เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1560 กองทัพปีศาจ
ตอนที่ 1,560 กองทัพปีศาจ
เหอเจิ๋งชิงจากภูเขาอวิ๋นอู่มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา
โจวเหมยอวี่จากสำนักกระบี่ทะลวงตะวันกล่าวขึ้นช้า ๆ ว่า “หากข่าวนี้เป็นความจริง พวกเราสำนักกระบี่ทะลวงตะวันก็พร้อมพิจารณาข้อเสนอใหม่อีกครั้ง”
นี่คือการจุดประกาย
ต้าเหยียนไห่จากสำนักดาบทมิฬพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “สิ่งที่พี่ใหญ่ซิวเซียนพูดออกมานั้น พวกเรารับทราบแล้ว… แม้ข้ารับปากไม่ได้ แต่จะพยายามโน้มน้าวท่านเจ้าสำนักให้เปลี่ยนใจก็แล้วกัน”
เผิงเจี้ยนเฟยจากเกาะมังกรฟ้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าน้อยต้องขอปรึกษาท่านอาจารย์กับท่านพ่อก่อนขอรับ”
เผิงเจี้ยนเฟยเป็นบุตรชายของเผิงเซ้าเจี๋ยผู้เป็นประมุขเกาะมังกรฟ้า
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
หลงหน่า เซียวปิงและองค์ชายเจี้ยนอวี่ต่างก็เป็นเพียงผู้มาใหม่ในสำนักของตนเอง จึงไม่สามารถตัดสินใจขั้นเด็ดขาดเช่นนี้ได้
มีเพียงฉู่หลิวซูตัวแทนจากค่ายน้ำอ่าวจันทราที่สามารถให้คำตอบออกไปว่า “ข้าน้อยจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านหัวหน้าค่ายเห็นด้วยกับความคิดควบรวมสำนักเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวซูเป็นหญิงงามเยาว์วัยสวมใส่ชุดกระโปรงสีม่วง ใบหน้าเฉยชา มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายระยิบระยับ ก่อนหน้านี้นางถูกวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าค่ายคนต่อไปของค่ายน้ำอ่าวจันทรา นี่คือความลับที่อวี้เหวินซิวเซียนล่วงรู้เป็นอย่างดี
อวี้เหวินซิวเซียนกล่าวขอบคุณทุกคน
ก่อนหน้านี้ งานเลี้ยงกำลังดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน แต่บรรยากาศทั้งหมดก็พังทลายลงด้วยข่าวร้ายแห่งเงาของสงครามใหญ่
ผู้คนจำนวนมากทนรับบรรยากาศเช่นนี้ไม่ไหวจึงขอตัวกลับ
เมื่องานเลี้ยงจบสิ้นลง ก็เหลือผู้คนอยู่ไม่มากแล้ว
อวี้เหวินซิวเซียนทำหน้าที่เดินออกมาส่งแขกเหรื่อด้วยความอดทน
หลังจากนั้น เขาก็เดินมาส่งพวกของหลินเป่ยเฉินด้วยตนเอง
ระหว่างทางไปสู่สถานีขนส่งนกอสูร พวกเขาเดินเคียงข้างกันไปในทางเดินใต้แสงจันทร์
“ท่านมีอะไรจะพูดก็พูดออกมาเถอะ”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
เขามองออกว่ายอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงอวี้เดินมาส่งตนเองเช่นนี้ ต้องมีเจตนาบางอย่างแอบแฝงแน่ ๆ
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ อวี้เหวินซิวเซียนเลือกช่วงเวลาในการประกาศข่าวร้ายได้อย่างเหมาะสม เขาทำให้จิตใจของผู้คนเกิดความตื่นกลัวสูงสุดและผู้คนจำนวนมากก็ต้องยอมคล้อยตามความคิดเห็นของเขาโดยไม่รู้ตัว
อวี้เหวินซิวเซียนยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนถามว่า “ตามความเห็นของน้องหลิน พวกเราสมควรควบรวมสำนักหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักและหันไปมองหน้าบุรุษหนุ่ม ก่อนถามกลับไป “ความคิดเห็นของข้าสำคัญด้วยหรือ?”
