยุคมืดมาสู่ความเจริญรุ่งเรืองเช่นนี้ บรรพบุรุษของพวกเราต้องผ่านความยากลำบากมาไม่ใช่น้อย พวกเราคนรุ่นหลังสมควรให้ความเคารพต่อความพยายามของเหล่าบรรพบุรุษ ความขัดแย้งเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ถือว่าเลิกแล้วต่อกันไปเถอะ…”
อวี้เหวินซิวเซียนแทบไม่ต้องใช้กำลังใด ๆ เลย แต่ฝ่ามือของเขากลับปลดปล่อยพลังกดดันมหาศาล
หลินเป่ยเฉินถึงกับเซถอยหลังออกมาหลายก้าว
เด็กหนุ่มเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
ต้องยอมรับเลยว่าอวี้เหวินซิวเซียนผู้นี้มีพลังสูงส่งจริง ๆ
“ในเมื่อพี่ใหญ่ซิวเซียนเป็นคนออกหน้าทั้งที ข้าก็จะขอปล่อยผ่านไปสักครั้งแล้วกัน”
เปียงอวี้ฉู่ยิ้มเหยียดหยาม แต่ก็ยอมประนีประนอมในที่สุด
เขาอาจจะไม่ไว้หน้าหลินเป่ยเฉิน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไว้หน้าอวี้เหวินซิวเซียน
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอและกล่าว “ในอีกไม่ช้าก็เร็ว เจ้าจะได้เข้าใจว่าตนเองโชคดีมากเพียงใด”
เด็กหนุ่มเก็บปืนอย่างเงียบ ๆ
อวี้เหวินซิวเซียนทำหน้าที่แนะนำแขกคนสำคัญคนอื่น ๆ ให้พวกของหลินเป่ยเฉินได้รู้จัก
นอกจากบรรดาผู้คนหกสำนักใหญ่ที่หลินเป่ยเฉินเคยพบนอกป่าฝนเขียวแล้ว ภายในเมืองชิงอวี้ ยังมีอีกห้าสำนักใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยสำนักเฉาเทียน กลุ่มคนจากภูเขาอวิ๋นอู่ สำนักกระจกวารี สำนักกระบี่ทะลวงตะวันและสำนักดาบทมิฬ ทุกสำนักต่างก็มีประวัติความเป็นมายาวนานหลายร้อยปี
ในกลุ่มสิบเอ็ดสำนักใหญ่นี้ สำนักเฉาเทียนได้รับความเคารพมากที่สุด
ส่วนอีกสิบสำนักที่เหลือต่างก็มีระดับชั้นไล่เลี่ยกัน ส่วนเจ้าสำนักที่ได้รับความเกรงขามมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหลิวอู่เหยียนผู้เป็นเจ้าสำนักกระบี่เหินฟ้า ซึ่งบรรลุขั้นพลังจอมเทพระดับ 5 แล้วนั่นเอง
ส่วนหวังซือเฉาผู้เป็นเจ้าสำนักเฉาเทียนบรรลุขั้นพลังจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 1 บางข่าวลือบอกว่าเขาสามารถบรรลุขั้นจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ระดับ 2 ได้แล้วด้วยซ้ำ
นอกจากเปียงอวี้ฉู่แห่งสำนักกระจกวารี แขกผู้ได้รับเชิญในค่ำคืนนี้ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่จากสำนักต่าง ๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเหอเจิ๋งชิงแห่งภูเขาอวิ๋นอู่ โจวเหมยอวี่จากสำนักกระบี่ทะลวงตะวัน ต้าเหยียนไห่จากสำนักดาบทมิฬ ฉู่หลิวซูจากค่ายน้ำอ่าวจันทราและเหอซินหรู่จากคฤหาสน์เซินซุย
ทุกคนต่างก็เป็นศิษย์ระดับสูงประจำสำนักของตนเอง
ในเมืองชิงอวี้ พวกเขาล้วนแต่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการนับหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง
“ทุกท่านฟังให้ดี นี่คือโอกาสที่หาได้ยากยิ่งที่เราจะมารวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นในค่ำคืนนี้ พวกเราจะไม่มารื้อฟื้นอดีต พวกเราจะไม่พูดถึงการแก้แค้น คืนนี้เราจะมาดื่มฉลองให้กับความสุข… และดื่มเพื่อทำความเคารพต่อองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์”
อวี้เหวินซิวเซียนยกไหสุราในมือขึ้นสูง
ทุกคนยกถ้วยสุราขึ้นและกระดกดื่มรวดเดียวหมด
องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คือวีรบุรุษแห่งมวลมนุษยชาติ เขาคือผู้สร้างโลกอันรุ่งเรืองของบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ ตราบใดที่มีผู้คนเอ่ยนามขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ออกมา ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไม่แสดงความเคารพ
หลังจากนั้น ผู้คนก็กลับลงนั่งประจำที่ของตนเอง
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวออกมาร่ายรำชดช้อยต่อ
“พี่น้องทุกท่าน ข้าได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์มังกรบินเมื่อวันก่อนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าพี่น้องมีความคิดเห็นเป็นอย่างไรต่อแผนการของท่านอาจารย์ของข้าบ้าง?”
