เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1571 นายน้อย
ตอนที่ 1,571 นายน้อย
อวี้อู๋เฉียนก็อยากจะห้ามปรามหลินเป่ยเฉินเช่นกัน แต่ไม่ทราบเลยว่าคำพูดที่หลุดออกมาจากปากกลายเป็นคำถามนี้ไปได้อย่างไร “คุณชายแน่ใจหรือ?”
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจตอบคำถามอวี้อู๋เฉียนแม้แต่น้อย
เขาเอาแต่เพียงมองใบหน้าที่สวยงามของผู้อาวุโสหนงซัว เชิดคางขึ้นสี่สิบห้าองศา พลางยกยิ้มที่มุมปาก จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่นว่า “ตลอดเวลาที่ผ่านมา ท่านเจ้าสำนักหลิวดูแลข้าเป็นอย่างดี ข้าหลินเป่ยเฉินคนนี้ซื่อสัตย์ต่อผู้มีพระคุณเสมอ ไม่ว่าวันนี้ข้าต้องกระทำสิ่งใด ข้าก็จะไปช่วยเหลือท่านเจ้าสำนักหลิวกลับออกมาให้ได้”
ผู้อาวุโสหนงซัวรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ร่างกายของนางรู้สึกอ่อนระทวยขึ้นมาในทันที
นี่คือความรู้สึกที่หญิงสาวไม่เคยพบเจอมาก่อน
ส่วนผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ได้แต่คิดว่า ‘ช้าก่อน คนที่คอยดูแลท่านมันเป็นข้าไม่ใช่หรือ?’
แน่นอนว่าหากหลิวอู่เหยียนยังคงมีชีวิตอยู่และได้รับรู้คำพูดของหลินเป่ยเฉิน เกรงว่าท่านเจ้าสำนักคงจะเอ็นดูเด็กหนุ่มผู้นี้มากกว่าเดิมหลายเท่า เพียงแค่คิด อวี้อู๋เฉียนก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินจบบทสนทนาลงเพียงเท่านี้ ก่อนจะหันไปพยักหน้าส่งสัญญาณกับเซียวปิง
“โปรดจำไว้ว่าท่านต้องรอข้าอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสหนง ท่านต้องดูแลตนเองให้ดี ฝากดูแลสองพี่น้องคู่นั้นกับเจ้าจักจั่นทองคำสหายของข้าด้วย… แล้วก็ห้ามตามไปช่วยเหลือข้าเด็ดขาด”
กล่าวจบ ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็หายวับไปในอากาศ
อวี้อู๋เฉียนจ้องมองไปยังทิศทางที่เด็กหนุ่มทั้งสองหายตัวไปพลางกล่าวว่า “แล้วข้าล่ะ? ข้าก็อยู่ที่นี่เหมือนกันนะ?”
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนรู้สึกเหนื่อยล้าหัวใจ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัยว่านี่มันคือเรื่องราวใดกันแน่?
…
หลินเป่ยเฉินปั่นจักรยานโดยที่มีเซียวปิงเกาะติดอยู่บนแผ่นหลัง จักรยานเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว แม้แต่ม่านพลังตรวจจับสิ่งมีชีวิตของพวกกองทัพปีศาจและสำนักอสูรก็ตรวจจับพวกเขาไม่พบอีกแล้ว
“พี่ใหญ่ ท่านจะไปช่วยตาเฒ่านั่นจริงหรือ?”
เซียวปิงมองยอดเขาเจียนล่ายที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ และสอบถามเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่า หลินเป่ยเฉินต้องการไปช่วยเหลือท่านเจ้าสำนักจริง ๆ ไม่ใช่แค่พูดเล่น
“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามกลับไป
“ข้าคิดว่าท่านเพียงหลบหนีออกมารอเวลาสักครู่ ก่อนจะกลับไปที่บ้านพักอีกครั้ง เพื่อให้ผู้อาวุโสหนงเข้าใจว่าท่านพยายามทำดีที่สุดแล้ว แต่พี่ใหญ่ไม่สามารถช่วยเหลือท่านเจ้าสำนักได้จริง ๆ เพราะฉะนั้น นางจะมาโทษว่าเป็นความผิดของท่านไม่ได้ และพี่ใหญ่ก็จะสามารถพิชิตใจผู้อาวุโสหนงได้สำเร็จ…”
เซียวปิงบอกสิ่งที่ตนเองคิดออกมา
เฮ้ย?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงกับการคาดเดาของน้องชายร่วมสาบานอยู่ไม่น้อย
สมองของเซียวปิงพัฒนาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ชักน่ากลัวเกินไปแล้วนะเนี่ย
“เฮอะ เจ้าเศษสวะ”
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นดุเซียวปิงพร้อมกับกล่าวว่า “เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นไร? ความคิดของเจ้ามันสกปรกเกินไปแล้ว เจ้าจงพิจารณาตัวเองให้ดีเถอะ บุคคลที่ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างข้าจะได้ไม่ต้องมีความคิดแปดเปื้อนไปก็เพราะเจ้า”
เซียวปิงสวนกลับมาว่า “แต่ที่ข้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะใกล้ชิดกับท่านมากเกินไปนั่นแหละ พี่ใหญ่”
เอี๊ยด!