“ขึ้นอยู่กับว่าสำคัญต่อผู้ใด”
อวี้เหวินซิวเซียนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “อาจไม่สำคัญต่อผู้อื่น แต่สำคัญสำหรับข้า”
“นี่ท่านให้เกียรติข้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลินเป่ยเฉินเลิกอ้อมค้อมและกล่าวออกไปตามตรงว่า “กราบเรียนตามความเป็นจริง… หากข้ามีตำแหน่งเป็นเจ้าสำนักทั้งหลาย ข้าก็คงต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอของสำนักเฉาเทียน และข้าจะต้องเร่งเร้าให้การควบรวมสำนักเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด”
อันที่จริงนั้น บรรดาสิบเอ็ดสำนักใหญ่ต่างก็มีจุดมุ่งหมายต่างกัน หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูผู้แข็งแกร่งจริง ๆ มันก็เป็นเรื่องยากที่จะทำงานร่วมกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
หลินเป่ยเฉินค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อเสนอของหวังซือเฉา ผู้เป็นเจ้าสำนักเฉาเทียน เพราะมันคือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
ส่วนจะแก้ปัญหาได้สำเร็จไหมนั้นคืออีกเรื่องหนึ่ง
เพราะยังคงมีตัวแปรอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย
“นับว่าพวกเรามองไปในทิศทางเดียวกันแล้ว”
อวี้เหวินซิวเซียนส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างน่าชวนฟัง
หลังจากนั้น อวี้เหวินซิวเซียนก็เอ่ยคำเชิญอย่างเป็นทางการ “น้องหลินชาญฉลาดถึงเพียงนี้ สนใจมาอยู่ร่วมสำนักเดียวกับข้าหรือไม่?”
“นี่ท่านกำลังเชิญข้าให้เข้าร่วมสำนักเฉาเทียนอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไป
“หากน้องหลินยินดี ข้าก็จะจัดการให้” อวี้เหวินซิวเซียนมอบคำสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ
และเขาก็รีบกล่าวต่อทันทีว่า “ดูเหมือนน้องหลินจะได้รับข้อยกเว้นเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ แม้อาจจะฝึกวิชาฝีมือสูงกว่าขั้นจอมเทพระดับ 5 ไม่ได้ แต่อย่างน้อย น้องหลินก็จะเป็นจอมเทพระดับ 5 ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเรา และนั่นก็จะสร้างประโยชน์ให้แก่เมืองชิงอวี้ได้อย่างมากมาย สำนักเฉาเทียนเราคือตัวเลือกที่ดีที่สุด… เมื่อสงครามอุบัติขึ้น สำนักเฉาเทียนก็จะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในเมืองชิงอวี้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงักใช้ความคิดเล็กน้อย ก่อนให้คำตอบกลับไปว่า “ข้าจะลองเก็บเอาไปคิดดูก็แล้วกัน”
อวี้เหวินซิวเซียนผงกศีรษะ “หากจะมีที่ใดทำให้ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์สามารถฝึกวิชาฝีมือได้อย่างแข็งแกร่งภายในเมืองชิงอวี้ สถานที่นั้นก็ต้องเป็นสำนักเฉาเทียนของพวกเราอย่างแน่นอน”
อวี้เหวินซิวเซียนกล่าวด้วยความมั่นใจยิ่ง
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
และเขาก็ได้ยินอวี้เหวินซิวเซียนกล่าวต่อไป “ความจริงนั้น สถานการณ์ร้ายแรงมากกว่าที่พวกเราคาดคิด อาณาจักรหลิวเยวียนถูกกองทัพปีศาจยึดครอง มนุษย์บางส่วนถูกฆ่าตายและบางส่วนถูกจับตัวไปกดขี่ข่มเหง บ้านช่องพังพินาศ ครอบครัวแตกสลาย เป้าหมายต่อไปที่กองทัพปีศาจจะบุกโจมตีก็คงต้องเป็นเมืองชิงอวี้ของเราแล้ว”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและถามว่า “กองทัพปีศาจเหล่านี้มาจากไหนขอรับ? ในแดนมหาแผ่นดินไม่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เราแข็งแกร่งที่สุดหรือ? เหตุไฉนจึงต้องหวาดกลัวพวกมันด้วย?”