อวี้เหวินซิวเซียนนั่งลงด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มพิมพ์ใจ กล่าวออกมาเสียงดังฟังชัดเจน ได้ยินไปถึงหูของทุก ๆ คน
และนั่นก็ทำให้สีหน้าของแขกผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงต้องแปรเปลี่ยนไป
นี่คือเหตุผลที่งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ถูกจัดขึ้นมาสินะ
“ข้าน้อยก็ได้ยินที่อาจารย์กล่าวถึงเรื่องนี้เช่นกัน”
เหอเจิ๋งชิงตัวแทนจากภูเขาอวิ๋นอู่วางถ้วยสุราลงอย่างแช่มช้าและกล่าวว่า “จากมุมมองของข้าน้อย การควบรวมทุกสำนักเข้าด้วยกันนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่นี่คือเป้าหมายที่ยากจะทำได้สำเร็จ เพราะถึงอย่างไร แม้พวกเราสิบเอ็ดสำนักจะแตกต่างกัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจอสูรร้าย พวกเราก็พร้อมรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ ในทางกลับกัน การแยกกันปกครองสำนักใครสำนักมัน ยังง่ายต่อการจัดการปัญหาภายในสำนักมากกว่าการควบรวมเป็นสำนักเดียวหลายเท่าขอรับ”
นี่คือตัวแทนของผู้ที่คัดค้านการควบรวมสำนัก
ถือเป็นคำคัดค้านที่มีเหตุผลยิ่ง
นี่หมายความว่าภูเขาอวิ๋นอู่ไม่เห็นด้วยกับการควบรวมสำนัก
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความพิศวง
เขาหันหน้ามากระซิบถามองค์ชายเจี้ยนอวี่ที่นั่งอยู่ข้างกาย
องค์ชายเจี้ยนอวี่จึงได้บอกเล่าถึงเรื่องราวการประชุมในคฤหาสน์มังกรบินเมื่อวันก่อน
ปรากฏว่าหวังซือเฉาเจ้าสำนักเฉาเทียนได้เสนอการควบรวมทุกสำนักยุทธ์เข้าด้วยกัน พวกเขาจะไม่ได้มีสิบเอ็ดสำนักยุทธ์อีกต่อไป แต่ทุกสำนักจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว
และข้อเสนอนี้ก็ถูกสำนักต่าง ๆ ปฏิเสธโดยทันที
หากไม่ใช่ว่าผู้ที่เสนอความคิดนี้เป็นหวังซือเฉา รับรองได้ว่าบุคคลผู้นั้นคงถูกท่านหัวหน้าสำนักทั้งหลายจัดการหั่นเนื้อเถือหนังจนกลายเป็นซากศพไปนานแล้ว
หลินเป่ยเฉินรับฟังการสรุปจากองค์ชายเจี้ยนอวี่ก็รู้สึกได้ว่าท่านเจ้าสำนักเฉาเทียนออกจะไร้เดียงสามากเกินไป
ดูท่าเขาคงไม่รู้จักสุภาษิตที่ว่า ‘ยอมเป็นหัวหมาก็ยังดีกว่าเป็นหางราชสีห์’
สำนักยุทธ์ทุกแห่งต่างก็มีอาณาเขตเป็นของตนเอง บรรดาเจ้าสำนักล้วนมีความร่ำรวยสุขสบาย แล้วเหตุไฉนพวกเขาจะต้องโยนสถานะทั้งหมดทิ้งไป เพื่อกลายเป็นผู้ติดตามบุคคลอื่นด้วยเล่า?
“พี่เหอกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก”
โจวเหมยอวี่ตัวแทนจากสำนักกระบี่ทะลวงตะวันกล่าวขึ้นช้า ๆ
เสียงของนางฟังอ่อนหวานลื่นหู เช่นเดียวกับรูปร่างหน้าตาของนางที่แม้จะไม่ถึงขั้นถูกยกย่องให้เป็นยอดหญิงงามผู้หนึ่ง แต่ด้วยกิริยาวาจาที่อ่อนหวาน ก็มักจะทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้รู้สึกสบายใจเสมอ
ในมุมมองของหลินเป่ยเฉิน โจวเหมยอวี่คือภรรยาในฝันของชายหนุ่มทั้งปวง
อวี้เหวินซิวเซียนยิ้มเล็กน้อย กล่าวออกมาแผ่วเบาว่า “น้องเหอ น้องโจว ข้าเข้าใจแล้ว… ไม่ทราบพี่น้องท่านอื่น ๆ มีความคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ระหว่างที่พูด ดวงตาของเขาก็หันมาจ้องมองเซียวปิงซึ่งกำลังรับประทานเนื้อแรดอสูรผัดเปรี้ยวหวานอย่างเอาเป็นเอาตาย
น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มร่างอ้วนมัวแต่ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหาร จึงไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเลยสักนิด
เดือดร้อนให้องค์ชายเจี้ยนอวี่ต้องแอบสะกิดและส่งเสียงกระแอมไอ
“มีอะไรหรือ?”
