เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1568 กลับไปตั้งหลัก
ตอนที่ 1,568 กลับไปตั้งหลัก
“พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกัน?”
ผู้อาวุโสหนงซัวถามอย่างกระหืดกระหอบ หน้าอกหน้าใจไหวกระเพื่อม เสื้อคลุมเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต
“กลับไปที่บ้านพักของข้า”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาบอกแผนการของตนเอง
“เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร?”
บ้านพักของหลินเป่ยเฉินตั้งอยู่ไม่ไกลจากยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่เหินฟ้า แม้จะอยู่โดดเดี่ยวท่ามกลางป่าเขาหนาทึบ แต่บริเวณนี้มีกองทัพปีศาจและสำนักอสูรออกลาดตระเวนมากมาย ดังนั้น การที่พวกเขาจะกลับไปตั้งหลักที่บ้านพักของหลินเป่ยเฉิน จึงแทบไม่ต่างจากการกลับไปฆ่าตัวตายที่สำนักกระบี่เหินฟ้า
“สถานที่ที่อันตรายที่สุด คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดขอรับ”
หลินเป่ยเฉินมีเหตุผลที่สามารถใช้เกลี้ยกล่อมทุกคนได้เพียงเท่านี้ ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อไปว่า “พวกปีศาจคงคิดไม่ถึงหรอกว่าเราหลบหนีออกมาจากสำนักกระบี่เหินฟ้าได้หวุดหวิดเช่นนั้น กลับคิดหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง… อีกอย่าง เจ้าจักจั่นทองคำซึ่งเป็นสหายของข้าก็ยังคงอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน”
เขามั่นใจว่าบ้านพักของตนเองต้องได้รับการคุ้มครองจากเจ้าจักจั่นทองคำเป็นอย่างดี และเจ้าจักจั่นตัวนั้นก็คงดูแลบ้านพักจนไม่มีใครสามารถบุกรุกได้สำเร็จ
แต่ที่สำคัญก็คือระหว่างทางผ่านไปยังสำนักกระบี่เหินฟ้าเมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินได้แวะส่งสองพี่น้องที่เขาพบเจอจากตลาดมืดให้ไปซ่อนตัวหลบอันตรายอยู่ที่นั่น
เพราะฉะนั้น หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เจ้าจักจั่นกับสองพี่น้องอยู่เผชิญชะตากรรมที่นั่นเพียงลำพังได้เด็ดขาด
ไม่ว่าอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็ต้องกลับไปตรวจสอบดูให้แน่ใจ
“ข้าจะไปกับพี่ใหญ่”
เซียวปิงพูดพร้อมกับรับประทานขาหมูทอดโดยไม่คิดอะไรอีกแล้ว
“ถ้างั้นพวกเราไปที่นั่นกัน”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนก็ตัดสินใจแล้วเช่นกัน
บัดนี้ เขาเชื่อมั่นในตัวของหลินเป่ยเฉินหมดหัวใจ
คนสุดท้ายที่ยังไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ออกมาก็คือผู้อาวุโสหนงซัว
แต่พวกเขาก็มุ่งหน้าไปที่บ้านพักของหลินเป่ยเฉินแล้ว
ยอดเขาแห่งนั้นยังคงเงียบสงบ
ไม่มีกลิ่นไอปีศาจในอากาศ
ไม่มีร่องรอยของการบุกรุก
เมื่อกลับไปถึงบนยอดเขา หลินเป่ยเฉินก็พบเข้ากับเด็กสาวและน้องชายของนางจากตลาดมืด นางและน้องชายได้ยินเสียงการระเบิดพลังดังออกมาจากทิศทางที่ตั้งของสำนักกระบี่เหินฟ้า สีหน้าจึงปรากฏความตื่นกลัวสุดขีด
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของพวกหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของเด็กสาวก็เป็นประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง
“พวกเราหยุดพักกันอยู่ที่นี่ก่อน”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “ผู้ใดพกเงินติดตัวมาบ้าง ส่งมาให้ข้าให้หมด”
เซียวปิงคุ้นเคยกับพฤติกรรมนี้ดีแล้ว
ผิดกับผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกับผู้อาวุโสหนงซัว
ในเวลาเช่นนี้ เด็กหนุ่มยังมัวคิดถึงเรื่องเงินทองอยู่อีกหรือ?