หลินเป่ยเฉินรีบเบรคจักรยาน
“ลงไปซะ”
แล้วเขาก็สลัดเด็กหนุ่มร่างอ้วนลงไปจากจักรยานหน้าตาเฉย
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูประยะไกล ก่อนจะใช้เงินสิบตำลึงให้แอปในโทรศัพท์เปลี่ยนโฉมเซียวปิงกลายเป็นมนุษย์อสูรหมูป่าตัวหนึ่ง
เสร็จแล้วจึงเปิดการแชร์สัญญาณไวไฟและเชื่อมต่อสัญญาณกับเซียวปิง
“รับไป”
หลินเป่ยเฉินโยนปืนสไนเปอร์ M24 พร้อมด้วยระเบิดเพลิง ระเบิดมือและระเบิดควันอย่างละหนึ่งลูกให้น้องชายร่วมสาบาน “ไปประจำการอยู่ในพื้นที่สูง ๆ ซะ…ส่วนนอกเหนือจากนี้ ข้าคงไม่ต้องสอนเจ้าแล้ว”
“พี่ใหญ่วางใจปิงน้อยได้เลย”
เซียวปิงเคยยิงปืนสไนเปอร์ตั้งแต่สมัยที่อยู่ในแผ่นดินตงเต้า เขาจึงเข้าใจการทำงานของ ‘อาวุธศักดิ์สิทธิ์’ รูปแบบนี้เป็นอย่างดี และบางครั้ง เซียวปิงก็รู้สึกว่าตนเองสามารถใช้งานพวกมันได้อย่างแม่นยำมากยิ่งกว่าหลินเป่ยเฉินด้วยซ้ำ
เด็กหนุ่มร่างอ้วนกำลังจะแอบขึ้นไปบนภูเขาเจียนล่าย
พลัน หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก็ไล่ตามไปเรียกว่า “ช้าก่อน...”
เขาส่งปืนกลมืออูซี่ให้แก่เซียวปิงพลางกำชับว่า “ภารกิจครั้งนี้อันตรายนัก เจ้าต้องดูแลตนเองด้วย หากพบว่าสถานการณ์ตกอยู่ในอันตราย รีบหนีไปซะ ไม่ต้องห่วงข้า”
ใบหน้าอ้วนกลมของเซียวปิงส่งยิ้มตอบกลับมา “พี่ใหญ่ไม่ต้องกังวล ปิงน้อยเก่งกาจเรื่องการหลบหนีอยู่แล้ว”
เซียวปิงรับปืนกลอูซี่ไปถือในมือและหมุนตัวกระโดดจากไป
แต่เพียงไม่กี่ลมหายใจ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็ทิ้งตัวกลับมา กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พี่ใหญ่ ท่านเองก็ต้องระวังตัวเช่นกันนะขอรับ”
เมื่อจ้องมองใบหน้าอ้วนกลมของเซียวปิง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาอย่างประหลาด
เซียวปิงกระโดดเข้าไปหลังพุ่มไม้ในผืนป่าอันหนาทึบของภูเขาเจียนล่าย ก่อนจะหายตัวไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินใช้งานแอปเมจิก คาเมร่าแปลงโฉมเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อสูรที่ตนเองฆ่าตายก่อนหน้านี้ หลังจากนั้น เขาก็กระโดดขึ้นขี่จักรยาน... มุ่งหน้าตรงขึ้นสู่ยอดเขาเจียนล่าย
…
“ผู้อาวุโสชิว เจ้า…”
หลิวอู่เหยียนอุทานออกมาในขณะที่ซวนเซถอยหลัง
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจของเขา เป็นกระบี่ที่เสียบมาจากข้างหลังทะลุออกหน้าอก ปลายกระบี่สะท้อนประกายแวววาว โลหิตไหลหยดลงสู่พื้นดินไม่ต่างจากไข่มุกสีเลือด
นี่คือกระบี่ของฝ่ายมนุษย์
เป็นอาวุธในสำนักกระบี่เหินฟ้าเอง
‘กระบี่แนบฟ้า’ หนึ่งในสี่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประจำสำนักกระบี่เหินฟ้า
เป็นกระบี่คู่กายของชิวเทียนจิง
กระบี่เล่มนี้ตกทอดมาจากหัวหน้าตะกูลชิวหลายชั่วอายุคน
“ฮ่า ๆๆ ท่านเจ้าสำนักหลิว ท่านคงคิดไม่ถึงเลยล่ะสิ”
ชิวเทียนจิงฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะ “การอุทิศตนเพื่อผู้อื่นของท่านช่างประทับใจข้าเหลือเกิน แต่น่าเสียดาย ข้าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริง ๆ สักหน่อย ข้าเพียงอยากจะกลับมาดูหน้าท่านเท่านั้น เหตุไฉนท่านจึงไม่สงสัยบ้างว่าผู้ที่มีฝีมือต่ำต้อยอย่างอวี้อู๋เฉียนยังไม่เป็นอันใด แล้วผู้ที่มีฝีมือสูงส่งอย่างข้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสได้อย่างไร?”
