เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1577 ข้าแค่ทำเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ตอนที่ 1,577 ข้าแค่ทำเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินโต้ตอบกลับไปด้วยความดุเดือด
บุรุษหนุ่มเชิดหน้าขึ้นสูง จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยสายตาแห่งความเหยียดหยามและกล่าวว่า “ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก สิ่งสำคัญคือเจ้าไม่มีคุณสมบัติมาเข้าใกล้แม่นางชิน ข้าขอแนะนำให้เจ้า…”
เพียะ!
หลินเป่ยเฉินตบหน้าบุรุษหนุ่มจนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นดิน
“โง่เขลานัก”
หลินเป่ยเฉินใช้เท้าเหยียบไปบนใบหน้าของคุณชายผู้สูงส่ง
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
ผู้คนตกอยู่ในความตกตะลึง
เกิดอะไรขึ้น?
นักโทษใหม่ที่เพิ่งมาถึงคนนี้ไม่ได้ถูกปิดผนึกพลังยุทธ์อย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหานักพรตหญิงชินพร้อมกับยิงฟันยิ้มกริ่ม “เฮ้อ เห็นท่านปลอดภัยดีข้าก็โล่งอก ไม่เจอกันตั้งหนึ่งเดือน พี่ชิน ท่านดูสวยงามมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยนะขอรับ มิน่าเล่า ถึงมีพวกมดแมลงเที่ยวมาสร้างความวุ่นวายใจให้มากมายเพียงนี้… แต่ไม่ต้องห่วงนะขอรับ ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะช่วยขจัดบรรดาตัวน่ารำคาญให้แก่ท่านเอง”
สีหน้าของนักพรตหญิงชินยังคงเย็นชา แต่ในดวงตาปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อยขณะถามกลับมาว่า “ก่อนหน้านี้ เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“เอ่อ… เรียกว่าพี่ชินขอรับ”
หลินเป่ยเฉินปั้นสีหน้าจริงจังขึงขัง
นักพรตหญิงชินพ่นลมผ่านทางจมูกเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่าง นางกำลังถามถึงประโยคแรกที่หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาเมื่อเห็นหน้านางต่างหาก แต่นักพรตหญิงชินก็ไม่ได้ถามถึงเรื่องนี้อีก “แล้วเจ้าถูกจับตัวมาที่นี่ได้อย่างไร?”
นางรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมเพียงใด
กองทัพปีศาจเหล่านี้ไม่สมควรจับกุมตัวเขาได้
หลินเป่ยเฉินไม่สมควรมาปรากฏตัวที่ถ้ำถล่มฟ้าแห่งนี้
“เมื่อข้าได้ยินว่าท่านถูกจับตัวอยู่ที่นี่ ข้าก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระส่ายกระสับ ตับพิการอาหารไม่ย่อย ลิ้นกร่อยรับรสไม่รู้เรื่อง ตลอดเวลาที่หลับฝันก็เห็นแต่หน้าท่านเสมอ… ฮือ สุดท้าย ข้าจึงตัดสินใจกลับมาที่ภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน และแสดงตัวตนออกมาโดยไม่ลังเล หากพี่ชินถูกคุมตัวอยู่ที่นี่จริง ข้าก็จะได้มาพบท่านแล้ว พวกเราก็จะได้ไม่ต้องแยกจากกันอีกขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
นักพรตหญิงชินทำสีหน้าเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มขณะถามต่อ “หากเจ้านอนไม่หลับ แล้วเจ้าฝันได้อย่างไร?”
“อ่า คือว่า…”
หลินเป่ยเฉินได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ไม่สามารถตอบคำใดได้อีกแล้ว
นักพรตหญิงชินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ความจริง นางควรจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว เหตุไฉนถึงต้องถามเขาด้วย?
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยการสอบถามว่า “บุคคลที่มายืนขวางข้าเมื่อสักครู่นี้เป็นใครหรือขอรับ?”