เงินทองสำคัญมากกว่าชีวิตหรืออย่างไร?
แต่คนตายไม่สามารถใช้เงินได้หรอกนะ
“ข้าให้ท่านทั้งหมดเลย…”
อวี้อู๋เฉียนโยนถุงเงินออกไปให้แก่เด็กหนุ่ม
หลินเป่ยเฉินตวัดมือรับไว้อย่างแม่นยำ เมื่อเปิดดูด้านใน ก็พบว่ามีเงินบรรจุอยู่ถึงสี่ร้อยตำลึง ล้วนเป็นแท่งเงินสดใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจากการค้าขายสมุนไพร ณ ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว อวี้อู๋เฉียนยังไม่มีเวลาได้ส่งมอบให้กับคนของสำนักก็เกิดเรื่องร้ายขึ้นเสียก่อน
หลินเป่ยเฉินเก็บถุงเงินเข้าไปในอกเสื้อด้วยความพึงพอใจ
สำหรับผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียน สถานการณ์ในขณะนี้ เงินทองของประดับไม่มีค่าสำหรับเขาแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อพวกมันมีค่าสำหรับหลินเป่ยเฉินถึงเพียงนี้ ชายวัยกลางคนจึงสามารถมอบให้เด็กหนุ่มได้โดยไม่เสียดายสักนิด
“ขอบคุณท่านลุงมากแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “หนี้สินทั้งหมด ข้าขอไม่จ่ายคืนแล้วกันนะ”
อวี้อู๋เฉียนไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป จากนั้นก็รีบเดินไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งและปรับระดับพลังปราณในร่างกายของตนเองเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ
หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็โยนผลหัวใจมังกรไปให้หนึ่งลูก “รับประทานเถอะขอรับ…”
อวี้อู๋เฉียนยกมือรับผลหัวใจมังกรด้วยความยินดี เมื่อรับประทานผลหัวใจมังกรเข้าไปแล้ว เขาก็สามารถรักษาการบาดเจ็บได้รวดเร็วมากขึ้น
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าผู้อาวุโสหนงซัว
นางกำลังมองหน้าเขาด้วยสายตาแปลกประหลาดพิกล
“อ้อ ข้าซื้อมาจากภูเขาอวิ๋นเจวี่ยนน่ะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินนําผลหัวใจมังกรลูกใหม่ออกมาโยนให้แก่ผู้อาวุโสสาวสวยพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ต้องเกรงใจหรอกขอรับ รับประทานเถอะ”
ผู้อาวุโสหนงซัวรับผลหัวใจมังกรไปสำรวจดู แต่หลังจากนั้น นางก็เริ่มต้นรับประทานโดยไม่กล่าวคำใด
“นี่ ผู้อาวุโสหนงขอรับ ไม่ทราบว่าท่านร่ำรวยหรือไม่? พอจะมีเงินให้ข้าน้อยหยิบยืมบ้างไหม?”