หลินเป่ยเฉินต้องการทราบข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อวี้เหวินซิวเซียนเดินไปด้วยพร้อมกับอธิบายไปด้วยว่า “ตามประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมวลมนุษยชาติ เจ้าคงทราบดีว่าก่อนองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จะครอบครองความยิ่งใหญ่ยาวนานหลายพันปี ก่อนหน้านั้น มนุษยชาติตกอยู่ในยุคมืดและกองทัพปีศาจเหล่านี้ก็เคยเป็นผู้ครอบครองดินแดนของพวกเรามาก่อน พวกมันคือศัตรูแห่งมวลมนุษย์นับตั้งแต่ยุคโบราณกาล จิตใจของพวกมันเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความบ้าคลั่ง พวกมันอยากจะทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สูญพันธุ์สิ้นซาก… ซึ่งพวกเผ่าพันธุ์ปีศาจก็มีวิทยายุทธ์เป็นของพวกมันเอง ไม่ต่างไปจากของมนุษย์เราเช่นกัน”
ฟังจากคำอธิบายของอวี้เหวินซิวเซียน ดูเหมือนเผ่าพันธุ์ปีศาจเหล่านี้จะไม่ใช่พวกอสูรกายหางแถว แต่พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาระดับสูง อีกทั้งยังมีทักษะในการเรียนรู้วิชาต่อสู้ไม่ต่างไปจากมนุษย์อีกด้วย
พวกมันคือเผ่าพันธุ์ที่เคยปกครองดินแดนแห่งนี้มาก่อนตอนที่มนุษย์ยังคงอ่อนแอ
จนกระทั่งองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมา
และในขณะนั้น ทางกองทัพปีศาจก็ได้มีองค์จักรพรรดิปีศาจเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นตัวแทนที่ต่อสู้เพื่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง
องค์จักรพรรดิปีศาจคือผู้ที่ยกระดับให้เผ่าพันธุ์ปีศาจรู้จักวิชาการต่อสู้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น ไม่ต่างจากองค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ที่ยกระดับมนุษย์ให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ด้วยวิชาการฝึกฝนที่เข้าใจง่ายสำหรับพวกปีศาจ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ของพวกมันจึงเพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว
และบัดนี้ กองทัพปีศาจก็กลับมาอีกครั้งเพื่อแก้แค้นพวกเขา
เป้าหมายของพวกมันคือการทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่าง!
เผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นศัตรูกันมาช้านาน
บันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุเอาไว้ว่า
แดนมหาแผ่นดินเคยเกือบถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจกวาดล้างมาแล้วหลายครั้ง
แต่ข้อเสียของการฝึกวิชาของบรรดาเผ่าพันธุ์ปีศาจก็คือ พวกมันจะดูดซับพลังจากต่างภพภูมิ ทำให้สามารถเสียสติได้ง่ายดายกว่าผู้คนทั่วไป
ในอดีต ไม่ว่ากองทัพปีศาจจะเข้าบุกยึดเมืองใด พวกมันก็จะฆ่าคนวางเพลิง ถอนรากถอนโคนทุก ๆ อย่างที่มนุษย์ได้เคยสร้างเอาไว้
พวกมันโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์ที่ขวางหน้า
พวกมันตั้งตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่
ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา เกิดสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ปีศาจกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เคยหยุดยั้ง เหตุการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้จนกระทั่งเมื่อห้าพันปีที่แล้ว กองพันนักล่าปีศาจได้ถือกำเนิดขึ้นและพวกเขาก็สามารถกำราบกองทัพปีศาจได้อย่างราบคาบ ส่งผลให้เผ่าพันธุ์ปีศาจต้องเก็บตัวเงียบเป็นระยะเวลาหลายพันปี
ดังนั้น พวกเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาเช่นนี้ เผ่าพันธุ์ปีศาจกลับปรากฏตัวออกมาอีกครั้ง มิหนำซ้ำ ยังมีความแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากเดิมอีกด้วย
พวกมันสามารถบุกยึดอาณาจักรหลิวเยวียนได้อย่างรวดเร็ว นี่แสดงให้เห็นว่าปัญหาใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว
“ในกลุ่มมนุษย์ของพวกเราเองก็มีผู้คนจากเผ่าพันธุ์ปีศาจแฝงตัวอยู่ไม่น้อย บัดนี้ พลังในการต่อสู้ของพวกมันได้รับการฟื้นฟูกลับมาทั้งหมด เผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนมากถึงกับสร้างอาณาเขตเป็นของตนเอง พวกมันเปิดสำนักยุทธ์ สร้างสมาคมลับใต้ดิน ทำงานร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคี เรียกได้ว่าฝ่ายปีศาจมีความสามัคคีมากกว่าพวกเราฝ่ายมนุษย์หลายเท่า”
อวี้เหวินซิวเซียนยังคงกล่าวต่อไป “ครั้งนี้ สำนักเฉาเทียนเราขอความช่วยเหลือจากกลุ่มปีศาจที่สามารถเชื่อใจได้ในเมืองชิงอวี้ พวกเขาเลือกที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับเรา แต่มีข้อแม้คือพวกเราสิบเอ็ดสำนักยุทธ์ต้องควบรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกันเสียก่อน… เพราะฉะนั้น น้องหลินคอยจับตาดูเหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้ให้ดีเถอะ ต้องมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!”