นักพรตหญิงชินตอบกลับเสียงเรียบว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน”
ประโยคนี้ทำให้เหออวิ๋นเฟย คุณชายใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ ซึ่งเพิ่งลุกขึ้นจากพื้นดินยังไม่มีเวลาได้เช็ดคราบรองเท้าออกไปจากใบหน้า หัวใจของเขาก็เจ็บปวดเสมือนถูกคมมีดกรีดแทง
นับเป็นคำตอบที่ทำร้ายจิตใจกันมากเกินไปแล้ว!!
ตลอดเวลาหลายวันที่ผ่านมา เหออวิ๋นเฟยเสียเวลาไม่น้อยคอยประจบเอาใจแม่นางชิน แต่คิดไม่ถึงเลยว่านางกลับไม่รู้จักชื่อเขาเสียด้วยซ้ำ
ในขณะนี้ กลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนมากก็เริ่มสงสัยในตัวตนของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้ นักพรตหญิงชินไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับบุรุษหนุ่มผู้ใดแม้แต่คนเดียว แต่บัดนี้ นางกลับสามารถสนทนาพาทีกับหลินเป่ยเฉินผู้มาใหม่ได้อย่างสนิทสนมและมีความสุข
หรือเป็นเพราะว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลา?
กลุ่มชายฉกรรจ์รู้สึกหัวใจแตกสลาย
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหว
ไม่กล้าอาละวาด
เพราะพลังยุทธ์ของตนเองถูกปิดผนึก
สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์ ผู้ที่ชำนาญเรื่องการต่อสู้เก้าในสิบส่วนล้วนพึ่งพาพลังปราณ หากปราศจากพลังปราณ แม้แต่ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 2 ก็ยังเอาชนะไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรจะเอาชนะเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่อยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 3 ผู้นี้
ห่างออกมาไม่ไกล
ผู้อาวุโสหนงซัวกำลังจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความขุ่นเคืองใจ
เขากับสาวงามผู้นั้นเป็นอะไรกัน?
“พวกเขาเป็นสหายกันน่ะ”
ผู้อาวุโสอวี้อู๋เฉียนกระซิบออกมาแผ่วเบา
เขาไม่ทราบเลยว่าเหตุไฉนตนเองจึงต้องรับหน้าที่อธิบายด้วย แต่ชายวัยกลางคนรู้สึกว่านี่คือสิ่งจำเป็น
ผู้อาวุโสหนงซัวไม่ตอบรับคำใด
แต่นางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากนั้น หลิวอู่เหยียนก็เรียกรวมตัวบรรดาเจ้าสำนักใหญ่ทั้งสิบเอ็ดสำนัก เช่นเดียวกับบรรดาผู้อาวุโสและลูกศิษย์ระดับสูงในสำนักต่าง ๆ ก่อนที่ชายชราจะบอกเล่าถึงข้อเสนอของอวี้เหวินซิวเซียนให้ทุกคนได้รับทราบ
กลุ่มคนส่งเสียงอุทานฮือฮาทันที
หลายคนเตรียมตัวเตรียมใจรอถูกสังหาร รอรับการทรมานที่ไม่จบสิ้น
คิดไม่ถึงเลยว่าโอกาสดีงามเช่นนี้กลับปรากฏขึ้น!
“เผ่าพันธุ์ปีศาจกำแหงเกินไปแล้ว”
“พวกมันพยายามจะฆ่าคนผลาญกำลังใจใช่หรือไม่? อวี้เหวินซิวเซียนนับเป็นตัวชั่วร้ายที่แท้จริง”
“ว่าแต่มันจะกล้าเปิดผนึกพลังยุทธ์ให้พวกเราจริง ๆ หรือ?”
บรรดาเจ้าสำนักใหญ่พูดคุยเสียงดังอึกทึก
ทันใดนั้น…
ครืน!