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า
ผู้อาวุโสหนงซัวพ่นลมผ่านทางจมูก ก่อนจะปลดถุงเงินออกมาจากข้างเอวและโยนให้เขาอย่างง่ายดาย
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตและอุทานออกมาด้วยความตกใจ
เพราะในถุงเงินใบนี้มีเงินอยู่ถึงพันสองหนึ่งร้อยตำลึง
แผ่นเงินสะท้อนประกายระยิบระยับในดวงตาหลินเป่ยเฉินเป็นประกายแวววาว
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองหน้าผู้อาวุโสหนงซัวอีกครั้ง น้ำตาแทบจะไหลออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ “ผู้อาวุโสหนงขอรับ ท่านคือผู้มีพระคุณของข้าจริง ๆ”
เด็กหนุ่มเก็บถุงเงินและลองคำนวณอยู่ในใจ บัดนี้ เขามีเงินอยู่ทั้งหมดพันแปดร้อยตำลึง ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่มากที่สุดนับตั้งแต่มาถึงแดนมหาแผ่นดินแล้ว
เงินที่สามารถนำมาใช้ชาร์จแบตโทรศัพท์มือถือและซื้อสิ่งของต่าง ๆ ในแอปพลิเคชันทั้งหลายนั้น หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องหามาให้ได้ด้วยตนเอง หากเป็นเงินที่ปล้นทรัพย์จากผู้อื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ เงินเหล่านั้นจะใช้ไม่ได้ แต่ถือเป็นโชคดีที่เงินซึ่งหยิบยืมมาจากผู้อื่นนั้นสามารถนำมาใช้ได้
หลินเป่ยเฉินไม่ลังเลอันใดอีก เขารีบเปิดแอปเถาเป่า และซื้อหาอาวุธเพิ่มเติม
หลินเป่ยเฉินใช้เงินแปดร้อยตำลึงซื้อปืนสไนเปอร์ AWM พร้อมอุปกรณ์ครบเซ็ต ไม่ว่าจะเป็นขาตั้งปืน กระบอกที่เก็บเสียง หรือซองบรรจุกระสุนพิเศษ หลังจากนั้น เขาก็จ่ายไปอีกหกร้อยตำลึงเพื่อซื้อปืน M24 พร้อมอุปกรณ์ครบชุดเช่นกัน
พวกมันนับเป็นปืนสไนเปอร์ที่มีอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงมากที่สุดเท่าที่แอปเถาเป่าจะมีขายแล้ว
และด้วยความที่ปืนกลแก๊ตลิ่งยังคงมีราคาสูงมากเกินไป หลินเป่ยเฉินจึงได้แต่มองอยู่ห่าง ๆ เท่านั้น
เพราะมันมีราคาถึงสี่พันตำลึงเงิน
ส่วนเงินที่เหลืออีกสี่ร้อยตำลึงนั้น หลินเป่ยเฉินนำมาซื้อระเบิดมืออีกหกลูก ระเบิดควันสองลูก ระเบิดเพลิงสองลูก ระเบิดแก๊สน้ำตาอีกสองลูก พร้อมด้วยหน้ากากกันแก๊สพิษ ท้ายที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เหลือเงินติดตัวเพียงห้าสิบตำลึง และเมื่อจ่ายค่าขนส่งเสร็จเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็มีเงินเหลืออยู่เพียงสิบตําลึงเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินเลือกการขนส่งแบบด่วนพิเศษ เพราะฉะนั้น อาวุธชุดนี้น่าจะถูกส่งมาถึงมือเขาในอีกไม่เกินครึ่งชั่วยาม
“หวังว่าท่านเจ้าสำนักหลิวอู่เหยียนคงสามารถอดทนได้อีกสักครึ่งชั่วยามนะ”
หลินเป่ยเฉินมองไปยังทิศทางที่ตั้งของสำนักกระบี่เหินฟ้า
ใช่แล้ว
หลินเป่ยเฉินต้องการกลับไปเพื่อแก้แค้น
เขาไม่สามารถปล่อยให้ศพคนตายนอนกองเป็นภูเขาอยู่หน้าประตูสำนักเช่นนั้นได้เด็ดขาด
แม้ว่าผู้คนสำนักกระบี่เหินฟ้าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย แต่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน หลินเป่ยเฉินไม่สามารถทนรับความอัปยศเช่นนี้ได้จริง ๆ
หากพบเห็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ แล้วยังไม่ลงมือทำสิ่งใด หลินเป่ยเฉินยังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นมนุษย์อยู่อีกได้อย่างไร?