กลุ่มปีศาจและตัวประหลาดจากสำนักอสูรที่อยู่โดยรอบขยับเข้ามายืนล้อมกรอบพวกเขาเอาไว้
หัวหน้ากลุ่มปีศาจเหยียนซานบัดนี้มีสภาพไม่ดีนัก ศีรษะครึ่งหนึ่งเกิดบาดแผลฉกรรจ์ด้วยคมกระบี่ โลหิตไหลทะลักออกมาจากปากตลอดเวลา
การต่อสู้กับหลิวอู่เหยียนก่อนหน้านี้ ตัวมันได้รับบาดเจ็บสาหัส
และบัดนี้ เมื่อเห็นว่าหลิวอู่เหยียนถูกลอบโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ปีศาจเหยียนซานก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม “เจ้าสำนักหลิว เจ้านี่มันเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์จริง ๆ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าเหลือแขนเพียงข้างเดียว กลับทำให้ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เจ้าปิดบังความจริงต่อผู้คน ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเจ้ามีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 9 แต่น่าเสียดายที่นายน้อยของพวกข้าได้เตรียมการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”
หลิวอู่เหยียนโคจรพลังปราณในร่างกาย ดึงกระบี่แนบฟ้าออกมาจากหน้าอกและชายชราก็ต้องปักกระบี่เล่มนั้นลงสู่พื้นดินเพื่อใช้เป็นหลักยึดในการยืนหยัด
ร่างกายเปียกชุ่มไปด้วยโลหิต แต่ดวงตาไม่มีความโกรธแค้นสักนิด มิหนำซ้ำ ในแววตายังเต็มไปด้วยความพิศวงสงสัย ชายชราจ้องมองไปที่ชิวเทียนจิงพร้อมถามว่า “เหตุไฉนเจ้าถึงทำเช่นนี้? ทรยศข้าไม่เป็นไร แต่เจ้าถึงกับทรยศสำนักของตนเอง บางทีเจ้าอาจมีเหตุผลของเจ้า แต่ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุไฉน เจ้าจึงทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์เช่นนี้?”
ชิวเทียนจิงยังจะกล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้คนอยู่อีกได้อย่างไร?
ยอมหักหลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วยกันเอง เพื่อไปทำงานรับใช้สำนักอสูรและกลุ่มปีศาจเนี่ยนะ?
ชิวเทียนจิงยกมือปาดคราบเลือดออกไปจากใบหน้าและตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ใครบอกว่าข้าทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์? ข้ากำลังช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ต่างหาก นายน้อยรับปากแล้วว่าเขาจะไว้ชีวิตพวกเรา ขอแค่กำจัดคนดื้อรั้นเช่นท่านไปก็พอ เมื่อท่านเสียชีวิตไปแล้ว เมืองชิงอวี้แห่งนี้ก็จะอยู่ในกำมือของข้า นายน้อยสัญญาว่าจะแต่งตั้งให้ข้าเป็นผู้ดูแลที่นี่ และข้าจะคัดเลือกเพียงมนุษย์ที่สมควรอยู่รอดในสายตาของข้าเท่านั้น”
“นายน้อยที่เจ้าพูดถึงเป็นผู้ใด?”
หลิวอู่เหยียนถามออกมาอย่างยากลำบาก
เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้ที่ถูกเรียกขานว่า ‘นายน้อย’ มานานแล้ว ข่าวลือบอกว่าบุคคลผู้นี้มีอิทธิพลมากมายใหญ่หลวงต่อกลุ่มปีศาจและสำนักอสูร
แต่นายน้อยเป็นบุคคลที่อยู่ในเงามืด หากสามารถให้คำสัญญาอย่างที่ชิวเทียนจิงพูดออกมาได้จริง ๆ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่านายน้อยผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
หลิวอู่เหยียนทั้งตกตะลึงและเป็นกังวลจึงไม่ทันสังเกตเห็นอสูรตัวหนึ่งซึ่งสมควรตายไปนานแล้ว กำลังแอบแฝงตัวเข้ามาอยู่ร่วมกลุ่มอสูร เพื่อรับชมเหตุการณ์ในขณะนี้ด้วยความแนบเนียนยิ่ง