คลื่นพลังกดดันหนักหน่วงก็แผ่ปกคลุมทั่วอุโมงค์ใต้ดิน
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ทุกคนก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังยุทธ์และพลังปราณในร่างกายฟื้นฟูกลับคืนมาแล้ว ไม่ต่างจากสายน้ำที่ถูกปิดกั้นได้ทำการระบายน้ำอย่างไหลลื่น
“พลังปราณของพวกเราสามารถกลับมาใช้งานได้แล้วหรือ?”
“พวกเรากลับมาใช้พลังยุทธ์ได้แล้ว”
เมื่อสัมผัสได้ถึงมวลพลังที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ก็อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
พลังยุทธ์คือความภาคภูมิใจของพวกเขา
เป็นรากฐานแห่งความมั่นใจ
เมื่อฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับคืนมาได้สำเร็จ พวกเขาก็สามารถกำหนดโชคชะตาได้ด้วยมือของตนเอง
“พวกเราผนึกกำลังกัน บุกฝ่าออกไปเถอะ”
“ใช่ ข้าไม่เชื่อลมปากของเจ้าปีศาจพวกนี้หรอก ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“พวกเราออกไปฆ่าปีศาจให้สิ้นซากกันดีกว่า”
ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนที่พกอาวุธติดตัวร้องคำรามด้วยจิตใจที่เดือดดาลคลั่งแค้น เมื่อพลังในร่างกายได้รับการเปิดผนึก พวกเขาจึงพร้อมลงมือต่อสู้โดยทันที
หลิวอู่เหยียนแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
ชายชราต้องลุกขึ้นยืนอีกครั้งและบอกให้ทุกคนเงียบเสียงลง ก่อนแจ้งให้ทราบว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะสังหารชาวบ้านผู้บริสุทธิ์กว่าสิบล้านชีวิตรอบภูเขาอวิ๋นเจวี่ยน หากมีนักโทษบุกฝ่าหลบหนีออกไปจากที่นี่แม้เพียงคนเดียว ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากก็ต้องถึงแก่ความตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน…
บรรยากาศที่ร้อนระอุในถ้ำใต้ดินเงียบสงบลงทันที
เมื่อนึกภาพเผ่าพันธุ์ปีศาจไล่ฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ก็ต้องล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนีออกไปชั่วคราว
แต่บางคนกลับเกิดความคิดอันตรายขึ้นมาในหัวใจ
อย่างเช่นเหออวิ๋นเฟย คุณชายใหญ่จากค่ายภูเขาอวิ๋นอู่
บัดนี้ พลังที่อยู่ในขั้นจอมเทพระดับ 4 ของเขาฟื้นคืนกลับมาแล้ว บุรุษหนุ่มจึงย่างสามขุมเดินเข้ามาเผชิญหน้าหลินเป่ยเฉินและกัดฟันพูดว่า “คุกเข่าและขอโทษข้าซะ”
หลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังนั่งพูดคุยสารทุกข์สุขดิบอยู่กับนักพรตหญิงชินพลันเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ากำลังพูดกับข้าอยู่หรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
เหออวิ๋นเฟยหัวเราะเยาะและกล่าวต่อ “เด็กน้อย ก่อนหน้านี้เจ้าตบหน้าข้า ซ้ำยังเอาเท้าสกปรกของเจ้ามาเหยียบหน้าข้าอีก ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้คืนเป็นร้อยเท่า”
“เจ้าคิดว่าตนเองมีปัญญาทำได้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
พวกยอดฝีมือในเมืองชิงอวี้ทำไมถึงมีแต่พวกรนหาที่ตายทั้งนั้นเลยนะ?
เพราะเหตุใด?
ช่างน่ารำคาญเสียจริง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกสงสารนักพรตหญิงชินขึ้นมาจับใจ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา นางต้องทนรำคาญขนาดไหนกันนะ
“ฮ่า ๆๆ ทำไมข้าจะทำไม่ได้ หรือเจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้า?”