แต่ถึงกระนั้น เด็กหนุ่มก็ต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งวันนี้บ่งบอกแล้วว่า กองทัพปีศาจและสำนักอสูรมีขุมกำลังที่น่าหวาดกลัวเพียงใด
กาลเวลาผ่านไป
เซียวปิง ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนและผู้อาวุโสหนงซัวต่างก็รักษาอาการบาดเจ็บของตนเองแข่งกับเวลา
ส่วนเด็กสาวและน้องชายของนางที่ตื่นกลัวราวกับกระต่ายน้อยก็นั่งนิ่งอยู่ข้างประตูทางเข้ากระท่อม ไม่พูดไม่จาสักคำ
หลินเป่ยเฉินฝึกวิชาผ่านโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากแกล้งหยิบกระบี่มาร่ายรำในลานหน้ากระท่อม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเขากำลังฝึกฝนอยู่เท่านั้น
กาลเวลายังคงผ่านไป
ครึ่งชั่วยามให้หลัง
วูบ! วูบ!
เสียงชายเสื้อปะทะสายลมดังขึ้นจากที่ห่างไกล
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยว่ายังคงมีหนูโสโครกหลบซ่อนอยู่ที่นี่ด้วย”
เป็นเสียงหัวเราะด้วยความเหยียดหยามเย้ยหยัน
เงาร่างสิบกว่าสายทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ
พวกมันคืออสูรที่มีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่มีศีรษะเป็นสุนัข ร่างกายสวมใส่ชุดเกราะหนังที่ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต ข้างเอวห้อยไว้ด้วยอาวุธประหลาดหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นตะขอบิน ตะขอเกี่ยว สนับมือที่แหลมคมและสายโซ่ติดใบมีด
ผู้เป็นหัวหน้าสัตว์อสูรกลุ่มนี้คือมนุษย์สุนัขร่างกายเตี้ยแคระ ผมสีน้ำตาลยาวรวบไว้ทางด้านหลัง ใบหน้าอัปลักษณ์ เขี้ยวขาวงอกยาวออกมานอกปาก ร่างกายแผ่พลังกดดันคุกคามผู้คน
“เผ่าพันธุ์สุนัขอสูรวายุ?”
เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดดังออกมาจากลานหน้ากระท่อม
บรรดาผู้ที่นั่งปรับพลังปราณอยู่เมื่อสักครู่ ขณะนี้เดินออกมายืนหยัดอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉินแล้ว
ผู้อาวุโสหนงซัวและผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนมีสีหน้าเคร่งเครียด
ดวงตาของพวกเขาปรากฏความหมดหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง
หัวหน้าฝูงสุนัขอสูรวายุมีความแข็งแกร่งมากกว่านางพญางูน้ำ ตัวมันถือเป็นผู้นำระดับสูงของหกสำนักอสูรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกับผู้อาวุโสหนงซัวคอยรับมือพร้อมกัน แต่พวกเขาก็คงไม่ใช่คู่ต่อกรของมันอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆๆ สองผู้อาวุโส หนึ่งลูกศิษย์และอีกหนึ่ง…” หัวหน้าฝูงสุนัขอสูรกวาดตามองหน้าอวี้อู๋เฉียน หนงซัวและเซียวปิง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
มันขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าอัปลักษณ์ผู้นี้คือคนที่ทำให้พวกเราพลาดการได้ตัวหลิวอู่เหยียน เพราะฉะนั้น พวกเราจะปล่อยให้เจ้าลอยนวลต่อไปไม่ได้อีก!”
หลินเป่ยเฉินเดือดดาลขึ้นมาในทันใด
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
ปืนกลอูซี่ของเขากราดกระสุนออกไปด้วยความโกรธแค้น
ให้ตายเถอะ
เจ้ามนุษย์หน้าหมาผู้นี้เป็นใครมาจากไหน กล้าดีอย่างไรถึงเรียกเขาว่าเป็นบุคคลอัปลักษณ์ ไม่ทราบว่ามันเคยส่องกระจกดูเบ้าหน้าตนเองบ้างหรือไม่?
นับว่ารนหาที่ตายอย่างแท้จริง
สัตว์อสูรที่มีตาหามีแววไม่เช่นนี้ ไม่สมควรมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
หลินเป่ยเฉินโกรธแค้นอย่างแท้จริง
ปืนกลอูซี่พลันพ่นกระสุนอย่างดุเดือด