เซียวปิงมีสีหน้าว่างเปล่า
อวี้เหวินซิวเซียนหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจ “นับว่าน้องเซียวมีนิสัยใจคอใสซื่อบริสุทธิ์ยิ่งนัก…”
และเขาก็ทวนคำถามออกไปอีกครั้ง
เซียวปิงตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า “เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ทราบหรอกขอรับ ไปถามหลิวอู่เหยียนเอาเองเถอะ ตาเฒ่านั่นว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้น เรื่องนี้ปิงน้อยจะไม่ยุ่ง”
เปียงอวี้ฉู่จากสำนักกระจกวารีไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป รีบกล่าวขึ้นมาว่า “ในฐานะศิษย์เอกของสำนักกระบี่เหินฟ้า เขาไม่สมควรกล่าวถึงเจ้าสำนักของตนเองด้วยถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้ แม้แต่คำถามง่าย ๆ ก็ยังตอบไม่ได้ สมควรแล้วที่จะกลายเป็นตัวตลกของผู้อื่น”
“ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าสักหน่อย”
เซียวปิงยิ้มมุมปากตอบกลับไป
“เจ้า…”
เปียงอวี้ฉู่ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธแค้น
เขาผุดลุกขึ้นยืนอีกครั้งและพูดว่า “น้องชาย เจ้าฝึกวิชาฝีมือมานานมากเพียงใด? เจ้าเคยสร้างชื่อเสียงในยุทธจักรแล้วหรือไม่? หากไม่ใช่เพราะเจ้าได้รับคำเชิญจากพี่ใหญ่ซิวเซียน คิดหรือว่าเจ้าจะได้มีโอกาสมานั่งอยู่ตรงนี้กับพวกเรา? ในเมื่อเจ้ามีความอวดดีถึงเพียงนี้… ข้าเปียงอวี้ฉู่คงต้องขอรับชมความยอดเยี่ยมของเจ้าสักหน่อยแล้ว”
กล่าวจบ
ผู้ติดตามสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเปียงอวี้ฉู่ก็ชักกระบี่ออกมา ก่อนพุ่งตัวออกไปข้างหน้าพร้อมด้วยจิตสังหารแรงกล้า
“เปียงเจียง เปียงหลงแห่งสำนักกระจกวารี ขอส่งคำท้าให้คุณชายเซียวออกมาสู้กัน”
กระบี่ในมือของทั้งสองคนชี้ตรงมาที่ใบหน้าของเซียวปิง
ให้ตายเถอะ
เซียวปิงหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัวขณะรับประทานน่องแรดด้วยความเอร็ดอร่อยต่อไป
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและทำหน้าดุ
เซียวปิงรีบวางน่องแรดในมือลงและลุกขึ้นเดินออกไปจากโต๊ะอาหารเพื่อเผชิญหน้ากับมือกระบี่ทั้งสองคน “จะสู้ก็เข้ามา เร็ว ๆ หน่อยก็แล้วกัน ข้ากำลังรีบ เดี๋ยวอาหารของข้าจะเย็นชืดหมด”
เปียงเจียงกับเปียงหลงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเดือดดาลมากกว่าเดิมหลายเท่า พวกเขาโจมตีออกไปด้วยกระบวนท่าแรกของวิชากระบี่สะท้อนผิวน้ำ
คมกระบี่สาดประกายเจิดจ้า
คลื่นพลังพุ่งออกไปคล้ายกับมังกรน้ำโบยบิน
เซียวปิงยืนอยู่ที่เดิม งอเข่าและข้อศอกลงเล็กน้อย ก่อนจะกระแทกสองหมัดออกมาข้างหน้า
โพละ! โพละ!
แล้วร่างของเปียงเจียงกับเปียงหลงก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด ไม่ต่างไปจากแตงโมลูกหนึ่งที่ถูกค้อนเหล็กฟาดใส่อย่างรุนแรง…
ดวงตาของทุกผู้คนเบิกโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เซียวปิงเดินกลับไปนั่งรับประทานน่องแรดผัดเปรี้ยวหวานที่โต๊ะอาหารของตนเองต่อตามเดิมเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น