เหออวิ๋นเฟยระเบิดเสียงหัวเราะ โคจรพลังภายในร่างกายและกล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ต่อให้ถูกจับมัดมือ ข้าก็ยังสามารถเหยียบย่ำเจ้าจนแหลกลาญได้สบาย ๆ …ตราบใดที่เจ้ายอมคุกเข่าขอโทษข้าต่อหน้าแม่นางชิน เรื่องที่ผ่านมาข้าก็จะยกโทษให้ และพวกเราก็จะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”
“เฮ้อ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเบื่อหน่าย “น้องปิง ช่วยตบแมลงวันให้ข้าที”
“ย้ากกก!”
เซียวปิงเก็บขาหมูทอดที่กำลังรับประทานเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนจะวิ่งแหวกออกมาจากฝูงคน และกระโดดถีบขาคู่ใส่เหออวิ๋นเฟย
พลั่ก!
เหออวิ๋นเฟยลอยกระเด็นออกไป
โครม!
บุรุษหนุ่มกระแทกเข้ากับผนังถ้ำ ก่อนที่ตัวคนจะไถลลงมา โลหิตไหลทะลักออกปาก เป็นลมหมดสติไปทันที
บรรดาลิ่วล้อของคุณชายใหญ่ค่ายภูเขาอวิ๋นอู่รีบวิ่งเข้าไปดูพี่ใหญ่ของตนเองด้วยความตกตะลึง หลังจากนั้น พวกเขาจึงรีบหามร่างเหออวิ๋นเฟยไปรักษาอยู่ที่ด้านข้าง
ผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เหออวิ๋นเฟยก็ฟื้นคืนสติกลับมาและกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่
“เมื่อสักครู่นี้… เกิดอะไรขึ้น?”
เหออวิ๋นเฟยสอบถามด้วยความพิศวง “เป็นผู้ใดโจมตีข้า?”
บรรดาสมาชิกค่ายภูเขาอวิ๋นอู่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของผู้เป็นคุณชายใหญ่ก็อดรู้สึกอับอายขึ้นมาไม่ได้
เหอเจิ้งชิงท่านผู้อาวุโสใหญ่แห่งค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
ชายหนุ่มผู้เป็นบุตรชายของท่านหัวหน้าค่ายคนปัจจุบันนับว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ชอบสร้างเรื่องราวก่อความวุ่นวายมากเกินไป แต่ท่านหัวหน้าค่ายมีบุตรชายอยู่เพียงคนเดียว ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโตเหออวิ๋นเฟยจึงถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจตลอดมา สุดท้ายจึงกลายเป็นตัวปัญหาเช่นนี้
เหอเจิ้งชิงรู้จักหลินเป่ยเฉิน
ในงานเลี้ยงริมน้ำ หลินเป่ยเฉินได้ลงมือสังหารเปียงอวี้ฉู่สร้างความตกตะลึงให้แก่เหอเจิ้งชิงเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น ชายชราจึงทราบดีว่าแม้เด็กหนุ่มผู้นี้จะมีหน้าตาหล่อเหลา แต่ฝีมือการต่อสู้นั้นดุร้ายอำมหิตยิ่งกว่าพวกสมาชิกกองทัพปีศาจเสียอีก
เหอเจิ้งชิงกำลังจะก้าวออกมาเพื่อพูดอะไรบางอย่าง
แต่ทันใดนั้น…
“ท่านหัวหน้าค่ายแสดงตัวแล้วขอรับ”
ลูกศิษย์คนหนึ่งของค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ยื่นมือออกมารั้งแขนเหอเจิ้งชิงเอาไว้
หลังจากนั้น ชายชราก็เห็นเหออู่ซาง หัวหน้าค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉินภายใต้การจ้องมองของสายตานับไม่ถ้วน
หัวหน้าค่ายท่านนี้มีขั้นพลังอยู่ในขอบเขตจอมเทพระดับ 7 เมื่อพลังปราณถูกเปิดผนึก จึงแทบไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับเขาได้อีก
เหออู่ซางจ้องมองไปที่เซียวปิงเป็นคนแรก แววตาทะลุทะลวงไม่ต่างจากคมกระบี่ เขากล่าวเสียงแข็งกระด้างว่า “เราผู้เฒ่าเหออู่ซางเป็นหัวหน้าค่ายแห่งภูเขาอวิ๋นอู่ สหายน้อย ไม่ว่าเจ้าเป็นผู้ใด ไม่ว่าเจ้ามีสถานะใด ไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าเป็นใคร… ทุกอย่างล้วนไม่มีความหมายอีกแล้ว ในเมื่อเจ้าทำร้ายคุณชายใหญ่ในค่ายของพวกเรา เจ้าก็ต้องมอบคำอธิบายออกมา”
“คำอธิบายหรือ?”
เซียวปิงล้วงขาหมูทอดออกมารับประทานต่อไปหน้าตาเฉย “ไปถามเอาจากอาจารย์ของข้าเองก็แล้วกัน”
“อาจารย์ของเจ้าคือผู้ใด?”
เหออู่ซางกระซิบถามแผ่วเบา
“เป็นตาเฒ่าผู้นั้นเอง”
บัดนี้ หลิวอู่เหยียนผู้แข็งแกร่งเป็นอันดับสองของเมืองชิงอวี้มีสีหน้าเคร่งขรึม แววตาขุ่นเคืองแสดงออกถึงความไม่พอใจขณะก้าวออกมาข้างหน้าอย่างช้า ๆ
เหออู่ซางริมฝีปากกระตุก
เฮอะ ให้ตายเถอะ!
เหออู่ซางกลั้นลมหายใจ รีบหันกลับมาจ้องมองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “สหายน้อย เจ้า…”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นขัดจังหวะและตอบอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่ต้องถามหรอกขอรับ ข้าขอตอบตรงนี้เลยว่าข้านั้นไม่มีอาจารย์ ไม่มีบิดามารดา ข้าเป็นเพียงบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลามากที่สุดในปฐพี ไม่มีพื้นเพให้ภาคภูมิใจ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่เหินฟ้าทั้งสิ้น”
เหออู่ซางถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หากไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่เหินฟ้า เรื่องก็ง่ายขึ้นแล้ว
เพียงแต่ว่า…
หลินเป่ยเฉินกล่าวต่อไป “ท่านผู้เฒ่าอยากได้รับคำอธิบายใช่หรือไม่? ข้าไม่มีคำอธิบายใดให้หรอกขอรับ เพียงแต่หากท่านผู้เฒ่าได้รับทราบถึงเรื่องเล็กน้อยที่ข้าเคยกระทำในสำนักกระบี่เหินฟ้า ท่านผู้เฒ่าอาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้”
“เรื่องเล็กน้อยอันใด?”
เหออู่ซางสอบถาม
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองที่หลิวอู่เหยียน
ชายชราตอบอย่างรู้งานทันทีว่า “เขาคือบุคคลที่สังหารหัวหน้ากลุ่มปีศาจเหยียนซาน”
เหออู่ซางถึงกับสะดุ้งโหยง แล้วทวนคำว่า “สังหารผู้ใดนะ?”
“ปีศาจเหยียนซาน”
หลิวอู่เหยียนตอบเน้นย้ำทีละคำ “ตกตายในกระบวนท่าเดียว”
เหออู่ซางรู้สึกวิงเวียนศีรษะขึ้นมาทันที
ชายชราหมุนกายเดินเข้าไปคว้าแขนเหออวิ๋นเฟยผู้ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้น เขาก็ตบหน้าบุตรชายของตนเองเสียงดังสนั่น เหออวิ๋นเฟยมองเห็นแต่ดวงดาวพร่าพรายปรากฏขึ้นในอากาศ
“ข้าเคยบอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าได้เที่ยวก่อปัญหา…”
เหออู่ซางคำรามด้วยความดุดัน
บรรดาสมาชิกค่ายภูเขาอวิ๋นอู่ล้วนตกตะลึง
ปรากฏว่าท่านหัวหน้าค่ายก็ถึงกับทุบตีบุตรชายแล้วเช่นกัน!!